จากความเดิมตอนที่แล้ว ROMANIA #1 : Bucharest ได้ที่ https://th.readme.me/p/5232
ผมมุ่งหน้าสู่เมือง Sibiu ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของวันนี้ แต่ระหว่างทางผมจะแวะเที่ยวไปเรื่อย โดยแวะเที่ยวที่ Curtea de Arges เป็นจุดแรกครับ
เมือง Curtea de Arges อยู่ห่างจากบูคาเรสต์ประมาณ 155 ก.ม. ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครับ
ด้านหน้าของวิหารหลวง Curtea de Arges Monastery หรือโบสถ์ St.Nicholas มีประติมากรรมของเจ้าชาย ราดู เนกรู (Radu Negru) ผู้ก่อสร้างโบสถ์แห่งนี้ สำหรับการเข้าชมที่โบสถ์แห่งนี้ไม่เสียค่าเข้าชมครับ
จากทางเข้าเดินมาไม่ไกลก็จะพบกับโบสถ์ที่งดงามตามสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์ ที่ผสมผสานศิลปะแบบแขกมัวร์ได้อย่างลงตัว ตัววิหารสร้างจากหินปูนสีเทาอ่อนแต่ภายในสร้างจากอิฐแดง ที่โดดเด่นที่สุดของอาคารหลังนี้น่าจะเป็นยอดโดมสูงบนหอคอยทรงกระบอก ที่ตกแต่งด้วยปูนปั้นบิดเป็นเกลียวเล็กน้อย ดูสวยงามแปลกตามาก โบสถ์แห่งนี้เป็นศาสนสถานของศาสนาคริสต์นิกาย Romanian Orthodox สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1512 และมีการบูรณะเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันเมื่อปี ค.ศ.1886 ครับ
ภาพของวิหารแห่งนี้ ปรากฏอยู่ด้านหลังธนบัตรใบละ 1 lei ด้วยครับ
วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเซนต์นิโคลัส ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุดในเหล่านักบุญทั้งหมดในนิกาย Orthodox
นอกจากโดมสูงบนหอคอยด้านนอกจะมีการบิดตัวเป็นเกลียวแล้ว เสาด้านในของวิหารบางต้นก็มีการบิดตัวเป็นเกลียวเช่นกัน
ตลอดเส้นทางเดินที่จะเข้าไปด้านในสุดของโบสถ์ ทั้งซ้ายและขวา จะพบกับหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญที่มีต่อโบสถ์หลังนี้
ด้านในวิหารมีภาพเขียนสีแบบเฟรสโก หรือสีปูนเปียกที่สวยงามมากๆ เรียกว่ามองไปทางไหนก็สวยไปทุกจุดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฝาผนัง เสา รวมไปถึงเพดาน แล้วยิ่งสะท้อนกับแสงไฟจากโคมไฟที่ห้อยระย้าลงมา ยิ่งทำให้ภาพเขียนเปล่งประกายสีทองแวววับไปทั่ว วิหารแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติด้วยครับ
กำลังถ่ายภาพอย่างเมามัน จู่ๆ ก็มีชายสูงวัยเดินเข้ามาหา แล้วพยายามจะอธิบายโดยชี้ไปที่กล้องแล้วส่ายหน้าผมจับใจความได้ว่า ห้ามถ่ายภาพด้านใน แต่ผมไม่แน่ใจว่าด้านในห้ามถ่ายภาพเลยหรือว่าจะต้องจ่ายค่าถ่ายภาพก่อนกันแน่ ผมคงทำได้แต่เพียงกล่าวขอโทษ แล้วชายชราสูงวัยก็เดินจากไป
มีเรื่องกล่าวไว้เกี่ยวกับการสร้างวิหารแห่งนี้ว่าเจ้าชายราดู เนกรู (Radu Negru) ผู้ปกครองวัลลัคเฮีย ได้ว่าจ้าง มาโนเร (Manole) มาเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง แต่ถึงจะพยายามสร้างถึงเพียงไหน ก็ไม่สามารถก่อกำแพงโบสถ์ขึ้นมาได้ Radu Negru ขู่ว่า ถ้า Manole ไม่สามารถสร้างวิหารแห่งนี้ให้เสร็จ เขาจะประหารชีวิตคนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างทั้งหมด Manole จึงนึกถึงพิธีกรรมอันเก่าแก่ของชาวมอลโดว่า ทุกครั้งที่มีการก่อสร้างวิหารเพื่อถวายแด่ทวยเทพ จะต้องมีการฝังร่างของผู้หญิงทั้งเป็นลงในกำแพงข้างหนึ่งของวิหาร จึงมีการตกลงกันว่า ในวันรุ่งขึ้น ถ้าหญิงสาวคนใดปรากฏตัวที่มหาวิหารเป็นคนแรก เธอผู้นั้นจะต้องเป็นผู้สังเวยชีวิตเพื่อการนี้ในคืนนั้น Manole จึงได้เฝ้าสวดมนต์ภาวนาไม่ให้ภรรยาเดินทางไปถึงมหาวิหารเป็นคนแรก แต่ในขณะที่ Manole สวดมนต์อยู่นั้น บรรดาผู้ช่วยของเขากลับรีบบอกภรรยาของตัวเองไม่ให้เดินทางไปมหาวิหารในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นมีเพียงภรรยาของ Manole เท่านั้นที่มายังมหาวิหาร ทำให้เธอพร้อมลูกในครรภ์ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ภายใต้มหาวิหารแห่งนี้ และหลังจากนั้นการก่อสร้างวิหารก็ดำเนินไปได้ด้วยดีจนสำเร็จ
ด้านหลังของวิหารหลวง Curtea de Arges Monastery ยังมีโบสถ์อีกหนึ่งหลัง ถ้ามีเวลาก็สามารถเดินชมด้านในได้นะครับ ผมไม่กล้าถ่ายภาพด้านในมา เพราะเกรงว่าเขาจะห้ามถ่ายภาพอีก สำหรับเรื่องความงดงามภายในของโบสถ์หลังนี้ ผมว่าสู้วิหารหลวงไม่ได้เลยครับ
ตามโปรแกรมที่วางไว้ จาก Curtea de Arges ผมจะแวะเที่ยวที่ Poenari Castle แต่เนื่องจากดูสถานการณ์แล้ว การเที่ยว Poenari Castle จะต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปตามบันไดกว่า 1,480 ขั้น ซึ่งดูแล้วจะต้องใช้เวลานานพอสมควร สมาชิกร่วมทริปจึงมีเสียงเป็นเอกฉันท์ว่าเราจะตัดโปรแกรมนี้ออกไป เพื่อจะได้มีเวลาเดินเที่ยวใน Sibiu ได้นานขึ้นครับ
เส้นทางเริ่มลัดเลาะไปตามไหล่เขา ผ่านผืนป่าที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง แอบเห็น Poenari Castle เพียงแว๊บเดียว ใจอยากจะหยุดถ่าย Poenari Castle มากๆ แต่เนื่องจากถนนสูงชันและแคบ จึงไม่สามารถจอดรถได้ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยภาพของ Poenari Castle ก็อยู่ในความทรงจำของผมไปแล้ว
ไม่นานนัก จอห์นก็พาผมมาหยุดพักที่ Vidraru Dam ครับ
เขื่อน Vidraru สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1966 ปิดกั้นลำน้ำ Arges และทะเลสาบ Vidraru สร้างเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นเขื่อนคอนกรีตโค้ง ที่มีความสูง 166 เมตร ยาว 305 เมตร สามารถเก็บน้ำได้ราว 465 ล้านลูกบาศก์เมตร รูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กับเขื่อนภูมิพลบ้านเราเลยครับ (เขื่อนภูมิพล สูง 154 เมตร ยาว 486 เมตร เก็บน้ำได้ 13.462 ล้านลูกบาศก์เมตร) ที่นี่บรรยากาศดีเลยทีเดียว สังเกตว่าจะมีนักเดินทางแวะมาพักผ่อนที่เขื่อนแห่งนี้เป็นจำนวนมาก เสียดายวันที่ผมไป ฟ้าปิดเหมือนฝนจะตก นี่ถ้าฟ้างามๆ ที่นี่คงจะสวยงามมากๆ ครับ
ระหว่างทางมองเห็นชาวโรมาเนียพาครอบครัวมาปิกนิกกันตลอดเส้นทาง จุดไหนพอจะมีพื้นที่ที่จะมีก่อกองไฟเพื่อประกอบอาหารได้ ก็จะเห็นรถจอดกันพอสมควร แต่จุดไหนมีลำธารด้วย จุดนั้นก็จะมีคนมาปิกนิกกันมากมาย
สายฝนเริ่มมาทักทายเรา ดีที่ตกไม่หนักมากนัก จึงไม่เป็นอุปสรรคในการเดินทาง แต่เมื่อรถไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ความชื้นในอากาศก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย บัดนี้เบื้องหน้าแทบมองไม่เห็นเส้นทางเลย เพราะถนนถูกปกคลุมไปด้วยหมอก เล่นเอาผมแอบนึกเสียวอยู่เหมือนกัน เพราะตลอดเส้นทางตอนนี้ต้องไต่เขา เข้าโค้งซ้ายโค้งขวาตลอดเวลา
เมื่อฝนซาเม็ด หมอกเริ่มจาง ผมรีบบอกให้จอห์นหยุดรถในทันทีเพื่อขอเก็บภาพบนเส้นทางทรานซิเวเนีย ถนนที่ได้รับการกล่าวขานกันว่าสวยงามที่สุดในยุโรป ถนนช่วงนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้า ดูราวกับปูพรม น้ำตกหลายสายมีให้เห็นอยู่ตลอดเส้นทาง สวยงามสมราคาจริงๆ ที่สำคัญ ถนนสายนี้เปิดให้สัญจรเพียง 2 เดือนเท่านั้น คือเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ยืนชื่นชมกับความงามได้ไม่ถึง 10 นาที ฝนก็เริ่มตกอีกแล้ว ให้มันได้แบบนี้ซินะ
เดินทางกันต่ออีกนิดหน่อย ผมก็มาแวะทานอาหารมื้อกลางวันกันที่ริมทะเลสาบ ซึ่ง ณ ตอนนี้ บอกเลยว่ามองหาทะเลสาบไม่เจอครับ หมอกลงหนามาก (จริงๆ แล้วทะเลสาบอยู่ติดกับร้านอาหารที่เราไปใช้บริการเลย) รวมถึงร้านอาหารที่ผมพยายามจะถ่ายภาพมาด้วย แต่ยิ่งถอยหลังเพื่อให้กล้องสามารถเก็บภาพร้านอาหารให้ครบทั้งหลัง ภาพของร้านอาหารกลับยิ่งเลือนลางจนมองไม่เห็นเลย
อากาศภายในร้านอาหารอุ่นมากๆ มันช่างแตกต่างจากอากาศด้านนอกอย่างสิ้นเชิง เที่ยงนี้จอห์นทำหน้าที่จัดแจงสั่งอาหารให้กับพวกเรา เมนูที่จอห์นแนะนำหน้าตาคล้ายหมูอบราดด้วยซอสเห็ด, ไส้กรอกโรมาเนีย, ซุป และ Mamaliga (ต่อไปผมจะเรียกขนมตาล เป็นอันรู้กันนะครับ) ที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ ร้านนี้จะเน้นชีสขูดฝอยมาเป็นส่วนประกอบในการตกแต่งอาหารทุกเมนูครับ
ในช่วงฤดูหนาว บริเวณโดยรอบของทะเลสาบนี้จะเป็นลานสกี และใกล้ๆ กับร้านอาหารจะเป็นสถานี Cable car ที่จะนำนักสกีจากพื้นราบขึ้นมายังลานสกีด้านบนครับ
อิ่มท้องแล้วเราออกเดินทางกันต่อมุ่งหน้าสู่ Sibiu ก่อนจะเข้าเมือง Sibiu เราแวะเที่ยว Astra Museum of Traditional Folk Civilization ครับ
ด้านหน้า Astra Museum of Traditional Folk Civilization มีซุ้มประตูไม้ขนาดใหญ่อยู่ริมถนนครับ
เราแวะมาซื้อบัตรที่จุดจำหน่ายบัตรกันก่อน อาคารนี้นอกจากจะเป็นที่จำหน่ายบัตรแล้ว ยังมีร้านขายของที่ระลึกด้วย ของที่ระลึกที่นี่ราคาไม่แพงครับ บางอย่างราคาถูกกว่าร้านขายของที่ระลึกตามสถานที่ท่องเที่ยวด้วย ที่นี่เสียค่าเข้าชมคนละ 12 lei ครับ
Astra Museum of Traditional Folk Civilization เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 0.96 ตารางกิโลเมตร เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโรมาเนียและยุโรปตะวันออกครับ การเข้าชมด้านในต้องใช้การเดินเท้าเอานะครับ จอห์นบอกว่า ถ้าจะเดินให้ครบต้องใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงบ้านเรือนอายุนับร้อยปีจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโรมาเนีย ซึ่งได้ถูกรื้อถอนและนำมาประกอบขึ้นใหม่กว่า 300 หลัง บ้านแต่ละหลังจะมีลักษณะเฉพาะตามสภาพภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น เช่น หลังคาบ้านเรือนในเขตภูเขาที่หนาวเย็นอย่าง Transylvania จะมุงด้วยฟาง ลักษณะสูงชัน เพื่อป้องกันไม่ให้หิมะและฝนค้างบนหลังคา, บ้านในเขตอบอุ่นบริเวณลุ่มแม่น้ำดานูบและทะเลดำอย่าง Dobrogea จะมุงด้วยไม้แต่จะไม่ชันมาก บ้านที่นำมาจัดแสดง บางหลังสามารถเข้าไปชมด้านในได้ด้วยครับ
นอกจากบ้านแบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีโบสถ์ไม้มารามูเรสให้ชมอีกด้วยครับ
ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานมากนัก เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้าง แถมฝนก็ตกพรำๆ และจากการที่เดินสำรวจ ลักษณะบ้านก็คล้ายๆ กัน เลยมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า รีบเดินทางไปยัง Sibiu เลยดีกว่า จะได้มีเวลาเที่ยวใน Sibiu นานๆ
Astra Museum of Traditional Folk Civilization อยู่ห่างจาก Sibiu ประมาณ 3 ก.ม.เอง ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงแล้ว
ซิบิว (Sibiu) เป็นเมืองสำคัญและเป็นศูนย์กลางการปกครองของแคว้น Transylvania ในยุคกลาง เคยถูกปกครองโดยหลายอำนาจ ทั้งฮังการี โรมัน เติร์ก เวียนนา และฮับส์บวกส์ ก่อนได้กลับมาเป็นโรมาเนียในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป เป็นเมืองที่ถูกขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 2004 และยังได้ขึ้นเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมอีกกว่า 12 แห่ง และเมื่อปี ค.ศ.2007 ยังได้รับเกียรติให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรป (European Capital of Culture 2007) อีกด้วยครับ
ก่อนอื่นขอแวะเก็บกระเป๋าเข้าที่พักกันก่อน ที่ Smart Hostel ซึ่งตั้งอยู่ใน Old town ครับ
มีโต๊ะเล็กๆ สำหรับเป็นที่ Check in – Check out พร้อมพื้นที่ให้แขกได้นั่งเล่น
ห้องพักของผมจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งลอบบี้ ลักษณะเป็นห้องใหญ่ ภายในมี 2 ห้องนอน พื้นที่ทำครัวเล็กๆและห้องน้ำครับ
ห้องนอนผมครับ ผมว่าในบรรดาที่พัก 6 คืนที่เป็น Hostel (ไม่นับรวม 1 คืนที่เป็นโรงแรม) ผมว่าที่นี่ดีสุด เพราะพื้นที่กว้าง มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกค่อนข้างเยอะ ที่สำคัญมีผ้าเช็ดตัวให้ด้วย (Hostel อื่นไม่มีผ้าเช็ดตัวให้)
ตู้อาบน้ำใหญ่กว่าคืนแรกที่บูคาเรสต์มากครับ
หลังจากเก็บของเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ผมคงต้องรีบทำเวลาโดยด่วนครับ โปรแกรมต่อไปคือผมจะขึ้นไปชมวิวมุมสูงเมืองซิบิวกันบนหอนาฬิกาของ Biserica Evanghelica ครับ
เห็นยอดแหลมที่เป็นหลังคาวิหารไหมครับ ที่ฐานของยอดแหลมใหญ่จะมียอดแหลมเล็กๆ อยู่ 4 มุม จุดนั้นแหล่ะครับที่ผมจะขึ้นไปชมวิว
Biserica Evanghelica หรือวิหารเซนต์แมรี่ (Lutheran Cathedral of Saint Mary) เป็นอาสนะวิหารที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์ นิกายโปเตสแตนต์ วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1371 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1520 เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้น Transylvania มียอดหอนาฬิกาที่สูงถึง 73.37 เมตร จึงเป็นวิหารที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองใน Transylvania ครับ
ผมมาถึงวิหารแห่งนี้เฉียดฉิวกับเวลาปิดเลยครับ (วิหารจะปิดไม่ให้คนเข้าในเวลา 19.30 น. และจะปิดการเข้าชมในเวลา 20.00 น.) ค่าเข้าชมที่นี่ 10 lei ที่นี่ไม่เสียค่าถ่ายภาพครับ
ด้านบนหอคอยมีลักษณะคล้ายบันไดวน ทำจากโครงเหล็กและไม้ จากด้านล่างสามารถมองขึ้นไปถึงด้านบนได้เลย แต่ละก้าวของผมต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะผมกลัวว่าบันไดจะรับน้ำหนักตัวผมไม่ไหว
ขึ้นไปได้สักพัก จะเห็นกลไกการทำงานของนาฬิกา รวมถึงระฆังใบใหญ่ 2 ใบ สำหรับส่งเสียงทุกชั่วโมง
กว่าจะเดินขึ้นถึงเรียกได้ว่าเหงื่อโทรมกาย ผมกับเพื่อนร่วมทริปต่างแข่งหายใจกันยกใหญ่ แต่เมื่อเดินขึ้นถึงบนจุดชมวิว ได้เห็นวิวมุมสูงของเมืองซิบิวแล้ว ลืมความเหนื่อยไปในทันทีครับ
จุดชมวิวนี้สามารถชมเมืองซิบิวได้แบบ 360 องศาเลย มองออกไปเห็นเมืองเก่าสุดลูกหูลูกตา สิ่งที่แตะตาผมที่สุดน่าจะเป็นที่หลังคาของบ้านแต่ละหลังจะมุงด้วยกระเบื้องดินเผา และจะมีช่องหน้าต่างของห้องใต้หลังคา ดูไม่ต่างอะไรกับดวงตา ที่คอยจับจ้องผู้มาเยือนเมืองซิบิวแบบไม่ยอมกระพริบสายตาเลยครับ
อย่างที่ผมบอกไว้ในตอนต้นว่าจุดชมวิวแห่งนี้อยู่บริเวณยอดแหลมเล็กๆ ทั้ง 4 ด้าน ยอดทั้ง 4 เคยใช้เป็นที่แขวนคอประจาน ตามความเชื่อของผู้ปกครองนิกายโปเตสแตนต์ คือจะต้องประหารชีวิตผู้กระทำผิดและแขวนคอที่ยอดที่สูงที่สุดของเมืองเท่านั้น
หลังจากชมวิวกันจนหนำใจแล้วขอลงกลับมาชมความงดงามในโบสถ์แห่งนี้กันบ้างครับ
ต้องบอกเลยว่าวิหารแห่งนี้โอ่โถงมากครับ การตกแต่งต่างๆ อาจไม่งดงามเท่าโบสถ์ที่ผมได้สัมผัสที่บูคาเรสต์ แต่ในความเรียบง่ายก็สร้างความขลังให้กับวิหารแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
หันหลังกลับไปที่ประตู มองเห็นออแกนขนาดยักษ์ที่สร้างโดยช่างชาวสโลวัก นับเป็นออแกนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้เลยครับ
อ้อมมาทางด้านหลังจะเป็นห้องพระคลัง ในอดีตใช้เป็นที่เก็บของบรรณาการจากต่างเมือง ปัจจุบันก็มีการนำของบรรณาการมาจัดแสดงอยู่บ้างครับ วิหารแห่งนี้ปิดเวลา 20.00 น. ครับ
อีกจุดหนึ่งที่เมื่อมาซิบิวแล้ว ไม่ควรพลาดมาชมด้วยประการทั้งปวง นั่นคือ Liars Bridge หรือสะพานโกหกครับ
สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นแทนสะพานไม้ เพื่อเชื่อมทางเดินระหว่างสองฟากถนนของจัตุรัสเล็กในเขตเมืองเก่าซิบิว ในอดีตสะพานนี้เป็นที่ค้าขายของบรรดาพ่อค้า และเป็นสถานที่ที่คู่รักหนุ่มสาวมักมาพลอดรักกัน เชื่อว่าใครก็ตามที่มาพูดโกหกบนสะพานจะทำให้สะพานไม้ถล่มทันที สะพานแห่งนี้นับเป็นสะพานแห่งแรกของยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ที่สร้างขึ้นด้วยเหล็กครับ
อาคารเก่าที่ถึงแม้จะดูเก่า แต่ผมว่ามันมีเสน่ห์มากๆ ครับ
บริเวณ Piata Mare หรือ Grand Square เป็นจัตุรัสเก่าแก่ที่สุดของซิบิว ถูกใช้เป็นศูนย์กลางของเมืองมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นที่ตั้งของพระราชวังบรูคเคนธาล (Brukenthal Palace) สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ว่าการของรัฐในปี ค.ศ.1777และเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในปี ค.ศ.1871 ครับ
เดินมาเรื่อย มาโผล่อีกทีที่ Sibiu's Towers ครับ
บ้านเรือนในซิบิวดูมีเสน่ห์จริงๆ แต่ละหลังต่างแข่งกันอวดสีสันกันอย่างมาก เท่าที่สังเกต ผมไม่เห็นบ้านหลังที่ปลูกติดกันจะทาสีเดียวกันเลย มองไปทางไหนก็มีมุมถ่ายภาพเต็มไปหมด นิตยสาร Forbes ได้จัดอันดับให้ซิบิวเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดอันดับ 8 ในทวีปยุโรปด้วยครับ
เดินไปเดินมาเห็นพ่อค้ากำลังทำขนม "คิวรุโต สโกแลค" (kürtőskalács) เป็นขนมที่มีต้นกำเนิดอยู่ที่ทรานซิลเวเนีย ลักษณะเป็นแป้งที่นำมาพันรอบแท่งเหล็ก จากนั้นจะนำมาผิงไฟจนแป้งสุกและจะมีการเคลือบด้วยคาราเมลหรือไม่ก็โรยด้วยถั่วนานาชนิด ลองชิมแล้วอร่อยดีทีเดียวครับ ชิ้นละ 10 lei
ผมเดินเที่ยวกันยัน 21.45 น.ยอมรับเลยว่าหมดแรงแล้ว คงถึงเวลาที่ต้องหาอะไรใส่ท้องบ้าง เย็นนี้ผมเลือก Dinner ที่ร้าน Grand Plaza ครับ
ร้านนี้ขายอาหารพื้นเมือง แถมราคายังพื้นเมืองอีกด้วย ถึงแม้จะรออาหารนานหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าครับ
เริ่มกันที่ขาหมูกับผักกาดดอง เมนูนี้ทั้งรสชาติและหน้าตาเหมือนทานที่บ้านเราเลยครับ
ไก่ทอด
ไส้กรอกโรมาเนีย รสชาติเค็มอีกตามเคย ที่ได้เคยชิมไส้กรอกครั้งแรก รู้สึกเค็มมาก ยังคิดว่าร้านนั้นทำมาเค็ม แต่ชิมหลายๆ ร้าน ชักเริ่มแน่ใจแล้วว่าคนโรมาเนียชอบทานเค็มครับ
ปิดท้ายด้วยสลัดผัก โรยหน้าด้วยชีสขูดฝอยครับ มื้อนี้กับราคาเบาๆ ที่ 79 lei
หลังอาหารอยากจะเลื้อยกลับที่พักซะจริงๆ แบบว่าเมื่อยมากๆ ครับ
เช้าวันใหม่ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตั้งแต่ตีห้า เพื่อต้องการมาเก็บบรรยากาศเมืองซิบิวช่วงใกล้สว่างสักหน่อย เพราะเมื่อวานฟ้ามาบลูตอนที่ผมอยู่ที่ร้านอาหารแล้ว เช้านี้เลยขอแก้ตัวครับ
เริ่มกันที่หอนาฬิกา The Council Towerสร้างขึ้นต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใช้เป็นหอสังเกตการณ์และป้อมปราการทางการรบในยุคแรก แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นหอนาฬิกาและหอสังเกตการณ์เท่านั้น หอนาฬิกาแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองซิบิวได้เช่นเดียวกันครับ
Liars Bridge
Biserica Evanghelica
Grand Square
อยากได้รูปก็อยาก กลัวก็กลัว กับการเดินหามุมถ่ายภาพเพียงลำพังช่วงที่หลายๆ คนยังนอนกันอยู่ เวลาเดินๆ อยู่แล้วมีคนเดินตาม มันทำให้ผมต้องรีบสาวเท้า พยายามเดินให้ห่างคนที่เดินตามมาให้มากที่สุด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
05.30 น. ไฟที่ประดับตามอาคารสำคัญๆ จะเริ่มทยอยปิดนะครับ ผมเดินไปยัง Orthodox Cathedral ซึ่งอยู่ไกลจากจุดอื่นๆ เดินจนเกือบจะถึงอยู่แล้ว ปรากฏว่าไฟมาดับต่อหน้าต่อตา เลยต้องเดินคอตกกลับไปหาจุดอื่นถ่ายภาพกันต่อไป
ช่วงเช้า ฝนเริ่มตกกันอีกแล้ว ดีที่มาตกหลังจากที่ผมถ่ายไฟเสร็จแล้ว
เสานี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเสาที่เคยใช้เป็นคานของสะพานไม้ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นสะพานโกหกหรือเปล่า เพราะมีอีกเรื่องเล่าหนึ่งบอกว่าในอดีตสะพานไม้นั้นเคยใช้ผูกตรวนนักโทษและแขวนคอด้วยครับ
ชุ่มชื่นกันแต่เช้าหลังฝนพรำครับ
ผมกลับมาที่ Orthodox Cathedralอีกรอบ หลังจากผิดหวังที่เขาปิดไฟพอดี Orthodox Cathedral สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1902 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1906 มีลักษณะคล้ายมหาวิหาร Saint Sofia ในอิสตันบูล ประเทศตุรกี ตกแต่งตามสถาปัตยกรรมแบบนีโอไบเซนไทน์ นับว่าเป็นโบสถ์ออร์โธดอกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในโรมาเนีย ผมมาถึงโบสถ์แห่งนี้เช้าเกินไป เลยไม่มีโอกาสได้เข้าไปชมความงดงามด้านใน เนื่องจากโบสถ์ยังไม่เปิด แอบผิดหวังเล็กน้อยครับ
ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการถ่ายภาพเป็นอย่างมาก นี่ขนาด 07.30 น. ยังแทบไม่เห็นผู้คนเลยครับ
The Stairs Passage จุดนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกอีกชิ้นที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 เป็นอีกหนึ่งในจุดที่น่าสนใจใน ซิบิว ทางเดินนี้เป็นจุดเชื่อมต่อของ Upper Town และ Lower Town ครับ อยากจะบอกว่า Hostel ที่ผมพักก็ตั้งอยู่ตรงนี้เลย ทำเลดีไหมละครับ
สิ้นสุดการเดินทัวร์ตอนเช้า หลังจากนั้นเตรียมอาบน้ำอาบท่า เก็บข้าวของ และรออาหารเช้าที่ "กี้" ผู้นำทัพของทริปนี้บรรจงทำเตรียมไว้ให้กับสมาชิกทุกๆ คน จริงๆ แล้วที่ Hostel ได้เตรียมวัตถุดิบต่างๆ ไว้ให้หลายอย่างเหมือนกัน เช่น ไข่ดิบ ขนมปัง แยม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ โยเกิร์ต แต่ผมไม่รู้ เลยไปซื้อไข่และฮอทดอกมาตั้งแต่เมื่อวาน
ติดตามชม ROMANIA #3 : Medias ได้ที่
https://th.readme.me/p/5234
ลุงเสื้อเขียว
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.46 น.