จู่ๆก็ฉึกฉักใจจะไป 'เบตง' ที่อยากไปมานานมากกกกเเต่ไม่มีโอกาสซะที

พอบอกใครว่าจะไปเบตง คุณคงพอเดาหน้าเดาตาคนฟังเเละคำถามที่ตามมาออก

เบตงเหรอ ไปทำไมอะ? เบตงนี่ปลอดภัยไหม? มีอะไรให้ดู เเล้วไปถึงจะไปเที่ยวต่อยังไงคนเดียว? นานาประการ

ไอเราเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามไหนว่าอะไรดี เลยตอบสั้นๆแบบหาเรื่องโดนด่าว่าไปกินข้าวมันไก่เขาว่าอร่อย

จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูลการเดินทาง ที่เที่ยว ที่กิน ที่พัก ในพันทิปเองก็มีรีวิวจากหลายคนเเนะนำกันไปหลายๆเเบบ ทั้งรูปแบบการเดินทาง ที่อยู่ ที่กิน เเละสถานการณ์ความปลอดภัยต่างๆนาๆ ยอมรับว่าใจซีกนึงก็เเอบหวั่นเเต่อีกซีกนึงมันหนักเเน่นมั่นคงกว่าว่าจะไป!

เเต่ติดตรงไม่อยากนั่งรถนาน4-5ชม.ขนาดนั้น เพราะรีวิวส่วนใหญ่ทุกคนจะนั่งเครื่องบินไปลงหาดใหญ่เเล้วต่อรถตู้ไปเบตงกันอีกที

ส่วนที่ว่านั่งรถไฟไปนั้นมีให้เห็นกันอยู่ก็จริงเเต่น้อยเเละนานมาเเล้วเหลือเกิน

มันเลยมีคำถามต่อว่า ถ้านั่งรถไฟไปจะไปลงที่ไหนเเล้วไปยังไงต่อ? เเต่ด้วยดวงมันจะต้องได้ไปก็บังเอิญไปเจอเว็บไซต์นึงที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเบตงไว้อย่างครบถ้วนเเละเป็นปัจจุบัน ทั้งการเดินทาง ที่พัก ที่เที่ยว ที่กิน

คำเเนะนำช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้นมาก เลยได้มาเป็นการเดินทางฉึกฉักฉบับนี้

การเดินทาง:

>>กรุงเทพฯ-ยะลา รถไฟนอนชั้น2(เดี๋ยวนี้รถไฟไทยมีโบกี้สำหรับสตรีเเละเด็กโดยเฉพาะ อุ่นใจไปโขมั้ย!555)<<

ออกจากกรุงเทพฯบ่ายๆถึงยะลาก็9-10โมงนู่นนน ยาวๆกันไป

>>ยะลา-เบตง รถTaxi Vip <<

รถยะลาไปเบตงมีหลายแบบทั้งรถตู้ Taxiคลาสสิคเป็นเบนซ์รุ่นคุณปู่นั่ง6คนกินลมชมไม้กันไปตลอดทาง 2เเบบนี้ค่ารถน่าจะประมาณ100กว่าบาท เเละTaxi Vipเป็นแชร์Taxiใช้รถเก๋งรุ่นใหม่นั่ง4คนเปิดแอร์ไปเย็นๆค่ารถ200บาท เลือกเอาได้ตามใจชอบ

(เเอบกระซิบว่าทางไม่โหดมากเเค่โค้งทุก20เมตรใครเมารถเตรียมตัวสนุกได้เลย!)

ส่วนเส้นทางที่ไปเราก็จะได้ผ่านอำเภอชื่อดังต่างๆที่ได้ยินในข่าวกันบ่อยๆ(เหมือนได้ตามรอยซีรี่ส์) บางช่วงก็เป็นป่า เป็นเเม่น้ำ

เเต่ไม่ต้องกลัวเพราะเขาจะมีจุดตรวจจุดสกัดอยู่ระหว่างทางตลอดจนถึงเบตงนู่นเเหละ

ที่พัก:

เราได้คำเเนะนำจากพี่เจ้าของเว็บไซต์ตามความต้องการ ที่พักที่ราคาไม่เเพงมากเดินสะดวกเเละเป็นกันเอง

2คืนในเบตงเลยได้พักที่ Foto Hostel ยอมรับว่าไม่ได้นอนhostelมานานมากจนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

หลังๆมาไม่ค่อยนอนhostelเพราะติดเรื่องห้องน้ำที่ชอบเป็นห้องน้ำรวมเเต่จู่ๆก็ตัดสินใจนอนที่นี่ซะงั้น

ก็โชคดีที่ๆนี่สะอาดดีทุกอย่างมีน้ำดื่ม ชา กาเเฟ บิสกิต ผ้าเช็ดตัว สบู่ เเชมพูครบ เเถมยังเป็นกันเองเเต่ก็ส่วนตัวในคราวเดียวหรือเป็นเพราะวันที่ไปห้องที่นอนได้6คนมีเเค่เราเลยกลายเป็นเจ้าของห้องเเต่เพียงผู้เดียวไปโดยปริยาย สำหรับใครที่อยากมานอนเเต่เจอช่วงที่มีเพื่อนร่วมห้องก็ไม่ต้องกังวลเพราะเขามีล็อคเกอร์ให้เราเก็บของมีค่าพร้อมกุญเเจเรียบร้อย

ข้อดีของการนอนhostelเเต่ไหนเเต่ไรคือเราจะได้เพื่อนที่มีความชอบคล้ายๆกันหรือเพื่อนแปลกๆใหม่ๆได้เเชร์ประสบการณ์กันทั้งเจ้าของที่พักทั้งคนพัก แถมทริปคนเดียวเที่ยวไหนๆก็อาจสบายใจสบายกระเป๋าขึ้นโดยการไปจอยน์ทริปกับคนอื่นๆที่มาพักเหมือนกันได้

ทริปต่อไปคงติดใจhostelไปอีกซักพัก

ส่วนที่เที่ยวจริงๆเราเองอยากไปสุดก็เเค่ทะเลหมอกเลยรบกวนพี่ฟกเจ้าของที่พักช่วยหาจอยน์ทริปให้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรชิลๆเพราะก็อยากเดินดูเมืองดูคนอยู่เเล้วด้วย ที่กินก็ค่อยไปเดินเล็งๆเอา

เเลดูเป็นทริปที่ไม่มีการตระเตรียมอะไรเลยเมื่อเทียบกับทริปที่ผ่านๆมา ก็ไม่เลยจริงๆคุยกับที่พักวันศุกร์วันเสาร์จองตั๋ววันอาทิตย์เก็บของวันจันทร์เดินทาง ก็สนุกดีไม่ต้องคาดหวังไม่ต้องกังวลจะเจออะไรก็เจอเเล้วenjoyไปกับมัน

Tips: สำหรับข้อมูลการเดินทางเเละที่พักพร้อมที่เที่ยวเเละอื่นๆสามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์

http://www.โอเคเบตง.com/ พี่ฟกซึ่งเป็นเจ้าของเว็บไซต์เเละที่พักน่ารักใจดีจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ส่วนใครอยากนั่งTaxi Vipก็สามารถโทรสอบถามได้ตามเบอร์โทรในเว็บไซต์เลย

ข้อมูลพร้อม ใ(จ)ฟพร้อม เดี๋ยวกลับมาเเล้วไปพร้อมกัน!

เราเริ่มออกเดินทางกันที่สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อเพราะเดินทางสะดวกและใกล้บ้าน
รถไฟไทยเดี๋ยวนี้ค่อนข้างตรงเวลา ในตั๋วระบุ15.10น.จากหัวลำโพงมาถึงบางซื่อก็ไม่เกิน15.30น.
ตรงชานชลามีผู้คนรอรถไฟอย่างอบอุ่นหนาตาระหว่างรอก็มีคุณป้าที่นั่งรออยู่ตรงชานชลาเดียวกันชวนคุยแก้เหงา

การเดินทางโดยรถไฟยังคงคลาสสิคเสมอ มีพี่ป้าน้าอาที่มีจุดหมายปลายทางเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงมากมายให้เราได้พูดคุยตลอดทางเกือบ20ชม.
เราเองก็ได้เพื่อนใหม่ตั้งเเต่รถเคลื่อนตัวออกจากสถานีบางซื่อ ชวนกันกิน ชวนกันดูวิวข้างทาง พูดคุยเล่าขานถึงเรื่องราวในชีวิตที่เเตกต่างกันจนถึงเวลาเเยกย้ายเมื่อถึงจุดหมายของตัวเอง

เพื่อนใหม่ของเราคนนี้ผู้ซึ่งชื่นชอบการรับประทาน จนเลือกการทำอาหารเป็นอาชีพเเละเดินทางจากบ้านมาเพราะอาชีพที่เขารัก
เเถมยังชักชวนเราเข้าสู่ความชอบของเขาโดยการชวนไปนั่งกินข้าวตอน3ทุ่มเอาเข้าไป!

ตู้เสบียงรถไฟเดี๋ยวนี้งดขายเครื่องดื่มเเอลกอฮอลล์แล้วเวลาปิดเลยเร็วกว่าเเต่ก่อนมาก
นั่งคุยกันเพลินจนจนท.เดินมาบอกว่าตู้เสบียงกำลังจะปิด เลยพากันเดินกลับโบกี้ตัวเอง
ตอนนั้นในโบกี้เงียบสงบทุกที่นั่งถูกทำเป็นเตียงนอนเเละปิดม่านกันเเล้วเกือบหมด ได้เวลาล้างหน้าเเปรงฟันบอกกู๊ดไนท์ซินะ
เเต่เรากับเพื่อนใหม่ขอทำความรู้จักกันต่ออีกพักจนคุณป้าเตียงข้างๆถามว่ายังไม่นอนเหรอ ซึ่งเราคุยกันว่า
ใจความที่แท้จริงน่าจะเป็นนอนได้เเล้วนะมากกว่าเลยถือโอกาสเเยกย้ายก่อนจะมีประโยคที่ฮาร์ดคอร์กว่านั้นหรืออะไรลอยมา555

*อาหารบนรถไฟมีให้เลือกหลากหลาย รสชาติใช้ได้ เเต่ราคาแอบเเพงไปหน่อย เเต่ก็จะมีอาหารชื่อดังของเเต่ละจังหวัดที่ผ่านขึ้นมานำเสนอให้เราเลือกทานอีกมากมายเลือกได้ตามชอบใจ

เวลา7โมงกว่าๆรถไฟกำลังจอดเทียบชานชลาสถานีชุมทางหาดใหญ่ ถึงเวลาเอ่ยคำลาเพื่อนใหม่คนเเรกอย่างเป็นทางการ
รถไฟจอดอยู่ที่สถานีชุมทางหาดใหญ่เป็นเวลาเกือบชั่วโมงเนื่องจากต้องหั่นโบกี้บางโบกี้ที่จะวิ่งไปอีกเส้นทางออกจากขบวน
ทำให้เราไปถึงสถานีปลายทางยะลาช้ากว่ากำหนดในตั๋วราว30กว่านาที

เราโทรนัดเเนะจองTaxi vipไว้ตั้งเเต่เมื่อวาน ตอนถึงก็แอบลุ้นว่ารถจะยังรอรึเปล่าเเต่ก็โชคยังดีที่พอโทรหาพี่Taxi vipยังรออยู่ให้เราเดินออกมารอด้านหน้าสถานีเดี๋ยวเขาวนมารับเองรถเป็นรถเก๋งรุ่นใหม่สะอาดสะอ้านดี เเละก็โชคดีเป็นคนเเรกที่ขึ้นเลยได้นั่งหน้ากับคนขับเเละก็โชคดีอีกเจอพี่คนขับที่เป็นเจ้าของวินเลยเเอบล็อคที่ขากลับให้เขาจองคู่คนขับให้หน่อยเพราะดูจากทางที่มาเเล้วขืนนั่งหลังมีสิทธิ์ได้อ้วกเเน่ๆ
เเละนี้คือ"แบเลาะ"Taxi vip(ใครอยากใช้บริการโทรไปตามเบอร์ในเว็บไซต์ที่ให้ไว้ด้านบนได้ โชคดีอาจจะได้เจอแบเเกขับเอง)

ระหว่างทางแบเเวะรับเพื่อนร่วมทางของเราอีก3คน(จริงๆต้องเป็น4เพราะมีเบ่บี๋อีก1คนด้วย)ที่อ.บันนังสตาชื่อคุ้นหูที่เราได้ยินกันบ่อยจากในทีวี เเล้วแบก็พูดประโยคลอยๆมาให้ใจเต้นเร็วกว่าจังหวะปกติ..หนูว่าเเบคงต้องเหยียบหน่อยเเล้วละคะตอนนี้>.<

หัวโยกหัวเหวี่ยงกันเกือบ3ชม.แบเลาะก็พาเรามาถึงเบตงในช่วงบ่ายด้วยถนนหมายเลข410พร้อมเพื่อนร่วมทางอีก4ชีวิตด้านหลังอย่างสวัสดิภาพ

เเบขอไปส่งเพื่อนร่วมทางด้านหลังก่อนเเล้วจึงวนมาหาที่พักเรากัน Foto hostelหาไม่ยากจากหอนาฬิกากลางเมืองวิ่งมาทางรร.โมเดิร์นไทยเเละK-mart shop ก็จะเจอhostelเล็กๆสีขาวๆดำๆตั้งอยู่เลยรร.โมเดิร์นไทยมานิดหน่อย

พี่ฟกเจ้าของที่พักรอรับอยู่เเล้ว ก่อนจากกันเราย้ำเเบเลาะเชิงอ้อนวอนอีกทีว่าขากลับแบอย่าลืมล็อคที่นั่งคู่คนขับให้หนูนะ เเหะๆ เเบบอกไม่ต้องห่วงๆเดี๋ยวจัดการให้ มีอะไรก็โทรหาเเบได้^^

พี่ฟกแจ้งข่าวดีทันทีตอนมาถึงว่าคาดว่าทั้งห้องนั้นจะมีเเค่เราคนเดียว เอากุญเเจห้องเเละล็อคเกอร์ไปเลย(ซึ่งล็อคเกอร์ก็ไม่ต้องใช้)

เเต่ข่าวร้ายก็คือเราจะไม่มีกรุ๊ปให้จอยไปเที่ยวนะซิ พี่ฟกบอกเดี๋ยวตอนเย็นจะมีกรุ๊ปใหญ่มาพักอีกกรุ๊ปนึงมีกัน9คนเดี๋ยวลองคุยดูก่อนว่าโอเคไหม ถ้ายังไงอาจขอจอยกับเขาก็ได้เพราะรถตุ๊กๆคันใหญ่ที่เหมาไว้นั่งได้10-11คน เราก็นั่งกับคนขับก็ได้พี่ฟกว่าอย่างนั้น

ได้ยินแบบนั้นก็แอบใจชื้นเเต่ก็ขอตัวไปอาบน้ำล้างตัวนอนพักซักหน่อย ก่อนออกไปเดินเล่นหาอะไรทานรอบๆเมืองเห็นเขาว่าเบตงนี่เดินเล่นได้รอบเมืองสบายๆ เเล้วค่อยกลับมาเซย์ไฮกรุ๊ปที่คาดว่าจะขอติดสอยห้อยตามเขาไปอีกทีช่วงค่ำๆ

หอนาฬิกากลางเมืองออกมาจากhostelก็เห็นเลย ข้างๆกันก็ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก(ข้างๆตู้ปณ.ที่เห็นคือแก๊งค์รถแบเลาะนั่นเอง)

เดินมาถึงหอนาฬิกาก็บังเอิญหันไปเจอเเลนด์มาร์คสำคัญของเมืองเบตง 'อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์' อุโมงค์รถผ่านหลอดภูเขาเเห่งเเรกของประเทศไทย วู้วววประวัติเลเวลอัพไปอีก555 ไม่รอช้าเขาบอกว่าอุโมงค์สามารถเดินทะลุไปอีกฝั่งได้ไม่อันตรายเพราะมีฟุตบาทกว้างๆสำหรับคนเดินไว้ให้อยู่เเล้ว ตอนอยู่ในอุโมงค์เสียงจะดังก้องมากความยาวประมาณ300เมตร

เมื่อเดินมาทะลุอีกฝั่งจะเจอป้ายใต้สุดเเดนสยาม เมื่อเลี้ยวขวาจะมองเห็นเนินถนนไม่ชันมากคือทางขึ้นสนามกีฬาเทศบาลเป็นสนามกีฬากลางหุบเขามีชาวเบตงมาวิ่งมาออกกำลังกายกันทุกเช้าเย็น ช่วงเช้าอากาศดีมากบางวันก็จะมีหมอกอ่อนๆ

หันหลังให้สนามกีฬาเดินมาอีกฝั่งจะมีสวนสำหรับเดินเล่น เเละพิพิธภัณฑ์จัดเเสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณเเละภาพถ่ายเบตงสมัยก่อน

เเต่จุดพีคของพิพิธภัณฑ์สำหรับเราคือชั้นบนสุดซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยมาก สามารถมองเห็นเมืองเบตงที่ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาได้ทั้งเมือง

เบตงวางพังเมืองได้อย่างเรียบร้อยสวยงามจากจุดนี้มองลงไปเราจะเห็นว่าตัวเองอยู่ตรงกับหอนาฬิกาเเทบจะพอดิบพอดี

ตึกรามบ้านช่องของชาวเบตงส่วนมากจะมีสีสันสดใสบางโซนสดใสมากกกกก

พอถ่ายรูปมาจากมุมสูงก็จะน่ารักๆเหมือนเมืองตามต่างประเทศที่คนไทยชอบไปเที่ยวกันไม่มีผิด

ชมเมืองกันจนอิ่มเราเดินลงมาทางขวาของพิพิธภัณฑ์(จริงๆคือเดินลงทางไหนก็ได้ๆทุกทิศ)ผ่านวัดจีนซึ่งมาจบกับถนนเส้นที่คล้ายจะขนานhostelตรงไปก็เจอหอนาฬิกา คือเบตงเป็นสี่เหลี่ยมถ้าหลงก็ให้นึกภาพเเล้วเดินเป็นสี่เหลี่ยมเดี๋ยวก็ไม่หลง5555

เเล้วก็ถึงเวลาหาอะไรลงท้องหน่อยวินาทีนี้เจอร้านไหนก็เเวะเลยละกัน

อาหารมื้อเเรกของวันตอน4โมงเย็น 'ผัดหมี่เบตง' ร้านกุ๊กอ๊อดให้มาเยอะมากในราคา50บาทเหมือนจะกินไม่หมดสรุปคือไม่จริงๆ ไม่เหลือ!

เสร็จเเล้วก็ต้องเดินย่อยซินะดูเมืองดูผู้คนไปเพลินๆ อย่าลืมคิดภาพสี่เหลี่ยมไว้ในหัวเเล้วก็เดินๆๆ โชคดีที่เบตงอากาศไม่ร้อนมากเลยเดินได้สบายๆ

แท็กซี่เบนซ์คลาสสิคแบบเบตงสไตล์

เดินจนหมี่ผัดในท้องย่อยก็ตัดสินใจกลับที่พักไปลองเสิร์ชหาข้อมูลร้านอาหารอร่อยๆในเบตงเตรียมไว้พรุ่งนี้หน่อย

ค่ำๆค่อยออกมาชมบรรยายกาศกันอีกซักรอบ เห็นเขาว่า(เขานี่ว่าบ่อยมากเขาไหนก็ไม่รู้>.<)อุโมงค์ตอนกลางคืนเปิดไฟประดับประดาสวยงาม

ร้านรวงยามค่ำคืนเปิดไฟสว่างไสวรอต้อนรับทั้งชาวเบตงเเละผู้มาเยือนแบบเราๆกันอย่างคึกคัก

เบตงไม่น่ากลัวเลยจริงๆขอยืนยันด้วยตัวเอง เดินไปซอกซอยไหนก็มีร้านรวงเปิดอยู่เป็นระยะคนเบตงเองก็ใช้ชีวิตกันปกติทั้งกลางวันกลางคืน

เพราะฉะนั้นเอาจริงๆนะมาเถอะไม่ต้องกลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการที่เราไม่กล้าออกไปใช้ชีวิตมากกว่า

ตบท้ายด้วยถั่วเขียวต้มน้ำตาลอุ่นๆก่อนนอน จะบอกว่าสิ่งที่ประทับใจอีกอย่างของเบตงคือราคาอาหารที่เขาจะตั้งกันเเบบน่ารัก15  17  25 30 45 50

อาจจะดูปกติ เเต่เราไม่ค่อยเจอที่ไหนเเล้วไงน้ำขนมเเก้ว15บาท 17บาทหรืออาหารจานเดียว50บาทเเต่ปริมาณกินได้2คนเเล้วแบบอร่อย

เรากำลังจะบอกว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันเป็นสิ่งเล็กๆที่เราในฐานะผู้มาเยือนรู้สึกดีเพราะเราได้รับแบบที่คนในพื้นที่ได้รับไม่มีหรอกราคงราคานักท่องเที่ยว มันยิ่งทำให้อุ่นใจเหมือนเราเป็นเพื่อนเป็นญาติเป็นคนที่เขารู้จักอยู่เสมอ เราว่ามันสำคัญเเละเป็นเสน่ห์แบบที่เบตงมีเเละอยากขอให้มีตลอดไป

เราเดินกลับมาhostelหลังซัดถั่วเขียวต้มไปเกือบหมดถ้วยพร้อมกับเเวะซื้อขนมเล็กๆน้อยมาผูกไมตรีกับแก๊งค์วัยทีนจากเมืองนราธิวาสที่จะขอจอยเขาไปพรุ่งนี้(ซึ่งพี่ฟกจัดการคุยไว้ให้เเล้วเสร็จสรรพน้องๆไม่มีปัญหาถ้าเราโอเคก็โอเคเลย)

ตอนกลับมาพี่ฟกบอกน้องๆเพิ่งออกไปหาไรกินเเละเปลี่ยนแผนของวันพรุ่งนี้นิดหน่อย น้องๆจะไปล่องแก่งกัน ตึ่ง! แก่งเหรอไอเราก็อยากล่องนะเเต่ก็ติดขัดบางประการเลยบอกพี่ฟกว่าไม่เป็นไรสละเรือไปก็เเล้วกัน เเต่ด้วยพี่ฟกเเกก็อยากให้เราไปเพราะเราบอกอยากไปดูทะเลหมอกแกเลยว่าเดี๋ยวน้องๆกลับมาลองคุยดูอีกที นั่งคุยถามไถ่เรื่องราวชีวิตกับพี่ฟกพักใหญ่ก็ได้เจอน้องๆเเล้วก็คงเป็นโชคดีอีกครั้งที่น้องๆบอกว่าล่องแก่งพรุ่งนี้เขาไม่เปิดคงไม่ได้ล่องเเล้ว โอ้ววววขอบคุณที่ปิดเพื่อพี่(ใช่มั้ย?!??)

สรุปก็คือพรุ่งนี้พี่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะจ๊ะเด็กๆ สำหรับคืนนี้ขอตัวเลยเพราะวัยรุ่นเขานัดกันตี4ครึ่งล้อหมุนจ๊ะ บายยยยZzZZz

ตี4.30นาทีคือเวลาล้อหมุน เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี3.45น. เเต่ประมาณตี3ก็ได้ยินเสียงโครมครามๆมาจากบนเพดาน
มีคนปลุกเราเเทนนาฬิกาก่อนเวลาไป45นาที พยายามจะหลับต่อเเต่เขาก็ไม่ละความพยายามกันเลยยังคงปลุกอย่างต่อเนื่อง ตื่นก็ได้จ๊ะหนู
ตี4.30นาทีเเบมะผู้จะพาเราไปท่องเบตงวันนี้ก็มาถึงหน้าhostel น้องๆลงมาจากชั้น2ของhostelด้วยหน้าตาสดชื่นเเจ่มใส
เมืองเบตงตอนนี้ยังเงียบสงบ มีรถราผ่านตาบ้าง แแบมะบอกเดี๋ยวขอไปแวะถ่ายรูปตรงหน้าอุโมงค์กับหอนาฬิกาหน่อยนะ เเบจะเอาไว้โพสโปรโมท

แบมะเป็นชายวัยกลางคนอัธยาศัยดีเเละสนุกสนานเหมือนวัยรุ่น แกบอกเห็นพี่ฟกบอกเป็นกลุ่มวัยรุ่นเลยอยากพาไปเองปกติจะให้ลูกน้องไป
เเล้วรถตุ๊กๆพลัสสีเหลืองอ๋อยก็พาเรามุ่งหน้าออกนอกตัวเมืองเบตง คนเบตงจะเรียกในเมืองว่าตลาด(หลังจากนี้เราก็จะเรียกตลาดนะ)
เเละจุดหมายเเรกของวันนี้จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก"ทะเลหมอกอัยเยอร์เเวง"
ระยะทางจากตลาดถึงทะเลหมอกประมาณ40กม.เป็นทางเดียวกับที่มาจากยะลาใช้เวลาประมาณ30-45นาที เเต่เนื่องจากเราออกเช้าม๊ากกก ระหว่างทางก็มืดม๊ากกกก ไฟถนนมีเป็นระยะก็ห่างม๊ากกก แบมะพาพวกเราเกาะโค้งไปเรื่อยๆยอมรับว่าตอนนั้นในใจก็กังวลนิดหน่อยเพราะทางมันมืดมากเเล้วอย่างที่เห็นตอนมาคือข้างทางมันเป็นป่า เเล้วคุณก็รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกล่าวขานของแถวนี้ดีเเต่ก็อาศัยคุยกับเเบไปตลอดทางเพื่อคลายกังวล

รถขับมาถึงทางเเยกที่สามารถลัดไปอีกทางได้ เส้นทางจากยะลามาเบตงหรือเบตงไปยะลาช่วงกลางทางจะมีให้เลือก2แบบเเล้วเเต่ความชอบคือ ถนนเส้นเก่าเส้นที่เรามาจากยะลาวันเเรกทางจะโค้งเยอะหน่อยเเต่ไม่ชัน อีกทางคือถนนเส้นใหม่โค้งเหมือนกันเเต่ไม่ถี่มากเเลกกับการขึ้นเขาชันๆ เเละตอนนี้เเบมะกำลังจะพาพวกเราไปทางถนนเส้นใหม่

แบเลี้ยวเข้าไปได้พักเดียวเราก็ขึ้นเนินทันทีเเต่กลับเจอบ้านชาวบ้านระหว่างทางเยอะกว่า แบพูดออกมาลอยๆพร้อมหายใจออกยาวๆว่ามาถึงเเถวนี้เเล้วค่อยโล่งใจหายเกร็งหน่อย เอ่อออมันหมายความว่าไงคะเเบT.T

ซักพักก็ถึงทะเลหมอก ตอนเรามาถึงมีกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลย์กลุ่มใหญ่ถึงก่อนเเล้วกลุ่มหนึ่ง

เราก็ไม่รอช้ามุ่งหน้าขึ้นไปตรงจุดชมวิวทันที ตอนนี้ฟ้ายังมืดอยู่เเต่ก็รำไรๆพอให้เห็นสันเขาด้านล่างเเละทะเลหมอกที่รอคอย

เรานั่งรออย่างใจจดจ่อจนฟ้าสางเพื่อพบกับ..ความว่างเปล่าเเละความเหงา อันหลังไม่น่าจะใช่!!

ทะเลหมอกฟูหนาที่รอคอยไปไหน ทำไมไม่มาหาคิดถึงทุกเวลาอยากมาเจอ น้ำตาจิไหลT_T

น้องๆแก๊งค์นราธิวาสผู้ใจดียอมให้พี่มาเที่ยวด้วย^^

รอเเล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นมา แบมะเลยว่าเราลงไปกินโจ๊กตรงจุดชมวิวด้านล่างกันก่อนมั้ยเผื่อหมอกจะมาตอนฟ้าสว่างเเล้วค่อยขึ้นมาใหม่

เเต่สุดท้ายก็พบกับ....

เเต่คนที่ดูจะเสียใจเเละผิดหวังกับทะเลหมอกในวันนี้มากที่สุดกลับไม่ใช่เราหรือน้องๆกลับเป็นแบมะเจ้าของบ้านผู้พาเรามาต่างหาก

ไม่เป็นไรนะคะเเบวันนี้ก็สวยไปอีกแบบ ยังไงก็เรียกว่าได้มาเห็นทะเลหมอกเมืองเบตงกับตาตัวเองเเล้ว5555

แบเลยขอเเก้ตัวด้วยการพาไปดูทะเลหมอกจากในถ้ำเเทน

ก่อนที่เเบจะรู้สึกดาวน์กับทะเลหมอกไปมากกว่านี้ขอพาไปแก้ตัวที่ต่อไปเลยดีกว่า(แบคงคิดอย่างนั้น)

เราลงจากทะเลหมอกมาโพล่อีกทาง(คือถนนเส้นที่เราผ่านตอนมาจากยะลา) ไม่ไกลกันเป็นทางเข้า "น้ำตกเฉลิมพระเกียรติร.9"

เเละที่นี่เราว่าแบแก้ตัวได้สำเร็จ ฝนเพิ่งตกระหว่างทางไปน้ำตกเลยดูชุ่มฉ่ำเป็นพิเศษ

ตอนออกมาจากน้ำตกฝนหยุดตกพอดี เด็กจึงมีความคิดอยากล่องแก่งกันอีกครั้งเลยขอให้แบพาไปแวะดูหน่อย

ระหว่างทางแบเเวะตรงหมู่บ้านที่จะพาล่องแก่งปรากฏว่าปิดหมดทุกร้านอาจจะเพราะฝนตกน้ำในเเม่น้ำกลายเป็นสีชานมเย็นไหลเชี่ยว เเต่เเบแกมีเพื่อนทำล่องแก่งอยู่แกก็โทรเรียกให้ได้ ระหว่างรอเด็กๆตัดสินใจ ตรงนั้นเป็นที่ตั้งของ"สะพานไม้เเตปูซู"พอดีเลยถือโอกาสไปลองเดินสะพานเเขวนไม้ดูซักครั้ง ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นะตอนเดินมันแกว่งเเล้วก็โยกตลอดเวลาส่วนด้านล่างก็เป็นเเม่น้ำอย่างที่บอก หยุดนั่งมันกลางสะพานเลยเเล้วกัน

พอออกมาจากสะพานหลังจากเห็นเเม่น้ำที่ต้องล่องเด็กๆก็เกิดความลังเลใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าไม่ล่องกันดีกว่า

งั้นเราไปเที่ยวเเบบใสๆกันต่อนะจ๊ะ เเบมะพาพวกเราผ่านโค้งสบัดขึ้นเขาสูงชันเพื่อมา"สวนดอกไม้เมืองหนาว"มาถึงเด็กวิ่งเข้าห้องน้ำเอาโจ๊กที่กินเมื่อเช้าออกกันเป็นเเถว

ออๆๆๆ..ทางเข้าสวนดอกไม้จะลืมเเวะไม่ได้เลยนะเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง "ร้านเฉาก๊วยกม.4" แห่งเมืองเบตงที่มีคนบอกว่าจะเปลี่ยนโลกการกินเฉาก๊วยเดิมๆของคุณไปสิ้น ขนาดน้านนนน!

ขนาดนั้นจริงๆ คำเเรกที่เข้าปากไปก็รูสึกเเบบขนาดนั้นเหรอว่ะ ไม่เห็นหนึบๆเด้งๆแบบชากังราวเลยเเต่พอกินไปเรื่อยๆคำที่สองที่สามเฮ้ยยย! นี่มันอะไรมันละมุนมาก หนึบๆเด้งๆเเต่พองามละลายในปากเเต่ไม่ละลายในมือกันไปเลยเเถมที่ชอบมาก(ก.ไก่ล้านตัว)คือน้ำเชื่อมเฮ้ยน้ำเชื่อมคือดีมากพี่นี่ซดหมดถ้วยตอนไหนไม่รู้ตัวเลยเเทบอยากขอต่อถ้วย2 เเต่เมื่อกี้ได้ยินเเว่วๆว่าหมดเเล้วจ๊ะ นี่เพิ่มบ่ายโมงเองนะ สุดยอด จริงๆนะใครไปต้องไปกินจริงเขามีซื้อกลับบ้านเป็นกิโลได้ด้วย

ที่สวนดอกไม้เราไม่ได้เข้าไปขอนั่งรอเด็กๆอยู่ด้านนอกเพราะเห็นจากรีวิวจากหลายคนเเละเห็นสถานที่จริงก็คิดว่ารอด้านนอกดีกว่า(ใครอยากรู้ทำไมก็ลองไปเอง)ไม่หรอกอาจเป็นเพราะไม่ใช่สายหวานอยู่เเล้วเหรออออ??!!

จากสวนดอกไม้เราไปต่อกันที่"อุโมงค์ปิยะมิตร"อุโมงค์ที่ถูกขุดด้วยกลุ่มคอมมิวนิสมาลายาที่อพยพมาจากมาเลย์

นอกจากอุโมงค์เเล้วที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของกลุ่มคอมมิวนิส จะบอกว่าคุณลุงคุณป้าเจ้าหน้าที่บางคนนี่อยู่ตั้งเเต่อุโมงค์เริ่มขุดเจอประวัติศาสตร์กันตัวเป็นๆ แถมด้วยต้นไม้พันปีต้นเบอเริ่ม

ออกจากอุโมงค์ปิยะมิตรมุ่งหน้าสู่บ่อน้ำร้อน ที่นี่แบมะโฆษณาเรื่องไข่ต้มมากบอกไข่ต้มที่ต้มจากบ่อน้ำร้อนที่นี่อร่อยนี่แบพกเเม็กกี้มาให้เเล้วซื้อเเต่ไข่อย่างเดียวพอ ไอเราก็ไม่ค่อยสายไข่แบเลยจัดการเป็นเจ้ามือเลี้ยงไข่ต้มบ่อน้ำร้อนซะเลยเดี๋ยวจะหาว่าคุย555

เออออก็อร่อยสมคำโฆษณาไม่คาวไม่มีกลิ่น ดีๆลอง!

จบมิชชั่นบนเขาเเล้วสถานีสุดท้ายที่เราจะไปกันคือด่านชายเเดนไทย-มาเลเซีย เเต่ก่อนไปเราต้องผ่านตลาดเลยเเวะกินข้าวกันก่อน ส่วนร้านก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล ร้านต้นไม้ใหญ่ของเเบมะนี่เอง(แกมีร้านอาหารด้วย) เราสั่งข้าวผัดกะป๋อเพราะชื่อไม่คุ้นหู ถามที่ร้านเขาบอกเป็นข้าวผัดใส่ผักบุ้งน้ำพริกกะปิเเล้วโรยหน้าด้วยปลาจิงจังทอดกรอบ จัดมาคะ

หน้าตาข้าวผัดกะป๋อดูธรรมดานะ เเต่รสชาติไม่ธรรมดา ดีมากกกกกอยากกินอีก>.<

อิ่มกันเเล้วก็มุ่งหน้าตรงสู่ใต้สุดเเดนสยามของจริง ด่านชายเเดนไทย-มาเลเซียห่างจากตลาดแค่6-7กม.ถนนหนทางเป็นทางราบปกติ

แท่งปูนตรงกลางเป็นหลักแบ่งเขตพื้นที่ไทย-มาเลเซีย จากตรงนี้เขาไปมาเลย์ใกล้กว่าไปยะลาอีกมั้ง

เเบมะพาเราวนกลับมาตลาด ตอนนี้แก๊งวัยรุ่นผู้ร่าเริงสดใสเมื่อเช้าแบตเตอรี่เริ่มอ่อนเเล้ว เด็กๆขอกลับที่พักเลย เป็นอันจบOne day tripของพวกเราอย่างสวยงามตอนเวลาประมาณบ่าย3โมง ส่วนเราขอออกไปหาชาเย็นฉ่ำๆดูดซักปื้ดสองปื้ด เล็งไว้ร้านนึงตั้งเเต่เมื่อวาน

เป็นไงหล่ะโมเดิร์นเป็นที่สุดร้านชากาแฟที่เบตง ไม่ต้องหาหรอกนะคาฟ่งคาเฟ่อะไรเเบบนี้เเหละได้อารมณ์ดี(ที่บอกไม่ต้องหาคือจริงๆมันไม่มี555)

เเต่เราชอบเเบบนี้นะธรรมชาติดีหมายถึงเขาก็เป็นธรรมชาติของเขาดี ไม่ต้องมีคาฟ่งคาเฟ่อะไรมากมายเปิดมาต้อนรับนักท่องเที่ยวให้ผู้มาเยือนได้ใช้ชีวิตเเบบที่เบตงเป็นจริงๆ ลุงป้าน้าอาคุณพี่คุณน้องที่นี่กินชากาแฟกันทั้งวัน เสร็จเเล้วขอกลับไปงีบบ้างเดี๋ยวกลางค่ำค่อยออกมาหาอะไรกินอีกรอบพร้อมกับโทรไปน้ำเรื่องรถกับเเบเลาะอีกทีว่าพรุ่งนี้11โมงมารับด้วยยย

คืนสุดท้ายในเบตงกะไปกินเคาหยกที่ร้านดังซะหน่อยเเต่ไปถึงคนเยอะมาก ไอตัวคนเดียวเเบบเราก็เขินเลยขอหลบไปหาโจ๊กกบภูเขากินเเก้เขินเเทนเเล้วกัน กบภูเขาที่เบตงเขาขึ้นชื่อนะใครไม่เชื่อมาลองดู เนื้อขาวๆเเน่นๆเสิร์ฟมาในโจ๊กร้อนๆกินก่อนนอนอร่อยสุดๆ

ตบท้ายด้วยโรตีเจ้าอร่อยหน้าอุโมงค์ หลับฝันดีเเล้วคืนนี้

ส่วนใครอยากหาซื้อขนมของฝากลองไปร้านนี้ดูก็ได้ มีขนม ชา กาแฟมาเลย์เยอะเเยะให้เลือก

คืนนี้ก็เตรียมเก็บข้าวของเเล้วนอนซะ พรุ่งนี้ตอนเช้าจะออกไปเดินตลาดเช้ากับไหว้พระธาตุก่อนกลับ

เเต่ระหว่างที่เก็บของก็มีเบอร์เเบเลาะโทรเข้ามาถามว่าพรุ่งนี้กี่โมงนะ ตายๆแบลืมบอกที่คิวไว้ให้เเต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวแบจัดการไม่ต้องกังวลได้หลับเเน่ โอเคคะเเบหนูก้คงต้องเชื่อมั่นในตัวเเบเนอะ

เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นเเต่6โมงเดินไปวัดพุทธาธิวาสไหว้พระมหาธาตเจดีย์เพื่อเป็นศิริมงคลก่อนเดินทางกลับ จากhostelเดินไปง่ายมากเเค่ตรงขึ้นไปเรื่อยๆซักพักก็เจอ เดินขึ้นไปด้านบนมองไปเห็นหมอกคลุมเต็มยอดเขาเลยตัดสินใจหาทางลัดเดินไปตรงพิพิธภัณฑ์ จากด้านบนคงมองลงมาเห็นเบตงในสายหมอกสวยน่าดู เเต่ด้วยพยายามหาทางลัดเลยได้ลัดสมใจเดินวนไปวนมาจนหมอกหายเกือบหมดได้มาเเค่เห็นคลุมยอดเขาเรื่อๆ

มาถึงตลาดๆก็เริ่มวาย ง่อววววว

เเต่ก็ยังโชคดีเจอร้านเฮียบะหมี่เบตงที่เดินมาหาทุกวันปิดเเล้วทุกวัน วันนี้มาเจอตอนเฮียเพิ่มเปิดร้านเลย

อร่อยหนึบหนับต้องมาลอง ร้อนยันหยดสุดท้าย

เเล้วมาเเวะนั่งกินชานมร้อนตรงร้านใกล้ๆที่พักแป๊บนึงก่อนกลับไปอาบน้ำเตรียมตัว

9โมงกว่าๆเเบเลาะโทรมาถามว่าเสร็จยัง ยังซิคะเเบเรานัดกัน11โมงนะ

เเบบอกตอน11โมงกลัวไม่มีคนเเต่ตอนนี้มีคนเเล้วเหลือที่นึงพอดี เอ้าหนูมีทางเลือกมั้ยคะเเบรอได้มั้ยหนูกำลังจะอาบน้ำ เเบบอกได้ๆเสร็จเเล้วโทรมา เลยต้องรีบอาบน้ำเพราะภาระกิจยังเหลืออีกนิดหน่อย(ยังไม่ได้ส่งโปสการ์ดกับซื้อเเม่เหล็กที่ระลึก)เสร็จเเล้วก็ขอยืมมอเตอร์ไซต์พี่ฟกเเว๊นซ์ไปซื้อเเม่เหล็กที่ระลึกเเล้วก็โชคดีหน้าร้านมีตู้ไปรษณีย์ได้หย่อนตรงนั้นเลย กลับมาถึงที่พักเเบโทรมาอีกรอบพอดีว่าเสร็จยัง เสร็จเเล้วคะเเบมาโลดดด

สุดท้ายก็ได้ออกจากเบตงจริงๆเกือบ10โมงครึ่งขึ้นรถเสร็จขอโทษขอโพยเพื่อนร่วมทางก่อนเลยพาเพื่อนช้าไปหมด

เเบมีเเวะเติมพลังกันระหว่างทาง ทั้งขามาขากลับใครอยากเเวะเข้าห้องน้ำหรือผ่อนคลายจากอาการหัวเหวี่ยงก็บอกแบได้

เเต่แแล้วก็มาถึงยะลาเร็วกว่าความเป็นจริง(ก็แบเล่นสาดไม่ยั้งคิดมั้งไหมว่าหนูจะเสียว)

ทำไรหล่ะที่นี่มีเวลารอรถอีกตั้ง3ชม.ให้นั่งในสถานี3ชม.ก็เสียดายเวลา เดินเล่นรอบเมืองละกัน

คิดได้เช่นนั้นก็เดินเลยคะได้รอบนึงใหญ่ๆไม่ไหววะร้อนหนักด้วย หาร้านกาแฟนั่งดีกว่า

เสิร์ชเจอร้านนึงชื่อ"Roots cafe"อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเเต่จะไปยังไงหล่ะเลยโทรถามที่ร้าน เขาบอกว่าให้นั่งรถมาคือมันมีมอเตอร์ไซต์ให้นั่งมั้ยคะ เดินวนเเล้วไม่เห็นมีเสียงปลายสายเลยถามขึ้นว่ามากจากไหนเนี่ย เราเลยบอกไปว่าเรากำลังจะกลับกรุงเทพรอรถไฟตอน4โมงเลยหาร้านกาแฟนั่ง ว่าเเต่ถ้าหามอเตอร์ไซต์ไปได้ขากลับมีรถกลับมาใช่มั้ย เสียงปลายสายดังฉะฉานมาว่าไมาเป็นไรขากลับเดี๋ยวไปส่งเอง โอ่วววดีเลยคะถ้างั้นเเต่ตอนนี้ต้องหาทางไปให้ได้ก่อน

สุดท้ายไปเจอมอเตอร์ไซต์อยู่ด้านหลังสถานี เขาเรียกฝั่งตลาดเก่าโทรให้ที่ร้านบอกทางพี่วินก็น่ารักคิดราคา30บาท(ตอนเเรกที่ร้านกระซิบมาว่าอย่าให้เขาฟันนะพี่อย่าให้เกิน50บาท) เเล้วก็มาส่งถึงที่โดยสวัสดิภาพ

ใครมายะลาเเวะมาเยี่ยมเยือนมาชิมกาแฟกับขนมอร่อยๆที่นี่ได้ ขากลับเสียงปลายสายที่คุยกับเราซึ่งเธอเป็นเจ้าของร้านก็มาส่งเราถึงที่ตามที่เธอบอกไว้ ขอบคุณมากนะ^^

ในระหว่างนั่งกลับก็ได้เจอกับเพื่อนใหม่อีก1คน เธอเป็นสาวน้อยมุสลิมช่างคุยดูสนุกสนานเเต่เมื่อคุยไปซักพักกลับรู้สึกได้ว่า

เธอกำลังกำอะไรเเน่นๆอยู่ในมือเเละสิ่งนั้นก็คือชีวิตของตัวเธอเอง

มีคนซักกี่คนที่พรั่งพรูเรื่องราวต่างๆในชีวิตให้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่ถึง10นาทีได้อย่างมุ่งมั่นราวกับว่าเขารู้จักเธอมาค่อนชีวิต

เเละสุดท้ายก็เกือบจบลงด้วยน้ำตา เราคาดเดาเชิงพาทพิงถึงตัวเธอถูกทุกอย่าง(เธอเพิ่งมายอมรับตอนหลัง)

เรานอนคิดทั้งคืนว่าจะสามารถช่วยคลายกำมือเเน่นๆของเธออย่างไรได้บ้าง จึงเขียนโน๊ตเล็กๆที่คิดว่าเป็นประโยชน์เเละยื่นให้เธอก่อนลงที่สถานีหน้า

ในเวลา10โมงของอีกวันเรามาถึงสถานีชุมทางบางซื่ออีกครั้งด้วยความรู้สึกหนักๆกว่าทุกครั้งหรือเรากำลังจะเบื่อที่นี่นะ

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเรารู้สึกเบื่อกับชีวิตในกรุงเทพซะเหลือเกิน จนวันที่กลับมาถึงหลังจากได้เจอธรรมชาติของชีวิตธรรมดาๆยิ่งทำให้รู้สึกตอกย้ำความรู้สึกนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้เเต่หวังใจลึกๆว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวเราซะทีเเต่นั่นเเหละชีวิตธรรมดาๆก็มีเวลาของมัน อดทนอีกหน่อย!

เเละสุดท้ายสำหรับ"เบตง"ถ้ามีคนถามว่าเป็นยังไง ดีไหม โอเครึเปล่า เราไม่รู้ว่านิยามดีไหมโอเคไหมของพวกคุณเป็นยังไงเเต่สำหรับเราๆโอเค

หรือเพราะเราไม่ได้อยากไปเบตงเพราะเบตงมีอะไรเเต่เราอยากไปเห็นเบตงว่าเบตงมีอะไรเเละเป็นยังไง

หรือเพราะเราไม่ได้ไปเบตงเพราะเป้าหมายหลักเเค่เบตงเเต่เราอยากไปเบตงเพราะเราได้เดินทางได้คุยกับคนเเปลกหน้าที่จู่ๆก็พร้อมจะเล่าเรื่องราวต่างๆนาๆในชีวิตให้เราฟังเเทบจะหมดเปลือก

หรือเพราะเราไม่ได้ไปเบตงเพราะหวังให้เบตงมีเหมือนคนอื่นเเต่เราไปเบตงและเห็นว่าเบตงเป็นเบตงที่เป็นเบตงจริงๆอย่างที่ได้เขียนบอกเพื่อนๆในเฟสบุ๊คส่วนตัวเผื่อใครถามว่าเบตงเป็นคนแบบไหน? เราจะบอกว่า..

"เบตงเป็นคนธรรมดาที่บ้านอยู่ไกลเพื่อน เบตงไม่ว๊าวไม่พิเศษ แต่สิ่งหนึ่งที่เบตงดึงดูดคนใกล้ไกลให้อยากมาคุยมารู้จักก็เพราะ..

เบตงเป็นเบตงไม่จริตจะก้านเอาใจใครแต่มัดใจทุกคนได้อยู่หมัดนี่คือความน่ารักในแบบเบตง"

ไปเที่ยวกันนะไปหาพี่น้องชาวเบตงกัน

Mongkud

 วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 เวลา 16.34 น.

ความคิดเห็น