ล่องเรือสัมผัสไอหมอก บ้านรักไทย แม่ฮ่องสอน 3 วัน 2 คืน 2,224 โค้ง

บ้านรักไทยเป็นหมู่บ้านในฝันของใครหลายคนที่อยากมาเยือน หมู่บ้านชาวจีนยูนนานที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา และมีทะเลสาบตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน จึงทำให้บรรยากาศหน้าหนาวมีความโรแมนติกเนื่องจากในตอนเช้าจะมีสายหมอกลอยเหนืออ่างเก็บน้ำ โดยกิจกรรมที่น่าสนใจคือการล่องเรือสัมผัสไอหมอกยามเช้าและจิบชาร้อน ๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น

วันที่ 1 พิชิต 2,224 โค้ง

ผมเริ่มต้นออกเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่โดยรถประจำทางของบริษัท เปรมประชาขนส่ง โดยเป็นรถตู้จากตัวเมืองเชียงใหม่ปลายทางแม่ฮ่องสอน สถานีขึ้นรถของเปรมประชาจะอยู่ที่สถานีขนส่งอาเขต 2 รถจะจอดอยู่ที่ชานชะลาที่ 12 เชียงใหม่ รถจะวิ่งผ่าน อำเภอปาย อำเภอปางมะผ้า และปลายทางที่ บขส. แม่ฮ่องสอน ระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง โดยจะมีรอบเวลา 6:30, 7:30, 8:30, 9:30, 10:30, 11:30, 12:30, 13:30 และ 14:30


ผมจองรถในรอบเวลา 08:30 ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1095 จากตัวเมืองเชียงใหม่ ลักษณะเส้นทางจะเป็นทางคดเคี้ยว ลัดเลาะไปตามภูเขา มีบางช่วงที่ถนนมีลักษณะโค้งหักศอกและขึ้นเขาชัน ซึ่งต้องนั่งรถไปในลักษณะนี้ตามตลอดเส้นทางประมาณ 4-5 ชั่วโมงด้วยจำนวนโค้ง 2,224 โค้ง แนะนำให้คนที่เมารถอย่าลืมนำยาแก้เมารถใส่กระเป๋าไปด้วยนะ

นั่งรถจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง รถจะแวะจุดแรกที่ โอเคมาร์ท ที่พักชั้นดีระหว่างทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน มีร้านค้า ห้องน้ำ ร้านกาแฟ ร้านขายอาหาร ขนม ที่บริการนักท่องเที่ยวช่วงพักเบรคแรก ส่วนใหญ่รถจะแวะจอดพักที่นี่ก่อนเพราะหลังจากนี้จะเป็นการเดินทางยาวจนถึงอำเภอปาย ซึ่งจะแวะส่งผู้โดยสารที่มีจุดหมายปลายทางที่นี่ จุดแวะพักต่อไปคือ อำเภอปางมะผ้า และออกจากจุดนี้เราก็จะนั่งรถยาวจนถึง บขส. อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

เวลาประมาณ 14:30 ผมเดินทางถึง สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งผมได้เช่ารถยนต์ไว้และนัดรับรถเช่าที่นี่ รอไม่นานรถเช่าก็มาถึง ผมทำสัญญาเช่ารถเสร็จสรรพก่อนออกเดินทางต่อไปบ้านรักไทย จากสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดแม่ฮ่องสอน เดินทางไปบ้านรักไทยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนปลายทางบ้านรักไทยผมขับรถโดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1095 เส้นทางสายเหนือ(ไปปาย) แยกเข้าซ้ายประมาณ กิโลเมตรที่ 8 แยกเข้า หมู่บ้านกุงไม้สัก ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปปางอุ๋ง เส้นทางเป็นเขาสูงชัน ต้องใช้ความชำนาญในการขับ เติมน้ำมันจากในตัวเมืองให้เรียบร้อยเพราะระหว่างทางไม่มีปั๊ม ระยะทางจากตัวเมืองไปบ้านรักไทยประมาณ 44 กิโลเมตร

ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ในการขับรถจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนสู่บ้านรักไทย ที่นี่ผมจองห้องพักไว้ที่ ชาสารักไทย รีสอร์ท ซึ่งต้องขับรถไปเช็คอินด้านล่างรับกุญแจห้องให้เรียบร้อยก่อนที่จะนำรถขึ้นไปที่ลานจอดรถบนเขาของรีสอร์ท ที่พักตั้งอยู่บนไหล่เขาสูงจึงทำให้มองเห็นบ้านรักไทยทั่วทั้งหมู่บ้าน วิวจากห้องพักดีมาก

บ้านรักไทย ตั้งอยู่ในตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อเข้ามาในหมู่บ้านจะรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในเมืองจีน เพราะบ้านเรือน ร้านค้า สิ่งก่อสร้างต่างๆ ดีไซน์แบบจีนเกือบทั้งหมด บางร้านมีชุดจีนให้เช่าด้วย

กิจกรรมหลัก ๆ ของที่นี่คือการได้มาสัมผัสไปหมอกที่ลอยตัวเหนือทะเลสาบยามเช้าพร้อมการล่องเรือไม้โบราณสไตล์จีนจิบชาร้อน ๆ อุ่น ๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นทำให้รู้สึกฟินไปกับบรรยากาศ

สำหรับที่พัก ชาสารักไทย รีสอร์ท เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่อยู่บนไหล่เขา ห้องพักมีหลากหลายราคา โดยราคาห้องพักจะรวมอาหารเช้าไว้แล้วด้วย ห้องผมจองห้อง Townhomes ซึ่งอยู่สูงสุดของรีสอร์ท จึงทำให้มองเห็นวิวมุมสูงของบ้านรักไทยได้ทั้งหมู่บ้าน แต่การเดินขึ้น-ลง จะเหนื่อยหน่อยเพราะมีบันไดหลายขั้น ผมพักที่นี่ 1 คืน บรรยากาศช่วงเย็นที่หมู่บ้านรักไทยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะออกกันมาถ่ายรูป รับประทานอาหาร และเดินรอบ ๆ ทะเลสาบกัน

ผมรับประทานอาหารเย็นที่ร้านลีไวน์ อาหารจีนยูนาน ร้านอาหารริมทะเลสาบที่อยู่ตรงข้ามเยื้อง ๆ กับรีสอร์ทที่ผมพัก ร้านอาหารบรรยากาศดี การบริการดี มีร้านขายของฝากและร้านกาแฟ (ลีไวน์ คอฟฟี่) อยู่ติดกันใบเสร็จค่าอาหารใช้เป็นส่วนลด 10% ที่ร้านขายของฝาก (ยกเว้นไวน์ที่ไม่ลดราคา) 

ช่วงกลางคืนโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหารต่างตกแต่งประดับไฟสีแดงสวยงามซึ่งเข้ากับบรรยากาศหมู่บ้านชาวจีนยูนนาน อากาศกลางคืนเริ่มเย็นลง ผมเดินเล่นรอบ ๆ ครู่หนึ่งแล้วขึ้นไปเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อนหลังจากการเดินทางที่แสนยาวนานของวันนี้


วันที่ 2 สายหมอกแห่งรักไทย
วันนี้ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะว่าต้องการออกมาสัมผัสไอหมอกยามเช้าแห่งบ้านรักไทย อุณหภูมิเช้านี้อยู่ประมาณ 10 องศา เวลาเช้าที่บ้านรักไทยจะคึกคักเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวมากมายออกมาสัมผัสสายหมอกท่ามกลางอากาศเย็นกัน

กิจกรรมที่ฮิตกันมากคือการล่องเรือในทะเลสาบที่มีหมอกลอยอยู่เหนือน้ำพัดปลิวลอยกระทบหน้า สำหรับใครที่ต้องการล่องเรือที่นี่มีหลายเจ้าด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นของโรงแรมแต่ผมใช้บริการของ กลุ่มเยาวชนบ้านรักไทย ราคา 350 บาท ซึ่งผมแนะนำให้จองล่วงหน้าเพราะบางเวลาคิวเต็ม ซึ่งผมก็เกือบพลาดไปด้วยแต่โชคดีที่ยังมีคิวว่าง

เรือที่ใช้มีลักษณะเป็นเรือไม้มีหลังคาสไตล์จีน บนเรือจะมีเก้าอี้และโต๊ะพร้อมน้ำชาร้อน ๆ เสิร์ฟบริการฟรี ซึ่งการล่องเรือจิบชายามเช้าท่ามกลางสายหมอกทำให้บรรยากาศโรแมนติกและดูอบอุ่นไปด้วยรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสกับบรรยากาศนี้

บ้านรักไทยสำหรับผมแล้วถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่คุ้มค่ากับการมาเยือนมาก ที่นี่บรรยากาศดี อากาศดี และยังคงเป็นหมู่บ้านท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์ และนี่คือความประทับใจที่ผมได้พบและสัมผัสที่หมู่บ้านรักไทย ก่อนลมหนาวจะหมดไปลองหาเวลาไปสัมผัสด้วยตัวเองกันครับ

หลังจากที่ล่องเรือเสร็จแล้วผมไปรับประทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทจัดไว้ให้และก็จัดกระเป๋าเพื่อเดินทางเข้าตัวเมือง ผมเช็คเอ้าออกจากโรงแรมเกือบเที่ยงวัน ซึ่งจุดหมายปลายทางต่อไปนั่นก็คือตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางผมแวะเที่ยวที่ สะพานซูตองเป้ สะพานไม้ทอดยาวประมาณ 500 เมตรเพื่อเชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านกับวัดเพื่อให้พระสงฆ์เดินทางไปบิณฑบาต

เมื่อมาถึงบริเวณลานจอดรถของสะพานซูตองเป้ฝั่งหมู่บ้านกุงไม้สัก บริเวณลานจอดรถจนทางเดินไปที่สะพานซูตองเป้จะมีร้านค้าของชาวบ้านขายของที่ระลึก เช่น กำไลหยกพม่า เสื้อผ้า กระเป๋า ที่ถักทอมาจากผ้าพื้นเมือง เป็นต้น และมีร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่มที่คอยบริการนักท่องเที่ยวด้วย

สะพานซูตองเป้ เป็นสะพานไม้ไผ่ที่มีความยาวประมาณ 500 เมตร สร้างขึ้นด้วยจิตศรัทธาของชาวบ้านกุงไม้สักและพระภิกษุสงฆ์เพื่อใช้เป็นสะพานเชื่อต่อข้ามทุ่งนาของชาวบ้านและลำคลองสะงา เพื่อให้ชาวบ้านได้ไปสักการะบูชาพระที่วัดภูสมณาราม ในทุกตอนเช้าจะมีพระสงฆ์เดินข้ามสะพานออกบิณฑบาตรับอาหารจากชาวบ้าน

วัดภูสมณาราม หรือ วัดซูตองเป้ เป็นวัดไทใหญ่ ตั้งอยู่เนินเขาริมคลองสะงา ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อเจ้าพาราซูตองเป้ พระพุทธรูปหล่อด้วยทองเหลือง น้ำหนัก 1,230 กิโลกรัม ทรงเครื่องจักรพรรดิไทใหญ่ประยุกต์ คำว่า "ซูตองเป้" เป็นภาษาไทใหญ่ หมายถึง "อธิษฐานสำเร็จ"

เมื่อมาถึงวัดแล้วจะเจอวิหารเจ้าพาราซูตองเป้ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อซูตองเป้ ข้างวิหารจะมีดอกไม้ธูปเทียนไว้ให้สักการะ และมีป้ายไม้ไผ่ไว้สำหรับเขียนคำอธิษฐาน และนำไปแขวนต่อหน้าหลวงพ่อซูตองเป้ และจากนั้นนำไปแขวนตามซุ้มด้านนอก ซึ่งแต่ละซุ้มจะมีความหมายที่ต่างกัน ดังนี้ ซุ้มที่ 1 เพื่อโชคลาภและความสำเร็จ ซุ้มที่ 2 เพื่อการเรียนและการงานสำเร็จ ซุ้มที่ 3 เพื่อสุขภาพแข็งแรง และซุ้มที่ 4 เพื่อความสำเร็จทุกประการ

เชื่อกันว่า...เมื่อข้ามสะพานมาแล้วเขียนป้ายอธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อเจ้าพาราซูตองเป้ คำอธิษฐานจะสำเร็จทุกประการ

เมื่อเสร็จจาการไหว้พระขอพรและเที่ยวชมสะพานซูตองเป้เสร็จแล้ว ผมก็เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองและได้แวะรับประทานอาหารเที่ยงที่ในตัวเมืองเลย ผมก็คืนรถยนต์ที่เช่าแต่ก็ได้เช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับเที่ยวในตัวเมืองแม่ฮ่องสอนต่อ จริง ๆ แล้วผมแวะเข้ามาในตัวเมืองเพื่อการพักระยะสั้นแค่ 1 คืนเท่านั้นเพื่อวันรุ่งขึ้นต้องเดินทางกลับเชียงใหม่ แต่เชื่อไหมว่าผมหลงรักตัวเมืองแม่ฮ่องสอนมากเพราะว่าบรรยากาศสงบท่ามกลางหุบเขาและอากาศที่เย็นสบาย

ที่พักของผมอยู่ใกล้กับ หนองจองคำ สวนสาธารณะและทะเลสาบขนาดย่อมใจกลางเมือง มีวัดจองคำ เป็นวัดไทใหญ่ศิลปะพม่าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ ซึ่งในวัดมีอยู่ 2 วัดด้วยกัน ได้แก่วัดจองคำ และวัดจองกลาง มีพระพุทธรูปที่เรียกกันว่าหลวงพ่อโตอยู่ในฝั่งวัดจองคำ และมีเจดีย์พระธาตุแบบพม่าอยู่ฝั่งวัดจองกลาง วัดจองคำสร้างเมื่อ พ.ศ. 2370 โดยพระยาสิหนาทราชาหรือเจ้าเมืองคนแรกของแม่ฮ่องสอน ใช้ช่างฝีมือชาวไทใหญ่เป็นศิลปะแบบไทใหญ่ ตอนเย็นจะมีถนนคนเดินและตลาดเล็กๆให้เลือกซื้อหาอาหารรับประทานและมีสินค้าที่ระลึกของชาวบ้านวางจำหน่ายด้วย

แต่สิ่งที่พลาดไม่ได้หากมาเที่ยวตัวเมือง คือ การได้ขึ้นไปสักการะ วัดพระธาตุดอยกองมู และชมวิวเมือง วัดพระธาตุดอยกองมูถือว่าเป็นวัดสำคัญอีกวัดหนึ่งของแม่ฮ่องสอน เพราะเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน วัดตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของตัวเมือง มีพระธาตุเจดีย์ ศิลปะไทใหญ่-พม่า จำนวน 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่ สร้างโดย จองต่องสู่ เมื่อ พ.ศ. 2403 เป็นที่บรรจุพระธาตุของ พระโมคคัลลานะ เถระ ซึ่งนำมาจากประเทศพม่า ส่วนพระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ. 2417 โดย พระยาสิงหนาทราชา ซึ่งเป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก โดยคำว่า "กองมู" เป็นภาษาไทใหญ่แปลว่า "พระเจดีย์"

จากวัดพระธาตุดอยกองมูนี้สามารถมองเห็นภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงโอบล้อมเมือง และจากบนนี้เราสามารถมองเห็นรันเวย์ของสนามบินแม่ฮ่องสอนได้อย่างชัดเจนและสวยงามมาก หากใครมาช่วงจังหวะที่เครื่องบินแลนดิ้งหรือเทคออฟ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งสำหรับคนรักเครื่องบินเพราะวิวตรงนี้เป็นจุดชมเครื่องบินขึ้นลงได้ดีเลย

หลังจากเที่ยวชมวัดพระธาตุดอยกองมูแล้วซึ่งเป็นช่วงเวลาตอนเย็นแล้ว ผมเดินทางกลับโรงแรมและพักผ่อน แล้ววันรุ่งขึ้นผมจะกลับมาที่วัดพระธาตุดอยกองมูอีกครั้งเพื่อขึ้นมาชมทะเลหมอก


วันที่ 3 เหนือทะเลหมอก กองมูเสียดฟ้า

"หมอกสามฤดู กองมูเสียดฟ้า" ส่วนหนึ่งในคำขวัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีประโยคนี้ในคำขวัญ ผมตื่นเช้าท่ามกลางสายหมอกสมคำร่ำลือ วันนี้จะขึ้นไปวัดพระธาตุดอยดอยกองมูอีกครั้งเพื่อชมทะเลหมอกยามเช้า

ระว่างทางขึ้นไปพระวัดพระธาตุดอยกองมูสามารถสัมผัสไอหมอกได้ อากาศเย็นสบายในฤดูหนาว เมื่อขับรถขึ้นมาได้สักพักจะรู้สึกว่าไม่มีหมอก ซึ่งจริงแล้วผมขึ้นมาสูงจนเหนือหมอกแล้วละ

จอดรถเสร็จแล้วก็ไม่รอช้าเดินไปที่จุดชมวิววัดพระธาตุดอยกองมู ซึ่งตอนนี้ทั้งตัวเมืองแม่ฮ่องสอนถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก สวยงามมาก ๆ อยู่บนนี้ได้ยินเสียงรถวิ่ง เสียงตามสายข่าวประชาสัมพันธ์ที่กำลังประกาศให้ชาวเมืองรับทราบข้อมูลข่าวสารดังอยู่เนืองๆด้านล่างแต่เรามองไม่เห็นเพราะหมอกปกคลุมอยู่

บริเวณจุดชมวิวมีร้านกาแฟบริการอยู่ ซึ่งนั่งจิบกาแฟดูหมอกยามเช้าก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ผมนั่งชมหมอกและจิบกาแฟไปด้วยรอยยิ้มและมีความสุขมากจริง ๆ หากมองไปที่หน้านักท่องเที่ยวท่านอื่น ๆ ที่ขึ้นมาชมทะเลหมอกก็คงมีความรู้สึกเดียวกันเพราะทุกคนแสดงรอยยิ้มแห่งความสุขออกมาทางสีหน้าทั้งนั้นเลย

หลังจากชมวิวทะเลหมอกแห่งเมืองหมอกสามฤดูแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับเชียงใหม่แล้วครับ ทุกช่วงเวลาที่มาเที่ยวที่แม่ฮ่องสอนผมชอบหมดเลย บรรยากาศดี ผู้คนน่ารัก และเป็นเมืองที่สงบมากๆคุ้มค่ากับการพักผ่อนจริงๆ

ฝากกดติดตาม Go See Write เล่าเรื่องเที่ยว

Facebook: Go See Write เล่าเรื่องเที่ยว

Instagram: Go See Write เล่าเรื่องเที่ยว 


go see write เล่าเรื่องเที่ยว

 วันพฤหัสที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 01.50 น.

ความคิดเห็น