(วันที่ 1) วัดหาดเสลา - อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช (ระยะทาง200 กม.)
24 ธันวา 65
:: บรื๊นๆ เสียงท่อของเวฟ 110 พวงพุ่งไปด้วยควันอ่อนๆ หรือที่ผมเรียกเขาว่ามังกรขาวอายุราว 7-8 ปี กำลังจะผงาด ด้วยทริปแรกของเจ้ามังกรขาว และด้วยอายุอานาม ก่อนออกเดินทางจึงพาไปตรวจสุขภาพและเปลี่ยนอะไหล่หลายชิ้น และเจ็บตัวไป1560บาท เพื่อให้ทริปนี้ไปอย่างราบรื่นที่สุด ขอบคุณช่างประจำฝีมือดีที่คอยทำรถให้ผมด้วยนะครับ (23 ธ.ค.65)
:: (24 ธ.ค.65)และสิ่งที่คิดว่ามันจะเกิดระหว่างขับรถมันก็เกิดเร็วกว่าที่คิดเมื่ออาการเมื่อยก้น ปวดตูด ออกอาการหลังขับไปได้ 40 กิโลเมตร จาก 200 ก.ม. หลังจากนั้นไม่ต้องพูดถึง ระบมและปวดเมื่อยตลอดทาง แต่ยังทดแทนด้วยอากาศที่ดีและเย็นสบายตลอดการเดินทาง ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือล้าเลย แรงบิดก็อยู่ที่70-80 กม.ต่อชั่วโมง ไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ แวะเติมน้ำมันเพียง 2 ครั้งหมดไป 150 บาทไม่ผิดคาดเพราะเวฟประหยัดจริง ๆ แต่ที่ผิดคาดคือผมเลือกเขาเดินทางไปด้วยท่ามกลางเสียงค้านของหลายคน
“ เค้าบอกว่าถ้าอยากถึงเร็วคงไกลหน่อย แต่ถ้าไม่รีบร้อนเดี๋ยวเดียวก็ถึง ”
:: หลังจากออกจากบ้าน 08.30 น. ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช อากาศเย็นขึ้นเรื่อย ๆระหว่างทางขึ้นอุทยานด้วยเพราะต้นไม้ที่เยอะของสองข้างทาง และคนที่เยอะผิดจากที่ผมคาด ขับจนมาสุดอุทยานจึงได้ที่กางเต้นท์สงบๆ แต่ไม่นานด้วยคนที่ทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ ความสงบก็เลือนหาย ผมกางเต้นท์เก็บสัมภาระเข้าเต้นท์ ก่อนออกไปเดินถ่ายรูปอย่างไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพราะเป็นฤดูท่องเที่ยวที่มีคนมาพักผ่อน แม้แต่จุดชมวิวที่เดินขึ้นไปอีก 200 เมตร ก็ถูกบดบังด้วยต้นไม้ต้นหญ้า ผมพยายามหามุมถ่ายสลับกับนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยต้มไม้ทิวทัศน์และภูเขาสลับซ้อนกันไปเรื่อย ๆ ก่อนมีเสียงเตือนจากลำไส้ให้ออกไปหาอะไรทาน ข้าวกระเพราไข่ดาว 70 บาท ของอุทยานฯ เสิร์ฟพร้อมกับเสียงจามของผู้คนรอบข้าง ความอร่อยบวกความหิวจนทำให้รู้สึกว่าบางทีก็ลืมเคี้ยวข้าว
:: อุทยานแห่งชาติตากสินมหาราชมีทั้งบ้านพักและจุดกางเต้นท์ที่เยอะมาก มีจุดทำกับข้าว เหมาะกับสายแคมป์ทั้งกลุ่มและเดียว แต่ให้ดีควรมาช่วงโลซีซั่น เพราะแม้เจ้าหน้าที่จะกำหนดร้อยคนเข้าพักร้อยคน (ถ้าผมฟังไม่ผิดนะ) แต่วันที่ผมมาก็ปาไปสามร้อยคนแล้ว ความเนื่องแน่นทำให้ผมไม่อยากเดินไปไหนต่อนอกจากนั่งชาจแบตที่จุดบริการของอุทยานฯ แต่..
:: ผมกลับเต้นท์ก่อนจะมานั่งเช็คของแล้วพบว่าตัวล็อกกล้องติดหน้าอกหล่นหายแบบไม่มีวันกลับมา ผมขับมอไซด์วนหาอยู่สองรอบแล้วทำใจ สั่งหมูปิ้ง ซาลาเปาปลอบใจตัวเองในมื้อดึก ระหว่างรออาบน้ำก็ไม่มีอะไรให้ทำนอกจาชาจแบตกล้อง นั่งอยู่แบบนั้นอยู่เป็นชั่วโมง ชาจหมดทุกอย่างที่จำเป็น ระหว่างรอเหงาๆ ก็เลยชวนพี่ที่มาชาจแบตเหมือนกันคุย เป็นคู่รักจากสมุทรสาครพูดคุยกันได้สักพักก็หลอกให้พี่เขามากดติดตามเพจ คุยกันอยู่นานจนพี่เขากลับเต้นท์และผมก็ลืมไปว่าผมไม่ได้ถามชื่อของพี่ทั้งสอง
:: อากาศหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ทำใจอาบน้ำสระผม อาบให้ดีที่สุด และคิดว่าอาบเผื่อวันพรุ่งนี้ไปด้วยเลย ....หลังจากอาบเสร็จ ทุ่มยี่สิบเอ็ดนาที ซาลาเปากับหมูปิ้งที่จะไว้มื้อดึกตอนนี้ไม่เหลือแล้ว ระหว่างนั่งเคาะแป้นพิมพ์แล้วถูกรบกวนด้วยกลิ่นเลยคิดว่าควรจัดการกับต้นตอที่คอยรบกวน สรุปวันนี้แทบไม่มีอะไรตื่นเต้นให้เขียนเพราะไม่มีอะไรนอกจากขับรถและขับรถ อาหารก็หมด เหลือแต่นอน อากาศเย็นขึ้นตลอดทั้งคืนถึงเช้า ถุงเท้า ถุงนอน เสื้อกัน หนาวคงไม่พอสำหรับคืนนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้และทำมาตลอดคือการนอนขดเกร็งคอ จนเช้ามานอกจากจะปวดคอแล้ว อาการต่อไปคงหนีไม่พ้นปวดก้น
:: แล้วคำพูดพี่คนหนึ่งก็แว๊บเข้ามาในหัว จะพาตัวเองไปลำบากทำไม แล้วผมก็ถามตัวเองแล้ววันนี้มันลำบากตรงไหน คิดอยู่ 5 วินาที ก็พบว่ายังไม่มี นอกจากเสียใจที่ตัวล็อกกล้องหายตั้งแต่วันแรก พอผ่านไปอีก 10 วินาที ผมเริ่มปวดหลังน่าจะเป็นที่เมื่อคืนผมนั่งเขียนงานกับพื้นที่เอียงของลานกางเต้นท์ แต่ก็พบว่าเช้าวันนี้อากาศสดชื่นและเป็นหนาวแรกที่ผมได้สัมผัสจริง ๆ (15 องศา) หรืออาจเป็นเพราะป่ามีพลังบางอย่างมอบให้เราเสมอ ปลดเปลื้องความกังวล ไม่มีเร่งรีบ ไม่มี Deadline มีแต่ความผ่อนคลาย
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
น้ำมัน 150
ข้าวเช้า 30
กาแฟ 55
ข้าวเที่ยงที่อุทยาน 70
น้ำ 28
ค่าเข้าอุทยาน 90
ยาสระผม 20
หมูปิ้ง ซาลาเปา 60
รวม 503 บาท
ROAD MOVIE
วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 15.34 น.