Everest Base Camp (EBC)

ฤดูหนาวนี้มีโอกาสกลับไปเทือกเขาหิมาลัยอีกครั้ง ซึ่งก็เพิ่งกลับจาก Annapurna Base Camp (ABC) เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน รอบนี้เรากับพี่เดินทางไปกันสองคน เทรคยาวฉลองวันเกิด ฉลองคริสต์มาส และฉลองปีใหม่ ไปพร้อมกันทีเดียว เริ่มเทรคตั้งแต่ -1 จนถึง -30 องศา ร่างแพลนแรกจะข้าม Chola pass กับ Gokyo lake ด้วย แต่พี่เบรคเราไว้ก่อน เพราะเดือนนี้อากาศหนาวโหดมากและทะเลสาปคงถูกเคลือบไปด้วยน้ำแข็งสีขาวแทนสี Turquoise แพลนจึงเปลี่ยนเป็นเดินตรงไป Base Camp แล้วกลับทางเดิมแทน

ช่วงเวลา : 21 ธันวาคม 61 ถึง 5 มกราคม 62 (16 วัน)

Visa : รอบนี้เราทำแบบ Visa on arrival หรือใครจะขอจากสถานทูตเนปาลที่ไทยก่อนเดินทางก็ได้ค่ะ

(รายละเอียดขอวีซ่า ที่นี่ http://www.nepalembassybangkok.com/visathai.php)

Insurance : AIG Plan C (ปัจจุบันยกเลิกการคุ้มครองในประเทศเนปาลแล้ว)

แนะนำของบริษัท Chubb หรือบริษัท Thaivivat แทนค่ะ

Contact : Adventure Himalaya Circuit Treks and Tours (Facebook : Prakash Lamsal) เราไป ABC ก็เจ้านี้แหละ บริการดีมาก

อุปกรณ์ :

•กระเป๋าเป้

   Day pack ใส่ขนม , กระติกน้ำ , เสื้อหนาว

   Duffle bag ใช้ใบใหญ่ช่องเดียวรวมทุกอย่างไว้ในนั้น สะดวกมาก

•เสื้อผ้า

เสื้อ Base layer Quick dry 2 ตัว

Fleece (Mid layer) 2 ตัว

Down Jacket เสื้อขนเป็ด 2 ตัว

Outer Leyer (waterproof & block wind) 1 ตัว และเช่าแบบ Summit series อีก 1 ตัว ( 1 USD ต่อวัน)

กางเกง Quick dry 2 ตัว

กางเกงเลคกิ้งแนบเนื้อ กับ ลองจอนบุขนสัตว์ ใส่ซ้อนกันตอนนอน

หมวกกันแดด 1 ใบ

หมวกอุ่น 2 ใบ สวมใบเล็กแล้วใช้หมวกไหมพรมหนาซ้อนอีกชั้นนึง

ผ้าบัฟ แนะนำแบบ Merino wool ใช้ปิดจมูกตลอด ทั้งกันฝุ่น กันจมูกแห้งจากอากาศหนาว

ถุงมือ (waterproof & block wind) 2 คู่

ถุงเท้า (ใส่เดิน 5 คู่ ใส่นอน 1 คู่)

•แว่นกันแดด

•Trekking pole

• ไฟฉายคาดหัว ใช้ตอนเดินขึ้นไปชม Sunrise บน Kalapatthar แต่ใครแพลนขึ้นตอนสายหรือชม Sunset ไม่ต้องเอาไปก็ได้

•Universal plug

•รองเท้าแตะ

•กระติกน้ำ เลือกชนิดเก็บความร้อนได้ เพราะระหว่างเดินบนเขาน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งหมด

•Thermal patch (แผ่นแปะให้ความร้อน)

•Sleeping bag -20 องศา ในย่าน Thamel มีให้เช่า 1 USD ต่อวัน สภาพดีมาก

•กระเป๋ายา

ตั้งแต่เริ่มจองตั๋ว งานก็ล้นมือตลอด แทบไม่มีเวลาเตรียมพร้อมร่างกาย จากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพก่อนบินแปดชั่วโมง มีเวลาจัดกระเป๋าแค่สามชั่วโมง ทุกอย่างดูกระชั้นชิดรีบร้อน แต่ก็มาถึงเนปาลจนได้

  เราพักโรงแรมเดิมในย่าน Thamel เหมือนรอบก่อน วันนี้อากาศ 10 องศานิดๆ ประเดิมมื้อแรกด้วย MoMo ทอดร้อนๆในร้าน B.K.'s Place  บรรยากาศยามเย็นชาวเมืองยืนผิงไฟกองใหญ่กันข้างถนนเลยทีเดียว

Trekking Route : -->Lukla 2840 m then trek to Phakding 2610 m
Distance = 9.6 km / Time = 4 hrs

  เที่ยวบินจากเมืองหลวง Kathmandu ไป Lukla เป็นอะไรที่ไม่แน่นอนขึ้นกับสภาพอากาศเมฆหมอก ดีหน่อยก็เป็นชั่วโมง แย่หน่อยก็เป็นวัน บางคนเจอหลายวันก็มี ส่วนพวกเราในเช้าวันนี้เจอเมฆเยอะมาก ไฟท์ก่อนหน้าดีเลย์หมด พอดวงอาทิตย์แสงส่อง ฟ้าก็เริ่มเปิด เครื่องทยอยขึ้นทีละลำ สรุปขาไปเครื่องดีเลย์แค่ครึ่งชั่วโมงเอง ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

แนวเทือกเขาหิมาลัยทางฝั่งซ้าย โผล่พ้นเมฆขาวๆนุ่มๆ เรียงตัวสูงต่ำตลอดทาง เมื่อเครื่องบินใบพัดที่นั่งสองแถวลำเล็กลดระดับลง กัปตันชะโงกหารันเวย์ จังหวะนักบินหันมาสบตากันแล้วเดดแอร์ ผู้โดยสารนิ่งกันทั้งลำ ฮ่า... ก่อนจะร่อนลงรันเวย์ที่น่าหวาดเสียวอย่างปลอดภัย

   ไกด์ชื่อ Pasang Sherpa (พวกเราเรียก ‘ป๊ะซัง’)กับน้อง Porter ชื่อ Dojee มารับทันทีที่ลงเครื่อง ครั้งแรกที่เจอคือทั้งคู่โคตรเท่ห์ คล่องแคล่ว รู้สึกเลยว่ารอบนี้จะไปถึง Base camp ได้แน่นอน แต่ขอซดชานมกลิ่นรสที่คิดถึงมานานก่อนแล้วกัน

อุณหภูมิเมื่อแตะพื้นอยู่ที่ -1 องศา เทรควันแรกเริ่มต้นจากหมู่บ้าน Lukla ประตูสู่พื้นที่ Khumbu , อุทยานแห่งชาติ Sagarmatha และพื้นที่เขตภูเขาเอเวอเรสต์ เพื่อไปพักหมู่บ้าน Phakding ที่มีความสูงต่ำลงมา

เส้นทางลงเรื่อยๆเดินง่าย เพลินๆก็ถึงที่หมายแล้ว เหลือเวลาเดินถ่ายรูปรอบหมู่บ้าน Phakding อีกในตอนเย็น มองเห็นแนวสันเขา Kongde กับแม่น้ำ Dudh Koshi ที่ไหลมาจากเทือกเขาเอเวอเรสต์

Trekking Route : -->Namche Bazaar 3440 m
Distance = 12 km / Time = 7 hrs

วันนี้เดินขึ้น ขึ้น และก็ขึ้นไปยังหมู่บ้านใหญ่อลังการที่สุดที่เคยเห็นในหนังเรื่องโปรด Everest แหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร ผับบาร์ เบเกอรี่ คลินิก ร้านยา ซาลอน ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม เกือบทุกสิ่งอย่าง สะดวกสบายเหมือนอยู่เมืองหลวง แต่วิวสวยเว่อร์

เส้นทางจะเดินเลียบแม่น้ำ Dudh Koshi ยาวไปจนเจอสะพาน Hillary bridge ซึ่งถือเป็น Signature ของเส้น EBC ก่อนถึงนัมเช อันเก่าด้านล่างชำรุดไม่ใช้แล้ว ต้องเดินขึ้นไปข้ามอันใหม่ด้านบนแทน

ถัดจากตรงนี้ไปอีกสักพักจะเห็นยอดเขาเอเวอเรสต์ที่อยู่ไกลมากจากมุมในซอกเล็ก โผล่มาให้เห็นชื่นใจนิดเดียวก่อน

นี่เดินชมนกชมไม้มาก ค่อยๆไต่ขึ้นเขา แวะเล่นกับเด็กน้อย ถ่ายรูปดอกไม้ข้างทาง เดินสวนกับขบวนเจ้าลาขนของ เรารู้สึกเหมือนเป็นเจ้าลาตัวสุดท้ายของกลุ่มเลย ก็หนาวขนาดนี้และไม่ได้ออกกำลังกายมาก่อน กลัวเกิด AMS แล้วจะไปต่อไม่ไหว

อุณหภูมิตอนถึงหมู่บ้านนัมเช -10 องศา ป๊ะซังพาขึ้นไปพักบนโน่น ตรงที่เห็นวิวหมู่บ้านนัมเชแบบพาโนรามา เราว่าเป็นที่พักที่สูงสุดของหมู่บ้านแล้วหล่ะ

เริ่มมีอาการปวดท้ายทอยนิดหน่อย แวะวัดระดับ Oxygen ตรงร้านยาได้ค่า 86% อาการมาดีขึ้นก็ตอนเห็นเขา Kongde ลูกมหึมานอกหน้าต่างห้องเนี่ยแหละ

Trekking Route : Acclimatization day
Distance = 4.1 km / Time = 3 hrs

  เช้านี้วัดระดับ Oxygen อีกครั้ง พุ่งขึ้นไป 97% ร่างกายพร้อมปรับระดับมาก

วันนี้เดินขึ้น Khumjung ที่ระดับความสูง 3790 m เพื่อชม Everest view point ตรงนี้พีคของยอดเขาเอเวอเรสต์ใหญ่ขึ้นจากที่เห็นเมื่อวาน และจะเดินกับวิวนี้ไปตลอด วิวเดิม แต่อากาศหนาวขึ้น บรรยากาศแปลกตาขึ้น และภาพเดิมที่ขยายใหญ่ขึ้น

มองกลับทาง Hotel everest เป็นช่องภูเขาแหวกให้เห็นก้อนเมฆด้านหลัง ห่างจากนี้ไม่ไกลจะเจอรันเวย์ที่ครั้งนึงเคยใช้เครื่องบินขึ้นลง แต่เกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก จนต้องย้ายสนามบินไป Lukla แทน ทุกวันนี้ใช้เป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์

Sherpa museum เรียนรู้การใช้ชีวิตของชาวเชอร์ปาสมัยก่อน เป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นโรงบ่มขี้แย็กสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง ชั้นบนแสดงความเป็นอยู่ในการดำรงชีพและความเชื่อทางศาสนา

ถัดจากนั้นไปชมวิดีทัศน์ในโรงหนังขนาดเล็ก การบรรยายจะแบบภาพนิ่งพร้อมข้อความด้านล่าง แล้วเดินเข้าห้องไปชมภาพผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้ว

ราคาตั๋วคนละ 250 RP

Trekking Route : --> Tengboche 3860 m
Distance = 10 km / Time = 6 hrs

เดินขึ้น อ้อมเขา ลูกที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า..จนไม่อยากนับ ยิ่งนับยิ่งไกล ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น วันนี้ไม่รีบ

หมู่บ้าน Tengbouche นี่วิวสวย ตั้งบนเนินสูง ภูเขาล้อมรอบ มีวัดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน ป๊ะซังพาเดินไปที่พักริมหน้าผาติดภูเขาด้านบน

ซองขนมบวมเป็นปลาปักเป้า ทิชชู่เปียกเป็นก้อนน้ำแข็ง กระติกใส่น้ำร้อนตอนนี้เย็นเจี๊ยบ ยาสีฟันน้ำ น้ำยาล้างคอนแทคแลนส์แข็งหมด อุปกรณ์ทุกอย่างทำดีที่สุดได้แค่นี้ละ ฮ่า...

Tengboche Monastery เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 7.00-8.00 , 9.00-11.00 , 13.00-16.30

มีบ่อน้ำเล็กมากตรงตีนเขา เป็นบ่อที่นำมากินมาใช้ พื้นด้านบนเป็นน้ำแข็งหมด ต้องใช้ขันค่อยๆตักลงไปในรู

ตอนเย็นเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ชอบแสงสีทองบนภูเขาหิมะที่สุดแล้ว จากตรงนี้มองเห็นพีคเอเวอเรสต์ซ่อนตัวอยู่หลังแนวเทือกเขา Nuptse–Lhotse ด้วย

คืนนี้เป็นคืนคริสต์มาสที่หนาวที่สุดในชีวิต ได้กินเค้กที่ทำสดใหม่จากโต๊ะข้างๆ น่ารักมากเลย

Trekking Route : --> Dingboche 4410 m
Distance = 12 km / Time = 7 hrs

จาก Tengbouche ช่วงแรกจะเป็นทางลงยาว ผ่านหมู่บ้านใหญ่ Pangbouche แล้วเดินทางราบไปเรื่อยๆ ขึ้นเขาบ้างแต่ไม่หนักมาก

ระหว่างทางเดินผ่านแม่น้ำ Imja Tse ซึ่งแยกย่อยมาจากแม่น้ำ Dudh Koshi และวันนี้พวกเรามาใกล้ Amadablam มาก ยิ่งใหญ่จนต้องร้อง โอ้โห!!

แย็กขนยาว เขาใหญ่ เจ้าสัตว์แห่งที่ราบสูง บนนี้มีม้าประปรายบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเจอเจ้าแย็กเนี่ยแหละคอยเดินขนของไปโน่นนี่นั่น

( หมู่บ้าน Dingboche )

Trekking Route : Acclimatization day
Distance = 3.3 km / Time = 2 hrs

Hoar Frost มาเซย์เฮลโหลแต่เช้า นอนมองเกร็ดหิมะรูปใบไม้เต็มหน้าต่าง ตัวยังซุกอยู่ใต้ถุงนอนอุ่น อุณหภูมิก็ -24 เอง ผ้าบัฟกับกางเกงในที่แขวนไว้นอกหน้าต่างโดนสตาฟไว้หมด

วันนี้เดินขึ้นไปถึงระดับ 4700 m ต้องรีบขึ้นในช่วงเช้า เพราะเห็นเมฆหนาอึมครึมลอยมาแต่ไกล

ช่วงบ่ายเมฆลอยปกคลุมหมู่บ้าน เอาหิมะโปรยปรายลงมาด้วย ดับฝันเราที่เตรียมออกไปกินเค้กในร้านเบเกอรี่ข้างๆ ต้องนั่งดมขี้แย็กเผาให้ความอบอุ่นร่างกายนิ่งๆ

Trekking Route : --> Lobuche 4910 m
Distance = 12 km / Time = 7.5 hrs

จาก Dingboche เดินทางราบ แวะพักครึ่งทางที่ Thukla หลังจากนั้นทางขึ้นโหดมาก ออกซิเจนไม่ต้องเอาไปใช้กับเซลล์ส่วนอื่นละ ใช้หายใจตอนขึ้นอย่างเดียวเลย อากาศหม่นครึ้ม ทัศนวิสัยเต็มไปด้วยหมอก หิมะก็ตกพอดีตอนถึงอนุสรณ์สถานผู้เสียชีวิตบนเอเวอเรสต์

อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนป่วยเยอะมาก เฮลิคอปเตอร์บินว่อนเป็นแมลงปอเลย

( อนุสรณ์สถานผู้เสียชีวิตในอ้อมกอดของภูเขาอันเลื่องชื่อแห่งนี้ )

( ทางไป Chola pass )



( ชมพระอาทิตย์ตกจากหน้าที่พัก )

เริ่มเกิด Mild AMS ในตอนเย็น..ปวดหัว..เลือดกำเดาไหล กินข้าวให้อิ่มท้องก็ท้องเสียอีก แล้วดันท้องเสียตอนทิชชู่เปียกเป็นก้อนน้ำแข็ง น้ำในถังกับในชักโครกก็เป็นน้ำแข็ง นี่ก็ต้องใช้น้ำแข็งราดส้วม โศกนาฏกรรมมาก ฮ่า...โคตรเปลี้ยวันนี้ เราจิบน้ำอุ่นมากขึ้น นั่งนิ่งๆ ผิงขี้แย็กร้อนๆ อารมณ์เหมือนเกิดใหม่ก็ตอนซดซุปกระเทียมถ้วยใหญ่ ตื่นเลยทีนี้

Trekking Route : --> Gorakshep 5160 m then EBC 5380 m
Distance = 8.6 km / Time = 6 hrs

  เช้านี้เพลียมาก เราเดินช้าลง จากที่ช้าอยู่แล้ว บางทีก็ช้าจัดจนพี่ต้องหันมากดดัน

  เป็นวันที่ใกล้ชิดกับภูเขาน้ำแข็งมากที่สุด ภูเขาเคลื่อนตัวดังเปรี๊ยะ!!เสียงเดียวกับหน้าและปากตอนยิ้มเลย หน้าแห้ง แตก ไหม้ เป็นขุยๆ

( หมู่บ้าน Gorakshep )

ผ่านสะพานแล้วสะพานเล่า จากสายน้ำสู่ธารน้ำแข็ง พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก ทั้งล้า ทั้งเหนื่อย ทั้งโล่ง ทั้งสดใส กว่าจะถึงจุดหมายอย่างภาคภูมิใจ

..Everest Base Camp..

29.12.18

เดินกลับถึงที่พักก่อนลมด้านนอกจะพัดแรงมาก พวกเราพักห้องริมสุด นอนฟังเสียงพายุอัดกำแพง เสียงดังน่ากลัว แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการหลับเลย ยังกรนแข่งกันเหมือนทุกคืน

Trekking Route : --> Kalapatthar 5555 m then Pheriche 4200 m
Distance = 14 km / Time = 9 hrs

พิชิตเป้าหมายของทริปไปแล้วที่ EBC อีกเป้าหมายคือ Kalapatthar พวกเราเรียกว่าเป็นโบนัส

อากาศ -30 องศา ตื่นไปเก็บโบนัสตั้งแต่ตีห้า อยากเห็นแสงสีทองผ่านยอดเขาเอเวอเรสต์แบบเต็มตาตอนพระอาทิตย์ขึ้น ตะเกียกตะกายเดินฝ่าอากาศหนาวมาได้ค่อนทาง แรงยังเหลือ แต่นิ้วเท้าดันกลายเป็นน้ำแข็ง ปวดมาก ตอนนี้อยากได้ Snow Boot มาช่วยชีวิต เพราะรองเท้า Trekking เอาไม่อยู่แล้ว

เอาวะ..รีบเดินขึ้นต่อหรอ ป่าว!!รีบเดินกลับ กลัวโดนตัดนิ้วเท้า ฮ่า....ค่อยกลับมาเอาโบนัสรอบหน้าแล้วกันนะ

ภาพเดียวที่ถ่ายได้ตอนขึ้น Kalapatthar

เราเห็นหลายกลุ่มเริ่มเดินขึ้นในตอนสาย สวนกับเราที่เกือบม้วนหน้าลงเขา ทรมานเท้ามาก รอบหน้าจะปีนขึ้นมาดูทั้ง Sunset ทั้ง Sunrise เลยคอยดู

ยาวลงมาเห็นหมู่บ้าน Pheriche อยู่ลิบๆ ในช่องหุบเขา พวกเราเดินสไลด์บนลำธารน้ำแข็ง ทางเดินเป็นทางเรียบที่แสงแดดส่องไม่ถึง ผลคือหนาวยะเยือก

Trekking Route :

•Back to Namche Bazaar 3440 m  Distance = 19.4 km / Time = 9 hrs

•Back to Phakding 2610 m  Distance = 6.5 km / Time = 4 hrs

•Back to Lukla 2840 m  Distance = 7.5 km / Time = 3.5 hr

   เส้นทางกลับเส้นเดิม แต่มันชวนให้รู้สึกใจหาย คิดถึงภูเขาด้านหลังอยู่ตลอด สำหรับเรา เชื่อที่ว่ากันว่า ‘หิมาลัยครั้งเดียวไม่เคยพอ’ นี่สองครั้งก็ยังไม่พออีก ต้องได้กลับมาอีกครั้งแน่

   จำได้ว่า 31 ธันวา พวกเราเดินกันยาวมาก จนแสงอาทิตย์สิ้นปีลับขอบฟ้า กว่าจะถึงที่พัก

ถึงเวลาต้องอำลาแล้ว ขอบคุณไกด์ Pasang Sherpa ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีตลอดทริปนี้ ไกด์ไม่ได้มีแค่ความแข็งแรง แต่นิ่ง ใจเย็น ใจดีมาก ที่ประทับใจที่สุด คือไม่ว่าเราจะเดินช้าแค่ไหน ไกด์ไม่เคยเดินทิ้งห่างไปไกลเลย

แต่อยากอาบน้ำมากตอนนี้ ยิ่งเดินลงอากาศอุ่นขึ้น ตัวยิ่งเหม็น กลิ่นผมเหมือนไปหมักกับน้ำซุปมา ไม่ได้อาบน้ำสิบกว่าวัน เกือบเน่าละ ฮ่า....

Half day trip in Kathmandu :

Nagarkot หมู่บ้านบนเนินเขาสูง สถานที่พักผ่อนของชาวเมืองกาฐมาณฑุ เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่มีฉากหลังเป็นแนวเทือกเขาหิมาลัย มีโรงแรมเต็มสองข้างทาง เวลาที่เหมาะสมคือ ช่วงตีห้า

กับอีกที่คือ Bhaktapur municipality แหล่งสถาปัตยกรรมโบราณของเนปาล

อาหารการกิน : เรื่องกินนี่เป็น Topic หลักของเราสองพี่น้อง เส้นทางสายหลักอย่าง EBC ไม่ต้องกลัวอด กินดีอยู่ดีมาก

Chicken chilly อันนี้เราชอบมากที่สุด บางร้านรสชาติเผ็ดหวาน บางร้านผัดกับเครื่องแกงเผ็ด

Yak steak เนื้อแย็กที่เหนียวมาสับให้ละเอียดแล้วนำมาทอดเป็นชิ้นๆ

Chicken steak เอาไก่ไปย่างกรอบๆก่อนราดด้วยน้ำสเต็ก

Korean ramen กินกับพริกดองฉบับชาวเนปาลี

MoMo Yak/Chicken นึ่งอุ่นๆอร่อยกว่าทอด

วันไหนหิวมาก แนะนำ Dal bhat (พี่เราเรียก ตาลปัตร) เซทข้าวร้อนๆ ผัดผัก ซุปข้น และแป้งแผ่นทอด เติมได้ไม่อั้นเลย

Chapati สลับขนมปังแผ่น ทาเนยและแยม

Muesli ซีเรียลราดนม (เยอะมาก..กินไม่เคยหมด)

หนาวจัดก็ซด Garlic soup ไปเลยนะคะ อร่อยด้วย

และที่ขาดไม่ได้ในตอนเช้าก็ชานมอุ่นๆนี่แหละ ทริปนี้มีโอกาสได้ชิมชานมใส่เกลือแทนรสหวานของชาวเนปาลี ก็แปลกๆดีค่ะ ระหว่างเดินแนะนำช็อคโกแลตร้อน หรือเลมอนอุ่น ช่วยเพิ่มความสดชื่นได้

Tips : รักษาร่างกายให้อุ่น เสื้อผ้าต้องพร้อม เน้นถุงมือถุงเท้า กินให้อิ่มไว้ จะน้อยๆบ่อยๆก็ได้ สำคัญคือจิบน้ำ อย่าให้ปัสสาวะขุ่น นอนให้พอ ค่อยๆเดิน หายใจเข้าลึกๆ และขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ

InspireMyJourneys

 วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เวลา 23.27 น.

ความคิดเห็น