![](/f/46353/64fa0ca8e3da5835524b37dc.jpg)
หากเอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานี หลายคนคงนึกถึงเกาะสมุย เกาะพะงัน เป็นลำดับต้นๆ แต่จริงๆ แล้ว สุราษฎร์ธานียังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติเด็ดๆ อีกหลายที่เลย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนวป่าเขา แนวน้ำตก แนววัฒนธรรมประเพณี รวมถึงสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ ที่ทำให้เกิดสถานที่ที่ผมไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง นั่นคือเขื่อนเชี่ยวหลาน หรือชื่อเป็นทางการว่า เขื่อนรัชชประภา เขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ โดยสร้างปิดกั้นคลองพระแสง ลำน้ำสาขาของแม่น้ำพุมดวง ผลของการก่อสร้างเขื่อน เกิดประโยชน์หลายอย่าง ทั้งด้านการชลประทาน การบรรเทาอุทกภัย การประมง การผลิตไฟฟ้า การแก้ไขน้ำเสีย ผลักดันน้ำเค็ม รวมถึงการท่องเที่ยว ซึ่งนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไม่น้อยไปกว่าเกาะสมุยและเกาะพะงันเลยครับ
การเที่ยวชมทัศนียภาพของเขื่อนเชี่ยวหลาน เราสามารถซื้อทัวร์แบบ One day trip ก็ได้ แต่ถ้าใครอยากจะไปสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ผมแนะนำให้ซื้อแพคเกจแบบ 2 วัน 1 คืน หรือถ้าใครมีเวลามากหน่อย ก็เลือกซื้อแพคเกจแบบ 3 วัน 2 คืน ไปเลย รับรองว่าคุณจะได้ดูดดื่ม ซึมซับกับบรรยากาศรอบๆ ตัว จนไม่อยากกลับไปทำงานอย่างแน่นอน
สำหรับการพักค้างคืนในเขื่อนเชี่ยวหลาน มีผู้ประกอบการแพหลายราย โดยทริปนี้ ผมเลือกเข้าพักที่แพสมายเล่ย์ โดยซื้อแพคเกจแบบ 3 วัน 2 คืน (ราคาแพคเกจแล้วแต่ช่วงเวลาที่เข้าพัก/ประเภทห้องพัก/จำนวนผู้เข้าพัก) โดยในแพคเกจประกอบด้วยเรือรับส่ง พักแพ 2 คืน อาหาร 6 มื้อ นั่งเรือชมธรรมชาติเย็นและเช้า พาเที่ยวถ้ำ และประกันอุบัติเหตุครับ
โดยเรือจะออกในเวลา 11.00 น. (เป็นเรือจอย) หากมาไม่ทันเวลา จะต้องจ่ายค่าเรือเดินทางไปที่พักเอง
![](/f/46353/64fa0ceae3da5835524b37dd.jpg)
จากท่าเรือ นั่งเรือชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ น้ำในเขื่อนมีสีเขียว เวลาที่แดดออกจะเห็นความเป็นสีเขียวมรกตแบบชัดเจน พื้นที่อ่างเก็บน้ำอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติเขาสกครับ
![](/f/46353/64fa0ceae3da5835524b37de.jpg)
![](/f/46353/64fa0ceae3da5835524b37df.jpg)
![](/f/46353/64fa0cebe3da5835524b37e0.jpg)
![](/f/46353/64fa0cebe3da5835524b37e1.jpg)
นั่งเรือราว 45 นาที ก็มาถึงจุดไฮไลท์ของเขื่อนเชี่ยวหลาน นั่นคือเขาสามเกลอ เขาหินปูนที่มีลักษณะทรงสูงคล้ายๆ กับแท่งหิน 3 ยอดที่โผล่พ้นน้ำ ท่ามกลางภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่อยู่รายรอบ โดยส่วนยอดของแท่งหินทั้ง 3 ปกคลุมไปด้วยพรรณไม้สีเขียว ผมว่าเขาสามเกลอนี้นับเป็นสัญลักษณ์ของเขื่อนเชี่ยวหลานไปแล้ว เพราะใครต่อใครที่มาล่องเรือชมบรรยากาศในเขื่อนเชี่ยวหลาน จะต้องมาชมความสวยงามของเขาสามเกลอแห่งนี้ จนหลายต่อหลายคนขนานนามให้ที่นี่คือกุ้ยหลินเมืองไทยไปแล้ว
![](/f/46353/64fa0cebe3da5835524b37e2.jpg)
![](/f/46353/64fa0cece3da5835524b37e3.jpg)
คนเรือจะให้เราซึมซับกับบรรยากาศของเขาสามเกลอจนเป็นที่พอใจ แล้วก็จะนำเราตรงไปยังแพที่พักเป็นจุดหมายต่อไป ระหว่างทางก็จะเห็นแพพักหลายที่เลยครับ
![](/f/46353/64fa0cece3da5835524b37e4.jpg)
นั่งชมวิวไปเพลินๆ แป๊บๆ ก็มาถึงแพสมายเล่ย์ ที่ผมจองไว้ครับ
![](/f/46353/64fa0cece3da5835524b37e5.jpg)
ห้องพักที่นี่จะมี 4 โซนนะครับ โดยทางแพที่พักจะมีพื้นที่ส่วนกลาง เป็นจุดขึ้นลงเรือและเป็นพื้นที่ที่ให้บริการอาหารทุกมื้อ ส่วนด้านซ้ายจะมีห้องพัก 2 โซน ด้านขวาอีก 2 โซนครับ
![](/f/46353/64fa0cece3da5835524b37e6.jpg)
![](/f/46353/64fa0cede3da5835524b37e7.jpg)
ผมเข้าพักโซน D ภายในห้องพักกว้างขวางพอประมาณ ผนังห้องเป็นกระจก 3 ฝั่ง ทำให้เราสามารถชมความสวยงามของทิวทัศน์ได้ตลอดเวลา ส่วนฝั่งที่เหลือจะเป็นประตูที่จะเปิดออกไปด้านหลังของห้อง ในห้องพักจะมีเตียงขนาด 5 ฟุต 2 เตียง มีพัดลมติดผนัง 1 ตัว ระบบไฟฟ้าในห้องเป็นแบบโซลาเซล ห้องใครห้องมันครับ คือถ้าห้องเราใช้ไฟหมดในวันนั้น ก็ต้องรอแสงแดดของวันถัดไปเพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าให้อีกทีเพื่อใช้ในช่วงกลางคืน ในห้องไม่มีปลั๊กไฟสำหรับชาร์จอุปกรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากต้องการชาร์จ ต้องไปชาร์จที่พื้นที่ส่วนกลางครับ
ที่นี่ไม่มีบริการ Wifi นะครับ จะมีเพียงสัญญาณโทรศัพท์ของ AIS เท่านั้น
![](/f/46353/64fa0cede3da5835524b37e8.jpg)
![](/f/46353/64fa0cede3da5835524b37e9.jpg)
เมื่อเดินออกไปทางหลังห้อง จะเป็นพื้นที่ของห้องน้ำ โดยด้านซ้ายมือจะเป็นโถสุขภัณฑ์ใช้ในการขับถ่าย
![](/f/46353/64fa0ceee3da5835524b37ea.jpg)
ด้านขวามือ จะเป็นห้องอาบน้ำครับ
![](/f/46353/64fa0ceee3da5835524b37eb.jpg)
ช่วงที่ผมไปเที่ยว เอาแน่เอานอนกับสภาพอากาศไม่ได้เลยจริงๆ ตอนลงเรือที่เขื่อน ยังพอมีแดดส่องอยู่บ้าง แต่พอมาใกล้ถึงแพที่พัก ฟ้าก็ดำทะมึนมาเลย ดีที่เอาสัมภาระเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ฝนจึงถล่มลงมา
บรรยากาศหลังฝนหยุดตก ก็จะประมาณนี้ครับ จากหน้าห้องพัก มองออกไปจะเห็นสุสานต้นไม้ สวยงามเลยทีเดียว
![](/f/46353/64fa0ceee3da5835524b37ec.jpg)
![](/f/46353/64fa0ceee3da5835524b37ed.jpg)
ช่วงบ่ายแก่ๆ ผมมีโปรแกรมไปล่องเรือส่องสัตว์ รวมถึงชมพระอาทิตย์ตกกลางเขื่อนเชี่ยวหลานครับ
![](/f/46353/64fa0cefe3da5835524b37ee.jpg)
คนเรือพามาจอดริมหน้าผ้า จุดนี้คนเรือเล่าว่ากระทิงชอบออกมาเล็มหญ้า โดยวันก่อนหน้าที่ผมจะมามีกระทิงออกมาปรากฏกายให้เห็นหลายตัวเลยครับ
ระหว่างรอกระทิง ก็มองดูตามริมหน้าผาไปด้วย พบลิงหลายตัวกำลังห้อยโหนตามซอกหินและกิ่งไม้ นักท่องเที่ยวหลายคนได้เห็นลิงก็พากันตื่นเต้นยกใหญ่ แต่ผมเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว เพราะว่าผมมาจากเมืองลิง ลพบุรีครับ
![](/f/46353/64fa0cefe3da5835524b37ef.jpg)
ไม่นานนัก คนเรือก็เรียกให้ลูกทัวร์มองไปที่บนฝั่ง ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีแล้ว ที่เราจะมีโอกาสได้เห็นกระทิงที่หากินแบบธรรมชาติกันจริงๆ ผมพยายามมองหาอยู่นาน ถึงได้เห็นเจ้ากระทิง 2 ตัว ออกมาแทะเล็มหญ้าแบบไม่เกรงกลัวสายตาของนักท่องเที่ยวเลย ต้องยอมรับสายตาอันเฉียบคมของคนเรือจริงๆ ครับ เพราะถ้าไม่สังเกตให้ดี คงมองไม่เห็นกระทิงอย่างแน่นอน
![](/f/46353/64fa0cefe3da5835524b37f0.jpg)
![](/f/46353/64fa0cefe3da5835524b37f1.jpg)
นอกจากกระทิงแล้ว ยังมีเหยี่ยวบินมาทักทายด้วยครับ
![](/f/46353/64fa0cf0e3da5835524b37f2.jpg)
หลังจากได้ส่องกระทิงกันจนสาแก่ใจแล้ว คนเรือก็หันเรือกลับไปยังแพที่พัก และล่องเรือไปแบบช้าๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ซึมซับกับบรรยากาศช่วงแดดร่มลมตก แสงจากดวงอาทิตย์ที่พยายามสาดส่องผ่านกลุ่มเมฆหนา ส่องลงมายังสุสานต้นไม้ ผิวน้ำส่องประกายระยิบระยับ สวยงามเกินบรรยายจริงๆ ครับ
![](/f/46353/64fa0cf0e3da5835524b37f3.jpg)
![](/f/46353/64fa0cf0e3da5835524b37f4.jpg)
ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้เห็นอาทิตย์ดวงโตตกกลางเขื่อนเชี่ยวหลาน แต่อย่างน้อยก็ยังได้เห็นสัตว์น้อยใหญ่ที่ออกมาใช้ชีวิตตามธรรมชาติ นับเป็นภาพที่หาดูได้ยากในปัจจุบันแล้วครับ
เมื่อกลับมาถึงแพที่พัก ก็ถึงเวลาอาหารมื้อเย็นแล้ว ทางแพที่พักมีอาหารให้เลือกทานหลายอย่างเลยครับ รสชาติอาหารถือว่าโอเคเลย แต่เมนูอาหารผมไม่ได้ถ่ายมาให้ชมนะครับ เพราะเกรงใจแขกท่านอื่นๆ ครับ
เมื่อคืนมีฝนตกพรำๆ ตลอดทั้งคืน ทำให้ตื่นเช้ามาบรรยากาศหน้าห้องพักเป็นแบบที่เห็น มันดีต่อใจมากๆ เลยครับ อดไม่ได้ที่จะต้องไปหยิบกล้องออกมาถ่ายภาพแบบรัวๆ
![](/f/46353/64fa0e2b43e5ea5594b8ea44.jpg)
![](/f/46353/64fa0e2b43e5ea5594b8ea45.jpg)
โซนห้องพักอีกโซน ฝั่งซ้ายมือของพื้นที่ส่วนกลางครับ
![](/f/46353/64fa0e2c43e5ea5594b8ea46.jpg)
ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์แบบเต็มๆ ปอดอย่างนี้
![](/f/46353/64fa0e2c43e5ea5594b8ea47.jpg)
![](/f/46353/64fa0e2c43e5ea5594b8ea48.jpg)
![](/f/46353/64fa0e2c43e5ea5594b8ea49.jpg)
เช้านี้ผมมีโปรแกรมนั่งเรือชมบรรยากาศยามเช้า รอชมแสงแรกของวันครับ
![](/f/46353/64fa0e2d43e5ea5594b8ea4a.jpg)
![](/f/46353/64fa0e2d43e5ea5594b8ea4b.jpg)
![](/f/46353/64fa0e2d43e5ea5594b8ea4c.jpg)
ถึงแม้แสงเช้าไม่โผล่ แต่ก็ยังได้เห็นนกเงือกออกมาบินโชว์ตัวครับ
![](/f/46353/64fa0e2e43e5ea5594b8ea4d.jpg)
เช้านี้ได้เห็นเหยี่ยวอีกแล้วครับ
![](/f/46353/64fa0e2e43e5ea5594b8ea4e.jpg)
หลังมื้อเช้า ผมยังมีโปรแกรมไปผจญภัย เพื่อชมความสวยงามของถ้ำปะการังครับ เราต้องนั่งเรือออกไปราว 1 ชั่วโมง ฝนก็ทำท่าจะตกอีกรอบแล้ว
เรือพามาจอดบริเวณจุดที่เราจะต้องเดินเท้าแล้ว เราต้องชำระค่าธรรมเนียมการเที่ยวชมในอุทยานเสียก่อน โดยผู้ใหญ่เสียค่าบริการคนละ 20 บาท ใครที่ไม่มีความพร้อมเรื่องรองเท้า สามารถเช่ารองเท้าบริเวณจุดจำหน่ายตั๋วได้นะครับ
เราต้องเดินผ่านผืนป่า ระยะทางประมาณ 1,200 เมตร ถามว่าเหนื่อยไหม เอาจริงๆ ถ้าเดินแบบชิลๆ ไม่เร่งรีบ ก็ไม่ถึงกับเหนื่อยนะครับ เส้นทางก็ไม่ได้สูงชันอะไร ระหว่างทางยังพบกับขี้ช้างป่าหลายจุดเลย มาเที่ยวช่วงฝนแบบนี้ มันก็จะมีแขกที่ไม่พึงประสงค์อย่างทาก ให้คอยระแวดระวังกันตลอดเวลาครับ
![](/f/46353/64fa0e2e43e5ea5594b8ea4f.jpg)
ระหว่างเส้นทางเราก็จะได้เห็นพืชพรรณน้อยใหญ่ ได้ยินเสียงของชะนีดังกึกก้องป่า เดินมาเรื่อยๆ ไม่เกินความพยายาม เราก็จะมาโผล่อีกหนึ่งจุด จุดนี้คือแอ่งน้ำกลางหุบเขา หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า ทะเลใน 500 ไร่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มที่เราจะต้องนั่งแพเพื่อไปยังปากถ้ำปะการังครับ แพที่พักของเจ้าหน้าที่ที่เห็น รวมถึงแพไม้ไผ่ที่เราจะล่อง วัสดุที่นำมาก่อสร้าง ถูกขนส่งด้วยแรงคน โดยลำเลียงมาตามเส้นทางที่เราเดินผ่านมา
![](/f/46353/64fa0e2f43e5ea5594b8ea50.jpg)
![](/f/46353/64fa0e2f43e5ea5594b8ea51.jpg)
แพ 1 ลำ นั่งได้ 12 คน เราต้องนั่งแพยนต์อีกประมาณ 10 นาที กับระยะทางราว 1,100 เมตร ก็มาถึงจุดเดินขึ้นปากถ้ำปะการังครับ จากจุดลงแพ เดินขึ้นตามทางลาดชันอีกสักเล็กน้อย ต้องเดินด้วยความระมัดระวังครับ
![](/f/46353/64fa0e2f43e5ea5594b8ea52.jpg)
ภายในถ้ำค่อนข้างสูงโปร่ง เดินแล้วไม่น่ากลัวครับ เส้นทางเดินไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย หินงอกหินย้อยในถ้ำปะการัง เป็นหินที่ยังไม่ตายนะครับ การเดินเที่ยวชมควรดูแต่ตา มืออย่าต้องครับ
![](/f/46353/64fa0e3043e5ea5594b8ea53.jpg)
![](/f/46353/64fa0e3043e5ea5594b8ea54.jpg)
การชมหินงอกหินย้อยแต่ละจุด อาจต้องอาศัยจินตนาการหน่อยนะครับ บางจุดเห็นแล้วก็บอกได้เลยว่า เหมือนอะไร อย่างกลุ่มหินนี้ มองเห็นเป็นช้างกันไหมครับ ช้างตัวนี้ส่องประกายระยิบระยับด้วย
![](/f/46353/64fa0e3043e5ea5594b8ea55.jpg)
![](/f/46353/64fa0e3043e5ea5594b8ea56.jpg)
![](/f/46353/64fa0e3143e5ea5594b8ea57.jpg)
จุดนี้ที่เป็นที่มาของชื่อถ้ำปะการัง เหตุเพราะมีหินลักษณะคล้ายกับปะการังเขากวาง ที่เห็นเป็นผลึกขาวๆ คือหินกำลังเจริญเติบโตครับ
![](/f/46353/64fa0e3143e5ea5594b8ea58.jpg)
จุดนี้ลักษณะคล้ายกับผ้าม่าน ที่มีความพลิ้วไหว หินบางส่วนจะมีความแข็งแรงแล้ว พิสูจน์ได้ โดยใช้ไฟส่องด้านหลังของแผ่นหิน เราจะไม่เห็นแสงที่สว่างออกมา แต่บางจุดเราจะสามารถมองเห็นแสงที่ทะลุผ่านหินได้เลย แสดงว่าจุดนั้นหินยังไม่แข็งแรงครับ
![](/f/46353/64fa0e3143e5ea5594b8ea59.jpg)
![](/f/46353/64fa0e3243e5ea5594b8ea5a.jpg)
หินตรงนี้คล้ายพระสมเด็จครับ สันนิษฐานว่า เกิดจากน้ำที่ไหลออกมาจากรูด้านบน นานวันจึงเกิดหินงอกเป็นทรงสามเหลี่ยม ปัจจุบันหินหยุดการเจริญเติบโตแล้ว เพราะมีนักท่องเที่ยวบางคนเอาแป้งไปโรยแถมยังลูบคลำหินเพื่อหาเลข ซึ่งการกระทำแบบนี้ทำให้หินหยุดการเจริญเติบโต
![](/f/46353/64fa0e3243e5ea5594b8ea5b.jpg)
จุดนี้เป็นช้างหลายๆ ตัวซ้อนกันเป็นโขลงเลยครับ
![](/f/46353/64fa0e3243e5ea5594b8ea5c.jpg)
สันนิษฐานกันว่า แต่เดิมถ้ำนี้จมอยู่ใต้ท้องทะเล เหตุที่สันนิษฐานอย่างนั้น เพราะพบฟอสซิลปลาหมึกและกั้งทะเลอยู่ตรงผนังถ้ำครับ
![](/f/46353/64fa0e3243e5ea5594b8ea5d.jpg)
การชมถ้ำวันนี้ ทำเอาผมเพลิดเพลินจนลืมความเหนื่อยเลยครับ ถึงแม้ถ้ำจะมีความลึกเพียง 80 เมตร แต่ก็มีหลายสิ่งอย่างให้ได้ชมมากมายจริงๆ
ระหว่างเส้นทางเดินกลับจากทะเลในไปยังจุดจอดเรือ บันเทิงมากๆ ทั้งฝนถล่ม ทั้งเส้นทางที่ลื่น ไหนจะฝูงทากที่รอดูดกินเลือดอีก สุดๆ ไปเลยครับ นี่ขนาดมายืนรอให้ฝนหยุดตรงจุดชำระเงิน ผมยังโดนทากดีดมาเกาะที่ขาเลย ดีที่เห็น เลยแกะออกได้ทันครับ ฝนยังคงตกมาตลอดเส้นทางกลับ ตกยาวจนมาถึงแพที่พักของผมเลยครับ กลับมาถึงก็อิ่มหนำกับมื้อเที่ยง ที่ทางแพได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว
ในช่วงบ่ายก็ถึงเวลาพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ใครมีแรงเหลือก็พายคายัคเล่นกันไป ส่วนผมขอเก็บภาพบรรยากาศหลังฝนตกจากหน้าห้องพักยาวไปครับ
![](/f/46353/64fa0e3343e5ea5594b8ea5e.jpg)
![](/f/46353/64fa0e3343e5ea5594b8ea5f.jpg)
ตื่นมาเข้าห้องน้ำช่วงกลางดึก มองออกไปนอกห้อง เห็นท้องฟ้าโปร่งมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นเห็นทางช้างเผือก เลยรีบคว้ากล้องออกไปถ่ายจากหน้าห้องพักครับ
![](/f/46353/64fa0e3343e5ea5594b8ea60.jpg)
ถ่ายทางช้างเผือกเสร็จก็กลับไปนอนต่อ มารู้สึกตัวอีกทีด้วยเสียงฝนตกหนักมาก ตกยาวยันฟ้าสว่างเลยครับ
![](/f/46353/64fa0e3443e5ea5594b8ea61.jpg)
หลังอาหารเช้า ก็เตรียมนั่งเรือกลับกันครับ มีสายรุ้งโผล่มาส่งผมกลับด้วย
![](/f/46353/64fa0e3443e5ea5594b8ea62.jpg)
ฝนก็ยังคงตกมาตลอดเส้นทาง หนักบ้างเบาบ้าง ทำให้ชุ่มฉ่ำหัวใจกันไปครับ
![](/f/46353/64fa0e3443e5ea5594b8ea63.jpg)
ถ้าหากใครอยากจะหนีความวุ่นวาย แล้วหาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแบบตัดขาดจากโลกภายนอก ให้ธรรมชาติช่วยบำบัดร่างกายและจิตใจ ผมว่าการเข้าพักที่เขื่อนเชี่ยวหลาน ตอบโจทย์ได้ทุกข้อเลยครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 10.04 น.