
ผมใช้จังหวัดขอนแก่นเป็นทางผ่านไปยังจังหวัดอุดรธานี หนองคาย อยู่เสมอๆ จะแวะขอนแก่นบ้างเพื่อไปทานอาหารเวียดนามริมบึงแก่นนคร หรือแวะทานไก่ย่างเขาสวนกวางริมถนนมิตรภาพเท่านั้น จนกระทั่ง ‘พี่หมาน’ รุ่นพี่ร่วมสถาบัน ที่มาตั้งรกรากอยู่ที่ขอนแก่น เอ่ยปากชวนผมมาเที่ยวบ้านสวนของแก ผมจึงรีบตบปากรับคำ แล้วค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในขอนแก่น ยิ่งค้น ยิ่งงงกับตัวเองว่า เรามองข้ามจังหวัดขอนแก่นไปได้ยังไง เพราะจังหวัดนี้มีอะไรที่น่าสนใจมากมาย เป็นจังหวัดที่มีการค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ชิ้นแรกของเมืองไทยและพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่ของโลกถึง 5 สายพันธุ์ เป็นจังหวัดที่มีวัดมากติด Top 5 ของประเทศ แถมวัดส่วนใหญ่ก็เป็นวัดวาอารามเก่าๆ ที่ทรงคุณค่า และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่งเลย บอกเลยว่าทริปนี้ผมวางแผนเดินทาง 3 วันเต็มๆ ยังเก็บสถานที่ท่องเที่ยวในขอนแก่นไม่หมดเลยครับ

ทริปนี้ผมมาขอนแก่นโดยรถไฟขบวน 75 ต้นทางออกจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ในเวลา 08.45 น. มาถึงขอนแก่นในเวลา 15.30 น. โดยเลือกจองตั๋วรถดีเซลรางนั่งปรับอากาศ ชั้น 2 ในราคา 397 บาท ครับ เมื่อมาถึง พี่หมานก็มารับผมไปยังบ้านสวนของแก ทริปนี้ผมเลยประหยัดค่าที่พักไปได้ถึง 3 คืน

วันแรกของการเที่ยวในขอนแก่น ผมวางแผนออกเดินทางไปยัง อำเภอภูผาม่าน โดยเลือกปักหมุดที่หนองสมอเป็นที่แรก (พิกัด https://maps.app.goo.gl/v3xJNivWMA3QLCxt9 )
พระเอกของอำเภอภูผาม่าน เห็นจะเป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ที่มีหน้าผาสูงชัน รูปทรงคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มองดูเหมือนกับผ้าม่านผืนใหญ่ และจุดที่สามารถชมภูผาม่านสวยๆ อยู่ที่หนองสมอนี่แหล่ะครับ เพราะจุดนี้เราจะมองเห็นภูผาม่านได้แบบเต็มๆ ตา แถมยังมีเงาของภูเขาที่สะท้อนบนผิวน้ำอีกด้วย


ที่หนองสมอ ผมยังได้เห็น ‘ยอ’ เครื่องมือหาปลา เลี้ยงชีพชาวบ้านตั้งเรียงรายอยู่โดยรอบ ปลาที่จับได้เป็นปลาขนาดเล็กที่จับกินเองและนำมาขายให้กับคนในพื้นที่เดียวกันครับ


พื้นที่โดยรอบหนองสมอค่อนข้างกว้าง สามารถหามุมสวยๆ ถ่ายภาพได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
จากหนองสมอไปต่อที่ Blue Lagoon ภูผาม่านครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/5fNHMxXmbkWypBFSA )
Blue Lagoon เป็นบ่อหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากการระเบิดหินและได้ปล่อยน้ำลงในบ่อ ทำให้เกิดบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาหินปูน ที่มีความลึกราว 70 เมตร หากมาถูกช่วงเวลาจะเห็นสีของน้ำในบ่อเป็นสีเขียวมรกต ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการหักเหของแสง ช่วงที่ผมไปเห็นสีน้ำเป็นสีครามเข้ม ก็สวยไปอีกแบบครับ เส้นทางที่จะมายัง Blue Lagoon บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ เนื่องจากมีรถบรรทุกที่ขนหินสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก ใครมาเที่ยวชมที่นี่ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวังด้วยนะครับ



จากอำเภอภูผาม่าน ผมย้อนกลับมายังอำเภอชุมแพ แวะสักการะพระธาตุหลวงชุมแพ ที่วัดแจ้งสว่างนอกครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/R9zXq8YxyBfmXjus7 )
พระธาตุหลวงชุมแพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองชุมแพ เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นด้วยพลังศรัทธาของชาวชุมแพ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระเจ้าใหญ่องค์ดำ ด้านหน้าทางเข้าพระธาตุมีพญานาคแผ่พังพานอยู่สองตัว ลำตัวของนาคทั้งสองขดเลื้อยอยู่โดยรอบ ส่วนหางเลื้อยพันไปทางด้านหลังของพระธาตุ นอกจากนี้ยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าพระเจ้าใหญ่ ประดิษฐานอยู่รอบพระธาตุ นับรวมทั้งหมดได้ 28 องค์ครับ








ใครที่ผ่านไปผ่านมาทางอำเภอชุมแพ แวะมาสักการะพระธาตุหลวงชุมแพ เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิตกันได้นะครับ
จากอำเภอชุมแพ ผมเดินทางต่อสู่อำเภอเวียงเก่า เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/Bb2oUs27csBQPpzz6 )
อย่างที่ผมเกริ่นไปในตอนแรกแล้วว่า มีการค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ชิ้นแรกของเมืองไทยที่ขอนแก่น ในปี พ.ศ.2519 โดยนายสุธรรม แย้มนิยม นักธรณีวิทยา ซึ่งได้ค้นพบเศษกระดูกไดโนเสาร์บริเวณพื้นที่ลำห้วยประตูตีหมา ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นเศษส่วนปลายของกระดูกขาหลังของไดโนเสาร์ซอริสเชียในกลุ่มซอโรพอด โดยถือว่าเป็นการค้นพบหลักฐานไดโนเสาร์เป็นครั้งแรกของไทยที่นำไปสู่การสำรวจและวิจัยอย่างจริงจังมาจนถึงปัจจุบันครับ
พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง เป็นพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา ที่เน้นจัดแสดงเรื่องราวของซากดึกดำบรรพ์ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. โดยเสียค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาทครับ

ภายในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งพื้นที่เป็น 5 โซน คือ โซน 1 กำเนิดจักรวาล วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิต และเรื่องราวของไดโนเสาร์ทั่วโลกครับ



โซน 2 ไดโนเสาร์ในแหล่งเทือกเขาภูเวียง มีการจัดแสดงซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ที่พบในไทย โดยเฉพาะพบที่แหล่งขุดค้นภูเวียง ถึง 5 สายพันธุ์ ประกอบด้วย ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน, สยามโมซอรัส สุธีธรนี, สยามโมไทรันนัส อิสานเอนซิส, กินรีไมมัส ขอนแก่นเอนซิส และ คอมพ์ซอกเนธัส โดยจะมีหุ่นจำลองได้โนเสาร์ตั้งให้ชมอยู่หลายตัวเลยครับ

และนี่คือส่วนปลายของกระดูกต้นขาหลังด้านซ้ายของไดโนเสาร์ซอโรพอด ไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่ ถือเป็นหลักฐานไดโนเสาร์ชิ้นแรกของไทยครับ

จุดนี้แสดงรอยเท้าไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ ที่พบในเทือกเขาภูเวียงครับ

โครงกระดูกไดโนเสาร์

โซน 3 เป็นห้องปฏิบัติการด้านซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาและซากดึกดำบรรพ์ในจังหวัดขอนแก่น นักท่องเที่ยวสามารถยืนชมบรรยากาศการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผ่านกระจกใส มีซากกระดูกไดโนเสาร์ที่ขุดพบในจังหวัดขอนแก่นให้ชมครับ

โซน 4 สวนไดโนเสาร์ โซนนี้ถูกใจเด็กน้อยและเด็กเหลือน้อยอย่างแน่นอน เพราะภายในสวนไดโนเสาร์จะจำลองบรรยากาศของป่าดึกดำบรรพ์โลกล้านปี มีทางเดินทอดยาว ผ่านน้ำตกจำลอง ผ่านหุ่นจำลองไดโนเสาร์ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่สำรวจพบที่ภูเวียง ที่สำคัญหุ่นไดโนเสาร์สามารถขยับตัวได้ แถมยังมีเสียงร้องดังก้องกังวานด้วยครับ


โซน 5 ยุคเทอร์เซียรี การใช้ประโยชน์หินแร่และห้องเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายในนี้จัดแสดงทั้งหินแร่และแร่ในไทย มีอุปกรณ์สำรวจทางธรณีวิทยาต่างๆ ครับ
การค้นพบแหล่งไดโนเสาร์บนเทือกเขาภูเวียง ถือเป็นการค้นพบที่สร้างชื่อเสียงให้กับเทือกเขาภูเวียงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไดโนเสาร์ซอโรพอดสกุลและชนิดใหม่จากภูเวียงที่ชื่อว่า ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรนี ซึ่งเป็นตัวจุดประกายในการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงขึ้นครับ
จากพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง ขับรถต่ออีกราว 3 กิโลเมตร ก็มาถึงอุทยานแห่งชาติภูเวียง (พิกัด https://maps.app.goo.gl/kYQzPRZwG6duSEoM9 ) ผมมาที่นี่เพื่อจะมาชมหลุมขุดซากไดโนเสาร์ครับ

เส้นทางศึกษาธรรมชาติเฉลิมพระเกียรติหลุมขุดค้นไดโนเสาร์ ในอุทยานแห่งชาติภูเวียง มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร หากจะใช้เวลาเดินชมกันให้ครบทุกจุดจะต้องใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ซึ่งผมมีเวลาไม่มากนัก จึงเลือกชมเฉพาะหลุมขุดค้นไดโนเสาร์ที่ 3 ห้วยประตูตีหมา เพียงจุดเดียว เพราะเดินใกล้ที่สุด อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานราว 400 เมตร เราจะต้องเดินเท้าเข้าไป สภาพเส้นทางเดินไม่ยากครับ ไปช่วงอากาศร้อนๆ แอบมีเหงื่อซึมบ้าง
ภายในหลุมขุดค้นที่ 3 จะพบเศษกระดูกแตกหักกระจายอยู่ในเนื้อหินทรายแข็ง มีกระดูกเพียงชิ้นเดียวที่วินิจฉัยว่าเป็นกระดูกเชิงกรานที่ทำให้ทราบได้ว่าเป็นของไดโนเสาร์ซอโรพอด อาจเป็นของไดโนเสาร์สกุลภูเวียงโกซอรัสครับ



สำหรับการเข้าชมหลุมขุดค้น เราจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติภูเวียงด้วย โดยผู้ใหญ่ มีค่าเข้า 40 บาท รถยนต์ 30 บาท และใครที่ตะเวนเก็บตราประทับอุทยานฯ ใน Passport อุทยานแห่งชาติ ผมขอแอบกระซิบว่าที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่ 5 คน ที่มีลายเซ็นเป็นลายไดโนเสาร์ ยังไงก็เก็บมาให้ครบนะครับ ผมได้มาแค่ 4 ลายครับ
จากอำเภอเวียงเก่า ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอภูเวียง เพื่อไปยังลานกางเต็นท์ตาดฟ้า ซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติภูเวียง ใครที่วางแผนจะไปกางเต็นท์ที่ลานกางเต็นท์ตาดฟ้า ผมแนะนำให้หาซื้ออาหารตอนออกจากอุทยานแห่งชาติภูเวียง เลยนะครับ เพราะที่ลานกางเต็นท์ไม่มีร้านอาหารจำหน่าย และให้เก็บบัตรค่าเข้าอุทยานแห่งชาติภูเวียง ไว้แสดงตอนที่จะเข้าไปยังลานกางเต็นท์ตาดฟ้าด้วย จะได้ไม่ต้องเสียค่าเข้าอีกรอบครับ
ก่อนที่จะถึงลานกางเต็นท์ตาดฟ้า เราจะพบกับจุดชมรอยตีนไดโนเสาร์ด้วย (พิกัด https://maps.app.goo.gl/5FzErAsLdnqNeh22A ) แนะนำให้เพื่อนๆ แวะชมกันนะครับ หาจอดรถริมถนนได้เลย แล้วเดินเท้าเข้าไปราว 100 เมตรครับ

บริเวณนี้คือหลุมขุดค้นที่ 8 (หินลาดป่าชาด) ได้พบรอยตีนไดโนเสาร์จำนวนกว่า 60 รอย มีแนวทางการเดินหลายทิศทาง แสดงถึงสภาพแวดล้อมโบราณเป็นชายน้ำ ลักษณะรอยตีนชนิดที่พบมากที่สุดเป็นของไดโนเสาร์กินพืชโบราณขนาดเล็ก ตระกูลซีลูโรซอร์ และกลุ่มออร์นิธิสเชียน เป็นแนวทางเดิน 7 แนว แสดงถึงกลุ่มไดโนเสาร์ที่กำลังเดินหากิน ขนาดของรอยตีนและช่วงก้าวของไดโนเสาร์ 7 แนวทางเดิน เมื่อนำมาคำนวณ พบว่าไดโนเสาร์มีความสูงถึงสะโพกระหว่าง 53-73เซนติเมตรครับ





การเกิดรอยตีนสัตว์เป็นรอยที่เกิดจากการที่สัตว์เดินบนชั้นตะกอนขณะยังไม่แข็งตัว เมื่อตะกอนบริเวณนั้นแข็งตัวเป็นหิน ก็จะเกิดเป็นร่องรอยขึ้นครับ
ใกล้ๆ กันยังมีหินที่มีลักษณะคล้ายกับหัวใจไดโนเสาร์ด้วยครับ

ขับรถต่ออีกประมาณ 4 กม. ก็มาถึงลานกางเต็นท์ตาดฟ้าครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/kTumP4FBYq8B19HP6 ) ผมซึ่งไม่ได้เตรียมเต็นท์และชุดเครื่องนอนอะไรมาเลย มีเพียงถุงนอน 1 ถุงเท่านั้นที่เป็นสมบัติติดตัว มาถึงจึงติดต่อขอเช่าเต็นท์ แผ่นรองนอน และหมอน จากเจ้าหน้าที่ ในราคา 225 บาทครับ ถ้าไม่ได้มาในช่วงหยุดยาว สามารถ walk in ไปได้เลย มีเต็นท์ว่างแน่นอน เจ้าหน้าที่กางเต็นท์รอไว้เป็นจำนวนมากเลยครับ
หากมาเที่ยวในช่วงฤดูฝนหรือช่วงปลายฝนต้นหนาว ใกล้ๆ ลานกางเต็นท์ตาดฟ้าจะมีน้ำตกตาดฟ้าให้ชมด้วย แต่ช่วงที่ผมไปน้ำแห้งหมดแล้ว จึงไม่ได้แวะเข้าไปครับ

ผมเลือกเต็นท์ที่อยู่ติดกับบริเวณสระน้ำ เต็นท์ที่ได้เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ สามารถนอนได้ 3 คน สำหรับห้องน้ำจะอยู่ห่างจากจุดกางเต็นท์ประมาณ 100 เมตร สภาพสะอาดใช้ได้ ตอนกลางคืนจะมีไฟส่องสว่างเฉพาะจุดสำคัญให้นิดหน่อย ไม่น่ากลัวครับ อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าที่นี่ไม่มีร้านอาหาร และไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ทุกค่ายครับ

ว่ากันว่าช่วงความเย็นเหมาะๆ บรรยากาศริมน้ำในช่วงเช้าจะมีไอน้ำลอยขึ้นบางๆ คล้ายกับบรรยากาศของปางอุ๋ง จ.แม่ฮ่องสอน หลายคนจึงเรียกบริเวณนี้ว่าเป็นปางอุ๋งขอนแก่นครับ


ผมเองไปคนเดียว ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ พอท้องฟ้าสิ้นแสง ผมก็เข้าเต็นท์นอนเลยครับ ในวันที่ผมไป ช่วงดึกๆ อากาศหนาวมาก ตั้งใจว่าจะออกมาถ่ายดาว แต่ท้ายสุดแพ้ความหนาว นอนอุ่นในถุงนอนแล้วเลยไม่อยากมากัดฟันทนความหนาว เลยนอนยาวยัน 05.30 น.อุณหภูมิต่ำสุดน่าจะราว 10 องศาได้ เช้านี้ไม่มีไอน้ำลอยขึ้นมาจากสระน้ำ แอบผิดหวังนิดหน่อยครับ
ฟ้าเริ่มสว่าง ผมรีบเดินทางไปยังผาชมตะวัน (พิกัด https://maps.app.goo.gl/2cwkYA46bHiaJaJ79 ) ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น อยู่ห่างจากลานกางเต็นท์ประมาณ 3 กม.
มีการสันนิษฐานว่าบริเวณผาชมตะวันเป็นผาหินที่มีอายุราว 140 ล้านปี เกิดจากการยกตัวขึ้นของแผ่นเปลือกโลกและรอยเลื่อนจนกลายเป็นหน้าผาสูงชันตลอดแนวเทือกเขา จากจุดนี้มองออกไปจะเห็นพื้นที่เก็บน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์แบบสุดลูกหูลูกตาเลยครับ และหากมาที่นี่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะได้เห็นทะเลหมอกสวยๆ ด้วย
บริเวณลานจอดรถ จะมีร้านค้าจำหน่ายเครื่องดื่มร้อนและเย็น แต่จะเปิดบริการราวๆ 09.00 น. จุดนี้มีสัญญาณโทรศัพท์ครับ






จากอำเภอภูเวียง ผมมุ่งหน้าสู่อำเภออุบลรัตน์ ไปยังเขื่อนอุบลรัตน์ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/SnMifCMKwgCqvi7F8 ) การมาเที่ยวในเขื่อนอุบลรัตน์ก็ไม่ยากเย็นอะไรเลยครับ ไม่ต้องแลกบัตรด้วย
เขื่อนอุบลรัตน์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เขื่อนพองหนึบ เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของไทย ถัดจากเขื่อนภูมิพล เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตัวเขื่อนเป็นหินถมแกนดินเหนียว ยาว 885 เมตร สูง 32 เมตร สร้างปิดกั้นแม่น้ำพอง สาขาย่อยของแม่น้ำชี ตรงบริเวณช่องเขาที่เป็นแนวต่อระหว่างเทือกเขาภูเก้าและภูพานคำ อ่างเก็บน้ำมีความจุ 2,263 ล้านลูกบาศก์เมตร ผลิตไฟฟ้าได้ 55 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง นอกจากจะเป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าแล้ว ยังใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร การประมง การป้องกันอุทกภัย ตลอดจนเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจด้วยครับ





จากเขื่อนอุบลรัตน์ผมมุ่งหน้าสู่วัดพระพุทธบาทภูพานคำ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/fiRLQdk5p4zXkrGD8 ) ซึ่งอยู่ห่างกันเพียง 3 กม.
วัดพระพุทธบาทภูพานคำตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาภูพานคำ เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อใหญ่ พระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ สูง 14 เมตร บนยอดเขา ซึ่งสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล มีบันไดทางขึ้นจากลานจอดรถไปยังยอดเขาจำนวน 1,049 ขั้น แต่สำหรับผม ขอถนอมหัวเข่าเอาไว้เดินเที่ยวจุดอื่นดีกว่า จึงเลือกที่จะขับรถยนต์ขึ้นไปด้านบนครับ



บนยอดเขา สามารถมองเห็นทัศนียภาพของพื้นที่เก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ได้แบบสุดสายตาเลยครับ


จากวัดพระพุทธบาทภูพานคำ ไปต่อที่วัดเขื่อนอุบลรัตน์ครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/a6udu152BXHguXYq9 )
เมื่อเข้ามายังวัดเขื่อนอุบลรัตน์ จะพบพระอุโบสถสองชั้นขนาดใหญ่ แต่ไม่เปิดให้เข้าชม สิ่งที่ดึงดูดให้ผมมาที่วัดนี้ นั่นคือสะพานหินธรรมชาติครับ

ผมขับรถผ่านพระอุโบสถเข้ามายังพื้นที่ถ้ำผาเจาะ เพื่อมาชมสะพานหินธรรมชาติครับ

ภายในพื้นที่ถ้ำผาเจาะ จะมีประติมากรรมพญานาคขนาดใหญ่ องค์สีขาว สวยงาม

และนี่คือไฮไลท์ กับสะพานหินธรรมชาติ 140 ล้านปี ตัวหินมีความยาวประมาณ 15 เมตร สูงจากพื้นดินประมาณ 5 เมตร ที่หินมีลักษณะโค้งแบบนี้ สันนิษฐานว่าเกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกในช่วง 50 ล้านปีที่แล้ว ซึ่งชั้นหินเกิดแรงบีบอัดและกลายเป็นรอยแตก และถูกน้ำกัดเซาะไปตามรอยแตกเป็นเวลานานหลายล้านปี จนหินค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นลักษณะคล้ายกับสะพาน ที่ด้านล่างของสะพานมีการสร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ครับ



ถ้าเพื่อนๆ มาเที่ยวที่เขื่อนอุบลรัตน์แล้ว ผมไม่อยากให้พลาดมาชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ มากราบไหว้ขอพรพระเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเองกันครับ
จากอำเภออุบลรัตน์ ไปต่อที่อำเภอบ้านฝาง ผมมาที่นี่เพื่อจะมาชมประติมากรรมทางธรรมชาติที่จุดชมวิวหินช้างสี (พิกัด https://maps.app.goo.gl/sBvibgZNHvJxmuYi9 ) ในพื้นที่ความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติน้ำพองครับ การเข้าชมจุดชมวิวหินช้างสี มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชม โดยผู้ใหญ่ มีค่าเข้า 20 บาท รถยนต์ 30 บาท ครับ
หินช้างสีเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับกลุ่มหินทรายขนาดใหญ่ให้มีรูปทรงแปลกตา นับสิบๆ ลูกเลยครับ
จากลานจอดรถด้านหน้าที่ทำการ เราต้องเดินเท้าต่ออีกราว 300 เมตร ก็จะเริ่มเห็นกลุ่มหินรูปทรงแปลกตาแล้ว เริ่มที่หินนกเป็ดครับ รูปทรงมันได้จริงๆ เห็นหัวเป็ด ปากเป็ด ชัดเจน

ถัดมาจะเป็นหินเต่างอย

หินแต่ละก้อนที่วางอยู่เบื้องหน้า คงไม่มีใครเล่นพิเรนทร์ขนขึ้นมาจัดตั้งให้ดูสวยงามหรอกนะครับ แต่ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้นทั้งนั้น

หินแจกัน

หินหอยทาก ตั้งอยู่เคียงคู่กับต้นไม้รูปหัวใจครับ

หินหัวเต่าปูลู มุมนี้เหมือนมาก มีตา มีจมูก มีปาก ชัดเจน

และหินก้อนนี้แหละครับ เป็นที่มาของชื่อ ‘หินช้างสี’ ไม่ใช่เพราะหินมีรูปร่างคล้ายช้างหรอกนะครับ แต่บริเวณโขดหินนี้ได้พบรอยแทะกินของสัตว์ มีร่องรอยโคลนดินและขนช้าง ที่เกิดจากการเสียดสีผิวหนังของช้างป่า จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘หินช้างสี’ นั่นเอง หินใหญ่ขนาดไหน เทียบกับตัวผมดูเองครับ

หินหอยนางรม

หินหอยเชลล์

หินสามเส้า

หินปลาวาฬ

เดินเรื่อยมาจนมาเจอจุดชมวิวครับ

บริเวณผาเก็บตะวัน เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก และสามารถชมวิวของพื้นที่เก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ได้อย่างสวยงามครับ


ติดกันเป็นหินแมวน้ำ

หินคิงคอง

หินก้อนนี้ไม่มีชื่อครับ ลักษณะคล้ายรังต่อหัวเสือขนาดใหญ่ เห็นสวยดีเลยขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย

หินกุมภลักษณ์ เกิดจากการขัดสีของก้อนหิน ก้อนกรวด ที่กระแสน้ำเข้ามาปั่นให้ก้อนหินเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงจนเป็นร่องเป็นรู ดูคล้ายรังต่อขนาดใหญ่ครับ

น้ำในโพรงหิน เป็นก้อนหินทรายที่เกิดจากการกัดเซาะของทางน้ำ ทำให้มีลักษณะเป็นโพรงหินที่มีน้ำขังตลอดทั้งปี คนสมัยก่อนในพื้นที่ให้ชื่อหินก้อนนี้ว่า อ่างช้างจก หมายถึงช้างเอางวงเข้าไปในโพรงหินเพื่อกินน้ำ บริเวณนี้ถือเป็นจุดนัดพบของทั้งคนและสัตว์ป่า เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำเพียงแห่งเดียวที่มีน้ำตลอดทั้งปีครับ

สิ้นสุดเส้นทางศึกษาธรรมชาติหินช้างสีที่จุดนี้ บริเวณจุดนี้ได้สำรวจพบภาพเขียนสีโบราณ มีลักษณะเป็นภาพลายเส้นสีแดง-ดำ อายุประมาณ 2,000-4,000 ปี โดยคาดว่าบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ภาพเขียนสีที่พบจะเป็นรูปสัตว์ป่า สัญลักษณ์ในการทำพิธีกรรมต่างๆ ผมพยายามมองหาอยู่นาน แต่หาไม่เจอครับ อาจจะเพราะเกิดการเลือนลางไปตามกาลเวลาแล้ว

สำหรับขากลับ ผมเปลี่ยนเส้นทางเดินใหม่ โดยเดินขึ้นสะพานเชื่อมหิน ที่ทางอุทยานได้สร้างไว้ ขึ้นมาด้านบนจะได้เห็นหินหัวกะโหลกด้วยครับ

ไม่คิดว่าภายในเส้นทางศึกษาธรรมชาติหินช้างสีจะมีอะไรให้ดูมากมายขนาดนี้ ตอนแรกผมวางแผนไว้ว่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงครึ่งชั่วโมง แต่ที่ไหนได้ ผมหมดเวลาไปกับที่นี่เกือบ 2 ชั่วโมงครึ่งเลยครับ
16.30 น.แล้ว ผมคงต้องบึ่งรถกลับไปยังอำเภอเมืองแล้ว เพราะคืนนี้ผมวางแผนจะกลับไปนอนที่บ้านสวนของพี่หมานครับ เมื่อเข้าเขตอำเภอเมือง ใกล้บ้านสวน ฟ้ายังไม่สิ้นแสง ผมเลยแวะไหว้พระที่วัดไชยศรี (พิกัด https://maps.app.goo.gl/C6VnbT5HnzDnt85L8 ) ก่อนที่จะเข้าบ้านสวนครับ
วัดไชยศรีเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ พ.ศ.2408 ปัจจุบันมีอายุ 160 ปีแล้ว และได้ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดเขตโบราณสถานตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 ของดีของเด็ดของวัดไชยศรีเห็นจะเป็น ‘สิม’ หรือโบสถ์ ที่สร้างราวปี พ.ศ.2443 เป็นโบราณสถานที่สำคัญ เพราะที่ผนังทั้งด้านนอกและด้านในมี ‘ฮูปแต้ม’ หรือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามแปลกตา ฝีมือช่างพื้นบ้านชาวมหาสารคามครับ

สิ่งที่สะดุดตาของฮูปแต้ม คือการใช้สี ช่างจะเขียนด้วยสีฝุ่นโทนสีคราม เหลือง ขาว ลักษณะการเขียนภาพเน้นสัดส่วนที่เกินจริง อารมณ์ของภาพดูสนุกสนาน ตัวละครจะออกท่าทางโลดโผน เรื่องราวที่เขียนบนฝาผนังด้านนอกเป็นนิทานพื้นบ้านเรื่องสังข์สินไชย นอกจากนั้นยังมีภาพขุมนรก ซึ่งเขียนเอาไว้บริเวณด้านหน้าสิมเพื่อเตือนสติชาวบ้านให้เกรงกลัวต่อบาป
สำหรับรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของสิมเป็นอิทธิพลสมัยอาณานิคม (Colonial Style) มีการใช้รูปแบบฐานย่อมุมลดหลั่นหลายระดับ เมื่อมองจากด้านตรงมีลักษณะคล้ายฐานเจดีย์ 2 ชั้น รองรับต้นเสา 2 ต้น ซ้อนกันขึ้นไป ระหว่างต้นเสามีช่องหน้าต่างหลอก และหน้าต่างจริงสลับกันไป ผนังทุกด้านเขียนภาพเต็มทั้งผนัง ด้านหน้ามีประตูบานใหญ่แกะสลักเป็นรูปพระพุทธเจ้าครับ




ด้านในสิมไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปนะครับ ภายในสิมประดิษฐานพระประธานสมัยโบราณ พระพักตร์หันมาทางด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับทางเข้าสิม จากพุทธลักษณะนั้นไม่คุ้นตาผมเลย คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือช่างชาวบ้านเป็นผู้สร้าง ส่วนฮูปแต้มจะเล่าเรื่องพุทธประวัติ มีภาพเทพ มนุษย์และสัตว์ต่างๆ ครับ




ตัวสิมก่อด้วยดินจี่สอปูน รูปแบบดั้งเดิมเป็นสิมทึบพื้นบ้าน ฐานสูง เดิมหลังคาของสิมเป็นแบบอีสาน มีปีกยื่น ต่อมาหลังคาเกิดการชำรุด ชาวบ้านจึงได้ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ ให้เป็นแบบรัตนโกสินทร์ ซึ่งไม่สามารถกันแดดกันฝนได้ทั่วถึง จึงทำให้ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ด้านนอกเลือนไปบ้าง ต่อมากรมศิลปากร ได้เข้ามาต่อเติมปีกด้านข้างของสิมเพิ่ม และยังยกพื้นขึ้นเพื่อป้องกันน้ำกัดเซาะฐานด้วย

ถึงแม้เวลาจะผ่านล่วงมา 125 ปี ฮูปแต้มบางส่วนอาจเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่สำหรับผมแล้ว สิมหลังนี้มีคุณค่าทางจิตใจต่อผมมากๆ เพราะตั้งแต่ที่ผมตะเวนเที่ยวชมวัดมา ผมไม่เคยเห็นสิมลักษณะนี้มาก่อนเลย หากเพื่อนๆ มาเที่ยวที่ขอนแก่น ผมอยากให้มาชมความงดงามที่ทรงคุณค่าแบบนี้กันครับ
ได้เวลาอันสมควร ผมกลับไปพักที่บ้านสวนของพี่หมานครับ
เช้าวันที่สาม วันนี้ผมวางแผนตะลุยไหว้พระ เพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัวเอง โดยผมปักหมุดที่อำเภอน้ำพอง ระหว่างทางขอแวะสักการะพระพุทธรูปหล่อสำริดปางลีลาขนาดใหญ่ ที่พุทธมณฑลอีสาน (พิกัด https://maps.app.goo.gl/AGvQWAT8Sx5M5F2Z6 ) เป็นจุดแรก
พุทธมณฑลอีสาน เป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาที่มีลักษณะเดียวกับพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นสถานที่ประชุม อบรม สัมมนา และปฏิบัติธรรมของประชาชน พระภิกษุสงฆ์ ครับ พระประธานของพุทธมณฑลอีสานเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริด ปางลีลา ความสูง 20.90 เมตร (จากฐานบัวถึงยอดเกศโมฬี) มีต้นแบบในลักษณะเดียวกับพระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ พระประธานพุทธมณฑลศาลายา จังหวัดนครปฐม สร้างบนพื้นที่ 1,174 ไร่ 80 ตารางวา จัดสร้างขึ้นในวโรกาส รัชกาลที่ 9 ทรงสิริพระชนมายุครบ 84 พรรษาครับ




พุทธมณฑลอีสานเคยใช้เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อคูณปริสุทโธด้วยครับ
จากพุทธมณฑลอีสาน ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอน้ำพอง เพื่อไปสักการะพระธาตุขามแก่น (พิกัด https://maps.app.goo.gl/FHbqcoejtcdCmKPV8 ) ซึ่งตั้งอยู่ในวัดเจติยภูมิครับ
พระธาตุขามแก่น นับเป็นปูชนียสถานสำคัญและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดขอนแก่นเลยก็ว่าได้ เดิมเรียกพระธาตุบ้านขาม ตามตำนานพระอุรังคธาตุ เล่าไว้ว่าเมื่อ พ.ศ.8 คือหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 ปี พระมหากัสสปะได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ คือพระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกหน้าอกของพระศาสดามาเพื่อสร้างเจดีย์ภูกำพร้าบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีกษัตริย์จาก 5 นครร่วมกันสร้าง ซึ่งเจดีย์ภูกำพร้าก็กลายมาเป็นพระธาตุพนมสืบมาจนถึงปัจจุบัน ในกาลนั้นเอง เจ้าโมริยกษัตริย์แห่งเมืองปิปผลิวัน ที่ได้รับแบ่งพระอังคารธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อคราวที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุไป เจ้าโมริยกษัตริย์ได้ทราบดังนั้นก็ปรารถนาที่จะนำพระอังคารธาตุมาร่วมบรรจุอยู่ในพระธาตุภูกำพร้า ท่านจึงได้มอบหมายให้พระยาหลังเขียว พร้อมด้วยพระอรหันต์ 9 องค์เป็นผู้อัญเชิญพระอังคารธาตุเดินทางมาร่วมบรรจุพระอังคารธาตุนี้ในเจดีย์ภูกำพร้า ปรากฏว่าเมื่อเดินทางมาถึงบริเวณนี้ก็ใกล้พลบค่ำ จึงตัดสินใจพักค้างแรมที่นี่ เห็นจุดนี้เป็นที่ดอนและมีห้วยสามแยกไหลผ่านดอนนี้ ใจกลางดอนมีแก่นของต้นมะขามที่ล้มตายลงไปแล้ว จึงได้นำพระอังคารธาตุมาวางบนแก่นขามนั้น พอรุ่งเช้าพระยาหลังเขียวพร้อมด้วยพระอรหันต์ก็เดินทางต่อไปยังภูกำพร้า ปรากฏว่าเมื่อไปถึงพบว่าเจดีย์ภูกำพร้าบรรจุพระธาตุเสร็จแล้ว จึงไม่สามารถนำพระอังคารธาตุบรรจุเข้าไปในเจดีย์นั้นได้ เลยตัดสินใจนำพระอังคารธาตุกลับสู่เมืองปิปผลิวัน โดยเดินทางกลับมาในเส้นทางเดิม แต่ปรากฏว่าพอมาถึงบริเวณจุดนี้ ต้นมะขามที่ตายไปแล้วเหลือเพียงแก่นและเป็นจุดที่วางพระอังคารธาตุเอาไว้ ปรากฏต้นมะขามแตกกิ่งใบ ผลิออกมาปกคลุมบริเวณแก่นขามเอาไว้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง จึงทำให้พระยาหลังเขียวปรึกษากับหมู่พระอรหันต์แล้วตัดสินใจร่วมกันว่าจะนำพระอังคารธาตุที่อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ ณ ที่แห่งนี้ จึงมีการสร้างพระธาตุขามแก่นขึ้นมาในปี พ.ศ.8 นั่นเอง

เมื่อสร้างพระธาตุขามแก่นเสร็จสิ้น พระยาหลังเขียวจึงได้ตัดสินใจสร้างบ้านแปงเมืองบริเวณนี้ อีกทั้งยังสร้างวัดเพื่อให้เป็นที่พำนักของพระอรหันต์ทั้ง 9 หลังจากพระอรหันต์ทั้ง 9 ได้ละอัตภาพไป ก็มีการเก็บพระอัฐิธาตุของท่านบรรจุไว้ในเจดีย์นี้ ชาวบ้านเรียกว่าเจดีย์ครูบาทั้ง 9 เจ้ามหาธาตุ

พระธาตุขามแก่นมีลักษณะเป็นเจดีย์ สูงประมาณ 10 เมตร มีฐานเป็นรูปบัวคว่ำ ผังสี่เหลี่ยมสอบขึ้นด้านบน ปลายยอดเป็นฉัตรทอง องค์เรือนธาตุเป็นรูปดอกบัวตูม ย่อมุมไม้สิบสอง ด้านทิศตะวันออกติดกับองค์พระธาตุมีสิมเก่า ซึ่งสร้างคู่กับพระธาตุมาแต่โบราณ เป็นสถาปัตยกรรมล้านช้าง มีลายฉลุไม้ที่หน้าบัน ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และลายรวงผึ้งที่บริเวณซุ้มด้านหน้า ฝาผนังบริเวณประตูสิมมีภาพวาดฝีมือชาวบ้านเป็นรูปตำรวจถือปืนยาวเป็นทวารบาลครับ
ผมตั้งใจจะไปสักการะองค์พระธาตุก็เจอแจ๊คพอตเลยครับ องค์พระธาตุกำลังบูรณะอยู่ แต่ถ้าหากมองอีกมุม โอกาสน้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นองค์พระธาตุช่วงกำลังลงรักเพื่อเตรียมปิดทองแบบนี้ครับ


ไม่ไกลจากองค์พระธาตุ มีรูปปั้นของพญาศรีสุทโธนาคราชด้วยครับ

ชาวขอนแก่นเชื่อว่าใครที่มีโอกาสได้มาสักการะพระธาตุขามแก่นจะห่างไกลจากโรคร้าย ใครที่ป่วยไข้ด้วยโรคร้ายเมื่อมานมัสการ โรคร้ายจะบรรเทา อีกครั้งใครที่มีความทุกข์มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อมาสักการบูชา อาศัยบุญกุศลจากการได้กราบไหว้พระธาตุแห่งนี้จะทำให้เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดีได้
จากอำเภอน้ำพอง ผมย้อนกลับมายังอำเภอเมืองขอนแก่นอีกครั้ง เพื่อมาชมความสวยงามของวัดทุ่งเศรษฐีครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/edHzEMY5jdQtu7bk9 )
จุดเด่นของวัดทุ่งเศรษฐี อยู่ที่มหาเจดีย์รัตนะ หรือมหาเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ ความโดดเด่นของมหาเจดีย์นี้อยู่ที่การก่อสร้างที่ผสมผสานระหว่างองค์เจดีย์สามโลก นั่นคือเจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นครเจดีย์ในนาคพิภพ และมหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุบนโลกมนุษย์ มาจากความเชื่อว่าจุดนี้คือบริเวณที่เชื่อมต่อระหว่าง 3 โลก ทั้งสวรรค์ มนุษย์ และเมืองบาดาล
มหาเจดีย์จะตั้งอยู่กลางบึง มีน้ำล้อมรอบ องค์เจดีย์จะเป็นโถงโล่ง ทรงระฆังคว่ำ เป็นการออกแบบที่ผสมผสานศิลปะทั้งแบบไทย ธิเบต แขก จีนและฝรั่ง โดยหลวงตาย่ามแดง ผู้ก่อสร้างวัดทุ่งเศรษฐี ต้องการให้คนที่มาที่วัด ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ก็จะเข้าใจศิลปะของมหาธาตุเจดีย์องค์นี้ได้ไม่ยาก



มีบันได 4 ด้าน ตกแต่งด้วยลวดลายของสัตว์ 4 ตระกูล เรียกว่าบันไดธาตุสี่



มีผู้ดูแลครบทั้ง 4 ทิศ ประกอบด้วย ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวัณ และท้าวธตรฐ


ภายในมหาเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธนีลวรรโณศิโลทรัพยุดม หรือหลวงปู่ดำ พระพุทธรูปเนื้อทองเหลืองผิวสีดำ ปางสมาธิทรงเครื่อง ปิดทองประดับด้วยพลอยสีต่างๆ ศิลปะแบบลพบุรีครับ


ใต้มหาเจดีย์จะเป็นห้องปริศนาธรรมวงศไวศยวรรณ เป็นห้องที่แสดงเกี่ยวกับภาพปริศนาธรรมต่างๆ เกี่ยวกับวงจรชีวิต ซึ่งได้แก่ การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายครับ





ลวดลายตรงนี้ประดับด้วยกระเบื้องโมเสค คือละเอียดและสวยงามมากๆ ครับ

นอกจากมหาเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุแล้ว ทางวัดยังได้สร้างอาคารสำคัญๆ อีกหลายจุด เช่น อุโบสถที่ด้านในประดิษฐานพระพุทธสิกขีทศพล วิหารพระอวโลกิเตศวร ลานพญายม รูปปั้นพญานาค แท่นแว่นฟ้า ท่านาคิน ครับ


จากอำเภอเมือง ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอมัญจาคีรี เพื่อไปชมความเก่าแก่ของวัดสระทองบ้านบัวครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/YgCzcGA8bVncsbFG6 )
วัดสระทองบ้านบัว ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.2400 พระเอกของวัดสระทองบ้านบัว ก็คือ ‘สิม’ โบราณ เช่นเดียวกับวัดไชยศรีครับ สิมที่นี่เป็นสิมทึบก่ออิฐถือปูนยาว 3 ห้อง มีความยาว 7.50 เมตร กว้าง 5 เมตร หลังคาทรงจั่ว มีประตูเข้าด้านเดียว ปั้นปูนเป็นเสาเหลี่ยมย่อมุมยอดกลีบบัวมีดอก 4 กลีบ ประดับกระจกเงาวงกลมเป็นแนวไปตลอดเหนือฐานแอวขันที่ก่อแบบช่างพื้นบ้านอย่างบริสุทธิ์ โครงหลังคาเป็นไม้เนื้อแข็งทั้งหมด มีการแกะลวดลายลงบนขื่อและดั้งแต่พองาม
ผนังด้านข้างประตูปั้นปูนนูนรูปช้างมีคนนั่งบนหลังหันหน้าหาประตูทั้ง 2 ข้าง เสาเหลี่ยมปั้นปูนหลอกไว้ด้านนอก แต่เสาจริงที่รับโครงสร้างหลังคาเป็นเสาไม้ขนาด 20x20 ซม. นาคปูนปั้นเฝ้าบันไดทางขึ้นมีความแปลกจากสิมอื่นๆ คือ หน้าตาของพญานาคต่างกัน ตัวหนึ่งหน้าเรียวมีหงอนยาว อีกตัวหนึ่งหน้าอ้วนมีหงอนสั้น

ผนังด้านข้างเจาะซุ้มหน้าต่างที่ห้อง 1 และ 2 ส่วนห้องที่ 3 และผนังด้านหลังเป็นซุ้มหน้าต่างหลอก ยอดซุ้มแต่ละซุ้มประดับด้วยลายดอกไม้ห้อยระย้าและพญานาค ส่วนพื้นที่ว่างทำเป็นภาพบุคคลอิริยาบถต่างๆ เช่น ขี่ม้า ขี่ช้าง นั่งเรือ ชกมวย ภาพสัตว์อย่างเสือ นก จระเข้ ครับ





สีหน้า หรือ หน้าบัน ด้านหน้าปั้นลายคล้ายรูปฉัตร 3 ชั้น ประดับกระจกเงา

ส่วนด้านหลังปั้นนูนเป็นรูปแว่นโค้ง มีเทวดาอยู่ภายในซ้อนกัน 3 ชั้น และมีก้านโค้งย้อยออกไปทั้ง 2 ด้าน มีดอก 4 กลีบประดับกระจกเงาตรงกลางคล้ายกับดวงดาวทอแสงเป็นประกายน่าดูมาก มุมล่างทั้งซ้ายขวาเป็นรูปช้างมีสัปคับและคนขี่บนคอช้าง

ผนังภายในสิมโล่งไม่ทำลวดลายหรือแต้มรูปแต่อย่างใด ประดิษฐานพระประธานไม้ประดิษฐานบนฐานชุกชีไม่สูงนัก เพียงองค์เดียว

สิมแห่งนี้เป็นสิมเดียวที่ประดับงานปูนปั้นและรักษางานดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี ในขณะที่สิมแห่งอื่นจะประดับผนังด้วยฮูปแต้ม กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนสิมแห่งนี้เป็นโบราณสถานของชาติเมื่อปี พ.ศ.2544 และเมื่อ พ.ศ.2545 สิมของวัดสระทองบ้านบัวได้รับรางวัลอาคารทรงคุณค่าด้านการอนุรักษ์มรดกและวัฒนธรรมแห่งเอเชียแปซิฟิก จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ด้วยครับ

สิมวัดสระทองบ้านบัวหลังนี้มีคุณค่าในทางเอกลักษณ์ช่างไท-อีสานพื้นบ้านอย่างเต็มเปี่ยม ลักษณะงานฝีมือดูเรียบง่ายตามยุคสมัยนั้น แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของช่างเป็นอย่างมาก ถือว่ามีคุณค่ายิ่งในทางศิลปะครับ
จากอำเภอมัญจาคีรี ไปกันต่อที่อำเภอหนองสองห้อง โดยผมเลือกปักหมุดที่วัดสระบัวแก้วครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/bW4UXr5amZTgNXR78 )
ไฮไลท์ของวัดสระบัวแก้วก็ยังคงเป็น ‘สิม’ เหมือนวัดที่ผมพาชมไปก่อนหน้า แต่เดิมสิมของวัดเป็นสิมน้ำสร้างด้วยไม้ อยู่บริเวณด้านใต้ของวัด ต่อมาในปี พ.ศ.2474 จึงได้สร้างสิมบกขึ้นมาแทนสิมน้ำที่เริ่มชำรุด โดยทางวัดได้ร่วมกับชาวบ้านวังคูณ ขุดลอกหนองสระ นำดินมาถมปรับที่สำหรับก่อตั้งสิม วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างหลายอย่างก็เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้าน เช่น ดินทรายที่ชาวบ้านขี่เกวียนเพื่อไปขนทรายจากแม่น้ำมูล เพราะเชื่อกันว่าทรายจากแม่น้ำมูลมีความละเอียดเป็นพิเศษ เวลาฉาบจะทำให้เรียบ เนียน ยึดเกาะกันดี, ยางบงสำหรับใช้เป็นตัวประสานก่อนที่ปูนจะแห้ง ซึ่งทำจากน้ำอ้อยนั้น ชาวบ้านก็ร่วมแรงกันปลูกอ้อยเพื่อให้ได้น้ำอ้อยมาทำยางบง, กาวหนังสัตว์ ชาวบ้านก็ใช้หนังวัวหนังควายที่ตากแห้ง มาต้มน้ำและเคี่ยวจนเป็นเมือกเหนียว ทำหน้าที่เป็นตัวประสานให้ชั้นปูนเกาะกันก่อนเข้าสู่กระบวนการแข็งตัวของปูน, หิน ปูน ก็เผากันเองครับ
ลักษณะของสิมเป็นสิมทึบพื้นบ้านประยุกต์โดยช่างพื้นบ้าน แบบมีเสารับปีกนก และถูกดัดแปลงเฉพาะส่วนหลังคาที่เป็นจั่วชั้นเดียวยื่นยาวออกไปอีกทางด้านหน้า อาคารก่ออิฐถือปูน มีประตูด้านหน้าประตูเดียว แปลนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาว 3 ช่วงเสา มีหน้าต่างขนาดเล็กด้านข้างด้านละ 2 บาน

ตรงเชิงบันไดทางขึ้นสู่สิมประดับด้วยประติมากรรมสิงห์หมอบ (ตัวมอม) ทั้งซ้ายและขวา ด้านหน้าทั้งสองมีรูปปั้นคนนั่งเหยียดเท้า ห้องภาพกลาง มีประตูไม้ บานประตู ๒ บาน เปิดเข้าด้านใน มีลวดลายประดับกรอบประตูอย่างเรียบง่าย ขนาบด้วยลวดลายเครือเถาสลับซ้ายขวา เหนือกรอบหน้าต่างส่วนกลางเขียนเป็นภาพราหูอมจันทร์ ซ้ายขวาประกอบด้วยภาพของเทวดาขณะร่ายรำ ผิวกายเป็นสีขาวเช่นเดียวกับสีของพื้นผนัง ประดับด้วยเครื่องทรงที่เป็นสีเหลืองหรือเหลืองจำปาแทนการใช้ทองคำเปลว แล้วตัดเส้นในรายละเอียดด้วยเส้นที่บางเบา น้ำหนักที่เข้มเด่นขึ้นก็คือสีครามเข้มหรือสีน้ำเงินของเครื่องแต่งกาย


คุณค่าสุดยอดของสิมหลังนี้อยู่ที่ฮูปแต้ม ซึ่งปรากฏทั้งภายในและภายนอกสิม มีอักษรตัวธรรมเขียนบรรยายภาพกำกับอยู่ ฮูปแต้มภายนอกเป็นเรื่องพระพระรามชาดก ตอนกำเนิดยักษ์ทศกัณฐ์ กำเนิดนางสีดา/นางสีดาลอยแพ กำเนิดทรพี ทรพา สุครีพ พะลีจัน, นิทานพื้นบ้านเรื่องสังข์สินไชย และการทำมาหากิน วิถีชีวิตคนอีสาน ช่างแต้มมีอิสระที่จะแสดงฝีมือของตนได้อย่างเต็มที่ในการเขียนภาพต้นไม้ใบไม้ และภาพสัตว์นานาชนิด สังเกตได้จากฝีแปรงการแตะแต้ม ส่วนสีที่ใช้จะเป็นสีเหลือง คราม ดินแดง เขียว ฟ้า และดำ ครับ



ภายในสิมมีฮูปแต้มเป็นรูปพระพุทธประวัติ ตอนเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชจนถึงปรินิพพาน









ฮูปแต้มเหล่านี้ยังมีสีสันสดใสในแบบศิลปะพื้นบ้านของอีสานมาก แต่ไม่รู้ว่าจะคงอยู่ให้ลูกหลานได้ชมไปอีกนานแค่ไหน เพราะสิมขาดการดูแลทำความสะอาดทั้งด้านนอกและด้านใน ยิ่งภายในมีทั้งขี้นก ขี้ค้างคาว เศษฝุ่น เยอะมากๆ แถมหลังคาก็ขาดการบูรณะให้อยู่ในสภาพเดิมด้วยครับ
จากอำเภอหนองสองห้อง มุ่งหน้าสู่อำเภอเปือยน้อย ผมปักหมุดที่ปราสาทเปือยน้อยครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/dYVfrd1vhXeuipLc6 )
ตอนที่วางแผนเที่ยวทริปนี้ ก็ไม่เคยคิดเลยว่าขอนแก่นจะมีปราสาทหินด้วย ไหนๆ ก็เป็นความรู้ใหม่ เลยขอไปชมด้วยตาของตัวเองสักครั้งเถอะ
ปราสาทเปือยน้อย หรือพระธาตุกู่ทอง เป็นปราสาทเขมรที่สมบูรณ์ที่สุดในแถบอีสานตอนบน สันนิษฐานว่าสร้างในช่วงศตวรรษที่ 16-17 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานประกอบพิธีกรรม แต่อีกกระแสบอกว่าปราสาทเปือยน้อยเป็นศิลปะผสมระหว่างเขมรบาปวนและแบบนครวัดรวมกัน ผังการก่อสร้างหมายถึงเขาพระสุเมรุอันเป็นแกนกลางของจักรวาล หมายถึงที่สิงสถิตย์ของเหล่าบรรดาทวยเทพทั้งหลาย ลักษณะด้านสถาปัตยกรรมประกอบด้วยกลุ่มอาคารโบราณ 4 หลัง ก่อด้วยศิลาแลง หินทรายและอิฐ โดยมีกำแพงแก้วเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้าล้อมรอบอีกชั้น




โคปุระ หรือประตูซุ้ม

ภายในกำแพงแก้วมีบรรณาลัยหรือวิหารทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ สันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นที่เก็บพระคัมภีร์ครับ



หน้าบรรณขององค์ปรางประธานสลักเป็นรูปนาคราชมีลวดลายสวยงามสะดุดตา ทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ซึ่งยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับตัวปราสาทคาดการณ์ว่าน่าจะมีอายุประมาณ 800 ปี


ปราสาทเปือยน้อยเป็นที่เคารพสักการะของชาวอำเภอเปือยน้อยเป็นอย่างมาก ทุกๆ ปีในช่วงวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 ของทุกปี จะมีการจัดเทศกาลเฉลิมฉลองปราสาทเป็นประจำทุกปี โดยจะมีพิธีกรรมทางศาสนา ประเพณีผูกเสี่ยวอันขึ้นชื่อของชาวขอนแก่น และมีการแสดงแสง สี เสียง อย่างยิ่งใหญ่ตระกาลตาครับ
จากอำเภอเปือยน้อย ผมย้อนกลับมายังอำเภอเมือง เพื่อจะมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่วัดหนองแวงครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/wxftmpWhgZtc8Doa7 )
วัดหนองแวงเป็นวัดเก่าแก่ดั้งเดิมของขอนแก่น มีอายุมากกว่า 200 ปี เป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุแก่นนคร หรือพระธาตุเก้าชั้น เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กก่ออิฐถือปูน มียอดเป็นทรงเจดีย์ ที่จำลองแบบมาจากยอดพระธาตุพนม มีความสูง 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุม และมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ ศิลปะในสมัยทวาราวดีผสมศิลปะแบบอินโดจีน ที่มีความสวยงามอลังการ ภายในพระธาตุมี 9 ชั้น ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมได้ทุกชั้น ชั้นบนสุดสามารถชมวิวมุมสูงเมืองขอนแก่นได้อย่างสวยงามครับ


ชั้นแรกประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากนั้นยังมีพระบรมสารีริกธาตุของพระอรหันต์ธาตุด้วย

ผมมาถึงวัดหนองแวงในเวลา 17.00 น. เลยสามารถชมได้แค่เพียงชั้นล่างเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรเพราะผมเคยขึ้นไปชมบรรยากาศในพระมหาธาตุครบทั้ง 9 ชั้นแล้ว และการมาในครั้งนี้ ผมตั้งใจจะมาชมบรรยากาศวัดหนองแวงยามค่ำครับ





ผมมาปิดทริปที่ศาลหลักเมืองขอนแก่นครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/BsNyXtU2EQ3dicBg7 )
ก่อนหน้านั้นเสาหลักเมืองขอนแก่นอยู่ที่อำเภอชุมแพ ก่อนที่จะถูกอัญเชิญมาประดิษฐานอยู่ในอาคารศาลหลักเมืองขอนแก่นที่สร้างขึ้นมาใหม่ ใจกลางเมืองขอนแก่น มาจนถึงปัจจุบัน ตัวอาคารงดงามไปด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยแบบประยุกต์ มีรูปทรงและส่วนประกอบของงานศิลป์ที่เป็นการอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมสำคัญของท้องถิ่นอีสานเอาไว้ เป็นอาคารโถงจัตุรมุข 13x13 เมตร ย่อมุมตัวอาคารโดยรอบมีระเบียงยื่นทั้ง 4 ด้าน มีหลังคาเป็นทรงจั่วจัตุรมุขซ้อน 3 ชั้น และมีชั้นเครื่องยอดเป็นรูปเจดีย์ศิลปะพื้นเมืองแบบอีสานครับ

สำหรับเสาหลักเมืองเป็นเสมาหินทรายสมัยทวารวดี ที่มีร่องรอยการลงรักปิดทองเป็นลวดลายไทย มีการผูกผ้าพันรอบเสา ส่วนโคนเสาหลักเมืองจะก่อเป็นฐานปูน มีลายรูปดอกบัว ล้อมไปด้วยเครื่องสักการะต่างๆ ที่ชาวขอนแก่นและนักท่องเที่ยวนำมาสักการะขอพรครับ

ผมเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น โดยรถไฟขบวน 76 รถออกจากสถานีขอนแก่นในเวลา 09.30 น. และถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ในเวลา 16.45 น. โดยเลือกจองตั๋วรถดีเซลรางนั่งปรับอากาศ ชั้น 2 ในราคา 397 บาทเช่นเดิมครับ
ถือเป็นอันจบทริปเที่ยวขอนแก่นที่เกือบจะสมบูรณ์ เพราะผมเก็บสถานที่ท่องเที่ยวได้ครบตามที่วางแผนไว้ แต่ที่ยังไม่สมบูรณ์เพราะยังมีอีกหลายสถานที่ที่ผมยังไม่ได้ไปสัมผัส ต้องยอมรับเลยว่าเวลาเพียง 3 วันเต็มๆ ไม่สามารถเที่ยวขอนแก่นแบบเจาะลึกได้ครบทุกอำเภอ ยังมีอีกหลายสถานที่ที่น่าสนใจ ที่ผมคงจะต้องกลับมาเที่ยวที่ขอนแก่นซ้ำอีก (หลาย) ครั้ง ถึงแม้ทริปนี้ผมจะมีเวลาแค่ 3 วัน แต่ก็ทำให้ผมประทับใจในความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามอันทรงคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา ทั้งหมดทั้งมวลมันทำให้ผมมีความสุขตลอดการเดินทาง แถมยังได้รับประสบการณ์ดีๆ กลับไปด้วยครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13.08 น.