โบลาเวน สิ่งที่เห็น และ มิตรภาพ I ลาวใต้

23-25 มิถุนายน 2566


มือที่วางทาบแป้นพิมพ์ในวันพุธบ่ายโมงตรง ในหัวไตร่ตรอง นึกคิด เรียบเรียง เพราะล่วงเลยมาสิบวันเต็มแล้ว ความสนุก ความประทับใจ ความเหน็ดเหนื่อย และอีกหลายอย่างก็เริ่มเลือนลางไปตามกาลเวลา ขอรวบรัดตัดความทันทีที่เท้าขวาเหยียบพื้นแผ่นดินลาว ราว10.30 น. ทุกคนมีเวลาจัดแจงที่นอน อาบน้ำเพื่อเดินทางช่วงเที่ยงไปยังโบลาเวน ซึ่งผมมักจะพิมพ์ผิดเป็นโบโลน่าเพราะความหิวในตอนนี้(ขณะที่นั่งเขียนงาน) ทุกคนต่างนอนพัก บ้างเดินเล่น บางคนเลือกที่จะอาบน้ำเตรียมตัว ผมเองเลือกที่จะล้างหน้าแล้วนอนเอาแรง ให้เรื่องการอาบน้ำเป็นเรื่องของอนาคต


เพราะอีกหนึ่งถึงสองชั่วโมงเราก็จะเตรียมตัวออกเดินทางไปยังโบลาเวน ผมเตรียมของเท่าที่จำเป็นแต่ก็รู้สึกว่าหนักอยู่ดี คงไม่ต่ำกว่าเจ็ดถึงแปดกิโลเป็นแน่ ระหว่างทางเดินภาพเลือนรางไปมาก แต่ก็พอจำได้ว่าสองข้างทางเป็นป่า ไม้ต้นยืนสูงเด่น มีต้นกาแฟ มีลำธารและก็มีป่า มีต้นไม้หลากหลายรูปแบบตั้งแต่เล็กเท่าแมลงจนถึงสูงเท่าตึกหลายสิบชั้น วนอยู่แบบนี้ระหว่างทางเดิน วันแรกถือว่าไม่ได้ลำบากมากจนถึงจุดกางเต้นท์ราวบ่ายสาม ก่อนถึงจุดหมายราวร้อยเมตรประหนึ่งเส้นชัยที่มีคนต้อนรับ ที่พร้อมหยิบยื่นขวดน้ำเย็น ๆ ให้เราอย่างห่วงใยในราคาหกสิบบาท(จากราคา17-20บ.เพราะแบกมาไกล) ความกระหายทำให้เงินปลิวง่ายดังอยู่กลางทะเลทรายแล้วพระเจ้าประทานน้ำมาโปรด สปอนเซอร์ขวดนี้แม้จะมีราคาแต่ก็ดับกระหายได้ดี เป็นการตลาดที่ต้องยอมจ่ายอย่างแท้จริง

กางเต้นท์ออโต้(ป้ายแดงจากลาซาด้า)ที่ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการกาง โดยปักสมอแค่สองถึงสามจุดอย่างคนเกลียดคร้านซึ่งไม่รู้ว่าคืนนี้หายนะกำลังจะมาเยือน พลางหยิบจับช่วยเพื่อนเต้นท์ข้าง ๆ เท่าที่เขาบอก

ท้องฟ้าปลอดโปร่งอากาศดี ห่างออกไปสิบเมตรไม่ไกลจากเต้นท์ของผมเป็นต้นไม้ที่ถูกปลิดปลิวความเขียวออกจากต้นไปจนหมดสิ้นเหลือเป็นเส้นยึกยือของกิ่งก้านงานอาร์ทไว้ให้ถ่ายรูป และผมก็ชอบมันมากที่พยายามหามุมถ่ายต้นไม้นี้ ผมและเพื่อนใหม่ชื่อบิ๊กที่อายุเท่ากัน ชายพูดน้อยที่เป็นติวเตอร์ฟิสิกส์ เดินหาแหล่งน้ำเพื่ออาบน้ำเดินไปตามคำบอกของเหล่าผู้มาก่อน แต่น้ำนั้นน้อยเกินกว่าที่คิดไว้และคนก็ดูเยอะเกินไปที่จะใส่กางเกงในตัวเดียวได้ เราคุยกันว่าคงต้องย้อนไปทางน้ำตกที่เดินผ่านมาราวครึ่งชั่วโมง ระหว่างรอเวลา การเก็บภาพเดินชมความงามจึงเป็นเรื่องที่น่าทำที่สุด

ต้นหญ้า หยากใย่เส้นบางของแมงมุมตัวน้อย ดอกไม้เล็ก ๆ รวมถึงกลิ่นของธรรมชาติ ที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นกลิ่นอย่างไร แต่รสชาติของกลิ่นมันล้วนมีความหมาย สวยงามกับสายตาที่เพ่งมองไม่ว่าจะมุมไหน สิ่งที่เห็นมันไม่ง่ายเหมือนเคาะแป้นพิมพ์เพียงไม่กี่บรรทัดนี่เลย และไม่รู้ได้ว่าดอกหญ้าเวลากลางคืนที่ถูกอาบด้วยแสงจันทร์จะสวยสู้แสงอาทิตย์ได้หรือเปล่า เดินตรงมายังโขดหินที่น่าจะมีคนมาถ่ายรูปเยอะที่สุด เบื้องหน้าเป็นภูเขาคล้ายภูชี้ฟ้าที่ผมเคยเห็นในรูปแต่ยังไม่เคยไปเยือน ซ้อนกันเป็นเลเยอร์ แซมด้วยลำแสงหลายเส้นที่พยายามสอดตัวทะลุผ่านกลุ่มเมฆก้อนใหญ่ออกมา สวย สบายใจ งดงาม คงอธิบายได้เท่านี้สำหรับผม

ผมกับบิ๊กเดินย้อนกลับไปราวครึ่งชั่วโมงเพื่ออาบน้ำที่ลำธาร น้ำแรงสะใจสดชื่นจนลืมความเหนื่อยทั้งวันของวันนี้ ลมแผ่วเบา กิ่งก้านของใบโอนเอนเชื่องช้า ลมคม ๆ กรีดตามใบ้ไม้ให้ล่วงหล่น บ้างก็ตัดใบขาดจากต้นอย่างอ่อนโยน เสียงโหวกเหวกสนุกสนานของผมกับภาพการอาบอย่างจริงจังของหนุ่มบิ๊ก ช่างเป็นจากุชชี่ที่ไม่สามารถประเมินราคาได้ เดินกลับกันอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้เหงื่อออก พูดคุยกันมาตลอดทางกับหนุ่มบิ๊ก เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเงียบเกินไปจนมาถึงเต้นท์

กลิ่นกับข้าวหอมเย้ายวนจากฝีมือ staff สาวสวยสองท่านคือพี่ต้องและพี่ผึ้ง แม้จะเป็นทริปแรกที่ผมซื้อทัวร์แต่โดยรวมก็ประทับใจกับการดูแลทุกอย่างประหนึ่งพี่สาวดูแลน้องชาย หลังจากนี้ก็อาจจะทำให้ผมเลือกเที่ยวคนเดียวน้อยลงและหันมาเดินทางกับทริปทัวร์มากขึ้น การมีคนจัดการให้เราเกือบทุกอย่างก็ทำให้เรามีเวลาเพิ่มขึ้นและง่ายต่อหลาย ๆ อย่าง รวมถึงลดเวลาบางอย่างออกไป ทำให้พลางนึกถึงอาชีพ staff ที่ได้เที่ยวบ่อย ๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไรเพราะตัวผมเองก็เคยมีความฝันว่าอยากเดินทางทั่วประเทศไทยสักหนึ่งปี แม้ความฝันนี้จะยังไม่ได้เริ่มแต่ก็ไม่เคยถูก delete ออกไปจากสมอง

อากาศดูสดใสเกินหยั่งถึงว่าค่ำคืนนี้จะเป็นอย่างไร ทุกคนในทริปนั่งล้อมกันเป็นวงรีรับประทานอาหารค่ำราวยี่สิบคนได้ ยำปลาดุกฟูหอม ๆ และลาบพร้อมด้วยแตงกวาและถั่วฝักยาวสด และอีกหลายเมนู ที่ดูว่าท้องของผมที่ปกติจะรับแขกได้น้อย ดูเยอะเป็นพิเศษในวันนี้ เมื่อทุกคนอิ่มก็มีกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการกระดกน้ำสีขาวมึนเมา และบอกชื่อและอายุของตนเอง และสูงสุดของวันนั้นถ้าผมจำไม่ผิดคือพี่คนหนึ่งที่สี่สิบห้าปี แต่หน้าตานั้นอยู่แค่ราวสามสิบปลาย ๆ

แก๊งค์เด็กอายุสามสิบถึงสามสิบห้ามีพอ ๆ กับแก๊งค์คนหลักสี่ เมื่อถึงเวลาสองทุ่มผมเลือกเข้าเต้นท์เพื่อนอนเอาแรงส่วนที่เหลือก็มีเข้านอนบ้างนั่งต่อถึงห้าทุ่มบ้าง อากาศค่อนข้างหนาวราว 15-22 องศา กางเกงขาสั้น ถุงเท้า เสื้อกันหนาวบาง ๆ ที่เอามาเป็นผ้าห่ม ไม่มีหมอนไม่มีถุงหนอน ด้วยความขี้เกียจแบกคืนนี้ทำให้ผมต้องรับผลกรรมตรงนั้นไปด้วยการนอนขด หลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะความหนาว จนรู้สึกว่าหลับไปได้สักพักฝนตกปรอย ๆ ราวกับเสียงกระซิบที่ตอนแรกผมนึกว่านั่นคือเสียงของน้ำค้าง

นอนยังไม่ทันเริ่มฝันฝนเริ่มหนักขึ้น ผมย้ายตัวเองหลบแกนกลางของเต้นท์ที่น้ำหยด แต่ไม่นานฝนที่คิดว่าแรงแล้วก็แรงขึ้นอีก จนตอนนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองนอนไม่ได้ เพราะน้ำจากแกนกลางของเต้นท์ที่หยดแหมะ ๆ กลายเป็นไหลอย่างกับน้ำตก ทั้งหัวเสียและหงุดหงิด พลางบ่นในใจกับตัวเองว่ามาทำอะไรว่ะเนี่ย หลังจากบ่นในใจจบผมก็ได้บทเรียนเพิ่มจากลม ที่กำลังจะพัดเต้นท์ผมไปผมย้ายตัวเองขณะที่ตัวเปียกปอนไปทั้งตัวไปนั่งอยู่มุมหนึ่งที่ผมไม่ได้ปักสมอและเป็นมุมเดียวที่ผมขี้เกียจปัก มีสี่มุมปักไปสามมุม แถมลมพัดจากทางนั้นช่างโชคดีเสียนี่กระไร ผมนั่งทับราวยี่สิบนาทีในท่านั่งกอดเข่า จนผมเป็นฝ่ายชนะและรักษาเต้นท์ไว้ได้ นึกในใจคนอื่นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง หลังจากที่ผมออกมาจากเต้นท์ ทุกเต้นท์ไม่เป็นอะไรเลยแถมอุปกรณ์ทุกอย่างดูจะมั่นคงกว่าของผมมาก

ผมกลายเป็นผู้ประสบภัยในตอนตีสองครึ่งและไปนั่งที่ฟลายชีทจุดที่เราทานข้าวกันช่วงตีสามพี่ต้อง staff ของทริปคงสงสารที่เห็นผมนั่งสั่นเลยเอาถุงนอนกับถุงดำให้ผม พร้อมกาแฟจากพี่ผึ้ง แม้ฝนหยุดแต่ก็กลับไปนอนไม่ได้แล้วเพราะเต้นท์ที่เละเทะนอกจากไม่ช่วยกันน้ำเข้าแต่ดันกันน้ำออก *oh, shit!*

เส้นที่ขอบฟ้าสีส้มบอกให้รู้ถึงวันใหม่ อากาศหนาวเจือด้วยหมอก ผมเก็บเต้นท์เก็บของ เช็คของทุกอย่างที่อยู่ในสภาพเปียกและวันนี้คงแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้น สภาพตอนเช้าไม่ต่างจากทุ่ง savanna ที่น้ำขัง ข้าวมันไก่และน้ำซุปก็ยังพอเยียวยาความโหดร้ายของผู้ประสบภัยอย่างผมได้ ขณะที่ผมเขียนก็เลยนึกได้ว่าถ่ายคลิปไว้เปิดดูทีไรยังรู้สึกขนลุก หนาวขึ้นมาทันที ช่างเป็นคืนที่โหดร้ายสำหรับผมโดยแท้ หลังจากทานข้าวมันไก่ พร้อมทั้งทิ้งบอมกลางป่าและเตรียมตัวเดินทางต่อ ฝนทำท่าจะตกอีกครั้งจากเหตุการณ์เมื่อคืนตอนนี้ผมคงไม่กลัวอะไรแล้ว พร้อมกวักมือเรียกฝนอีกรอบและไม่นานฝนก็ตกจริง ๆ (ไม่น่าเลย)

วันนี้เป็นวันที่เดินทางหนักหน่วงที่สุดและไกลกว่าวันแรกและก็เป็นตามที่พี่ staff บอกจริง ๆ ฝนยังคงลงเม็ดหนักตลอดเวลาที่เราเดินทาง การเดินวันนี้ค่อนข้างออกไปในแนวปีนป่ายตามโขดหินและค่อนข้างชัน รองเท้าที่ดีจะช่วยคุณไม่ให้ลื่น ย่ำเท้าจนถึงจุดที่วางกระเป๋าเพื่อเดินตัวเปล่าไปยังน้ำตกตาดขมึด - ตาดเสือ ในชีวิตผมน้ำตกใหญ่ขนาดนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็น ในไทยที่เคยและคิดว่าใหญ่สุดที่เคยเห็นและไปเยือนก็คงเป็นโตนงาช้าง สงขลา เท่าที่นึกได้ตอนนี้ เหนื่อยแต่ไม่ร้อน ผมรู้สึกกลับมีความสุขที่ได้เดินท่ามกลางสายฝนแบบนี้ ภาพตรงหน้ามันก็คือน้ำตกที่โคตรสวยมาก ผมมองมันไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ มันก็เหมือนแค่ว่าผมมาถึงแล้ว แต่ระหว่างทางต่างหากที่สอนผมในหลาย ๆ อย่างกับการเดินทางครั้งต่อไปว่าควรเตรียมตัวอย่างไร

จนถึงช่วงเวลาที่ผมรอคอยอาหารมื้อกลางวัน ข้าวเหนียวอุ่น ๆ หมูยอ แคปหมูแบบเผ็ด หมูฝอย ความสุขผมอยู่ตรงนี้มากกว่าน้ำตกซะอีก ความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันทำให้แต่ละคนกินจุอย่างกับช้าง(โดยเฉพาะตัวผม) อิ่มแล้วเดินถ่ายรูปอีกนิดหน่อย ชื่นชมกับสิ่งรอบตัวจนไปเห็นพี่ลูกหาบสูบยาฉุนแดงวาบกอปรกับบุหรี่ไฟฟ้าผมพัง จึงขอซื้อต่อยืนพูดคุยกันเล็กน้อยพ่นควันไปในทางที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น และเตรียมตัวเดินกลับไปยังจุดวางกระเป๋า รอบนี้ผมดูถอดใจนิด ๆ เพราะโคตรไกล ขณะที่แรงฮึดมาเป็นช่วง ๆ แต่อาการเหนื่อยล้าอยู่กับตัวเราตลอดเวลา

เดินกลับไปยังจุดวางกระเป๋า อาการถอดใจยังคงเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเห็นกระเป๋าที่ชุ่มไปด้วยน้ำ น้ำหนักเพิ่มขึ้นอาการปวดหลังเพิ่มขึ้น จากนี้ไปอีกกี่กิโลเมตรไม่รู้ รู้ว่าเราต้องเดินต่อไป

‘ อย่าอยู่ในที่ที่ตัวเองรู้สึกสบายที่สุด โดยไม่ฝืนทำอะไรสักอย่าง ’

คำพูดจากหนังสือเล่มหนึ่งที่นึกขึ้นได้ระหว่างเดิน ต้นไม้ทุกต้นล้วนมีความหมายในการเกาะจับ ทุ่นแรงดึงในการพาตัวเองขึ้นจากทางชันสี่สิบห้าองศาหรือมากกว่านั้นบางช่วง กลิ่นฝนชะดินหอมยวนเตะจมูกสูดเข้าไปเต็มปอด ก้าวเดินให้เต็มเท้า มองผู้คนที่เดินสวนกัน ดูผู้คนที่หยุดพัก แต่ละคนคงมีจุดประสงค์ของการเดินทางของตัวเอง บางคนอยากเห็นธรรมชาติ บางคนอาจจะหนีทุกข์ บางคนอาจจะหนีเมือง บางคนอาจจะไม่ได้หนีอะไร

ฝนหนีหายไปจนแทบไม่รู้ตัว อาทิตย์แทรกตัวอย่างเงียบ ๆ มนุษย์คนหนึ่งถึงจุดหมาย





























ROAD MOVIE

 วันพฤหัสที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 16.03 น.

ความคิดเห็น