' สำหรับผมถ้าลมหายใจมีความสำคัญเป็นอันดับแรก
การเดินทางคงสำคัญรองลงมา
เพราะมันช่วยทำให้ลมหายใจมีความหมาย
และ สมบูรณ์มากขึ้น '



อุปกรณ์บันทึกภาพของทริปนี้ เน้นเล็กๆหยิบออกมาถ่ายได้ง่าย

ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลา08.00 น. – ด้วยรถยนต์ส่วนตัวกว่าจะรู้ว่ารถยนต์ของพี่ที่ไปด้วยว่างหรือเปล่าก็ต้องลุ้นกันจนวันสุดท้าย เพราะแผนตอนแรกคือไปรถโดยสารแต่อย่างน้อยก็ถือว่าสะดวกขึ้นกว่าเดิมเยอะ บรรยากาศตอนเช้าของกรุงเทพฯถือว่ายังไม่หนาว แต่บรรยากาศการสัญจรถือว่ายังคงเส้นคงวาเหมือนเดิมนั่นคือรถติด ผมวิ่งยาวออกจากมีนบุรีไปจนถึงปากเกร็ดหลังจากนั้นก็ดูตามแผนที่ได้เลยครับเนื่องด้วยผมอธิบายเส้นทางไม่เก่ง (แผนที่นี่คุณแฟนก็วาดมาให้ครับ)


ระหว่างทางก็เริ่มมีหมอกมาให้เห็นบ้างแล้ว ไม่น่าจะใช่นะ


ระหว่างทางไป อ.ทองผาภูมิก็เจอกับพระธุดงค์โบกมือขอน้ำพี่อ้นก็เลยวิ่งเอาน้ำไปให้ซึ่งเราเหลือขวดเดียว แต่เราแวะซื้อตรงไหนก็ได้และทั้งนี้พี่อ้นได้ถวายปัจจัยไปอีก70บาท


ระหว่างนั้นก็ขับรถไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนผมก็ถ่ายรูปผ่านด้านหน้ารถอย่างเดียวเพราะต้องรีบไปรับเพื่อนอีกคนซึ่งรออยู่ตลาดทองผาภูมิ แค่เห็นภูเขาข้างหน้าก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกแม้หนทางจะอีกยาวไกล


แวะรับเพื่อนที่ตลาดทองผาภูมิเสร็จก็มุ่งหน้าสู่ปิล๊อกอีก70 กิโลเมตร สมาชิกตอนนี้ก็ครบแล้ว4คนมีผม พี่โต้ง พี่อ้น นุ่ม ถนนไปปิล๊อกดีบ้างร้ายบ้างมีหลุมมีบ่อบ้างมีเหวเป็นช่วงๆบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับโหดมาก มีช่วงที่รถสวนกันลำบากนิดหน่อย แต่ถ้าไม่รีบร้อนก็ไปเรื่อยๆชมวิวสองข้างทางที่มีแต่ป่าไปเพลินๆ



' อาจจะเป็นเส้นทางเก่าของใครหลาย แต่สำหรับนักเดินทางหน้าใหม่มันคือประสบการณ์บวกความตื่นเต้น ซึ่งมันมีความหมายผสมกับความทรงจำ '



รู้สึกเหมือนใกล้จะถึงแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจเลยจอดรถโทรถามป้าตุ๋ย ได้ความว่าต้องขับเข้าไปอีก3กิโลถึงจะเจอหมู่บ้าน ขับเข้ามาอีกไม่ไกลผมก็เห็นหมู่บ้านเห็นที่จอดรถเราก็สบายใจไม่หลงแล้วเพราะหลงกันมาหลายรอบแล้วตั้งแต่ออกจากปากเกร็ด รวมแล้วเราใช้เวลาเดินทางทั้งหมด8ชั่วโมง(รวมถึงจอดแวะตามปั้มด้วย) ออก08.00ถึง16.00น. ระหว่างรถชะลอๆผมก็โทรหาป้าตุ๋ยอีกครั้งเพื่อถามห้องพักของเราว่าอยู่ตรงจุดไหนจะได้ขับรถไปจอดเพื่อขนสัมภาระลง ที่พักเราหาง่ายมาห้องสีเหลืองๆ ขวามือจะมีหญ้าเทียมปูอยู่ หลังจากเก็บของเรียบร้อยจะเรียกว่าโยนๆเอาก็ได้ ผมตรงไปห้องน้ำก่อนเลยเพราะกลัวว่าถ้าค่ำไปแล้วจะหนาวเดี๋ยวไม่อยากอาบแต่พอเข้าไปในห้องน้ำก็เจอเครื่องทำน้ำอุ่น ><"


ห้องพักที่ปิล๊อก การ์เดน ฮิว ราคาห้องละ1000บาท เรามาสี่คน คนละ500บาท ถ้าเทียบกับบรรยากาศแล้วสำหรับผมถือว่าเกินคุ้ม


หลังจากทุกคนล้างหน้าล้างตาพักเหนื่อยซักแปป พวกเราก็รีบออกมาตลาดเพื่อหาซื้อของปิ้งย่างที่ตลาดเพราะทางที่พักไม่มี ส่วนเครื่องดื่มเราสามารถซื้อจากที่พักได้เลย และราคาของที่นี่ก็ไม่ได้ว่าจะแพงเลยเหมือนจะราคาปกติด้วยซ้ำไม่มีชาจอะไรเลย ลูกชิ้นก็ราคาไม้ละ5-10บาทเราซื้อกันไปหลายไม้เลยทีเดียว พวกเราซื้อหมูราคากิโลละ150บาท น่องไก่และอกไก่รวมกันอีก1กิโลราคา150บาท ซึ่งเฉลี่ยๆกัน4คนแล้วก็ตกคนละไม่กี่บาทซึ่งถือว่าอิ่มมากแถมยังเหลือไว้กินในวันถัดไปได้อีก


พวกเราซื้อของเท่าที่หาได้มาหมักหมูและไก่ อย่างเช่นพวกกระเทียม พริกไทย รสดีแบบซอง และน้ำมันหอย หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างทำหน้าที่กันไป จนเตามาหนุ่มชาวพม่าก่อไฟให้เสร็จสรรพ รอถ่านแดงไม่มีควันก็ถึงเวลาสำคัญของการปิ้งย่าง


: ค่าเช่าเตา100บาท ค่าถ่าน10บาท อุปกรณ์ป้าตุ๋ยให้ยืมใช้ฟรี

สงสัยตามกลิ่นมา ทางที่พักบอกว่าห้ามให้อาหารมัน แต่เห็นเป็นแม่ลูกอ่อนพี่โต้งก็เลยต้องเดินไปไกลๆเพื่อให้มัน แต่สุดท้ายมันก็เดินกลับมา ผมว่ามันคงจะหิวมากขนาดผมถ่ายรูปจักจั่นอยู่มันยังมากินไปต่อหน้าต่อตา แต่พอสักพักเราไม่ให้มันมันก็หายไปเอง



คืนนี้อากาศหนาวและมีลมพัดแรงตลอดเวลาประหนึ่งว่านี่คือการต้อนรับที่ไม่ค่อยจะอบอุ่นเท่าไหร่ อากาศอยู่ที่19-20องศาสำหรับผมก็ถือว่าหนาวแล้ว กลางคืนเงียบสงบไม่ค่อยมีคนเดินไปเดินมา กลุ่มที่นั่งปิ้งย่างก็เห็นจะมีแต่กลุ่มเรา

เช้าวันต่อมาเราตื่นกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพื่อหาคนหารค่าเช่ารถโฟร์วีลไปเหมืองปิล๊อก ราคาเช่ารถพร้อมคนขับอยู่ที่1200 บาท(ไปเหมืองอย่างเดียว) ส่วน1500 บาทจะได้ไปที่เที่ยวอื่นๆได้ด้วย ในเมื่อเงินจำกันและหาเพื่อนร่วมทริปไม่ได้เราจึงตัดสินใจเช่ามอไซด์ครึ่งวันในราคา200บาทพร้อมน้ำมันอีกหนึ่งขวดในราคา35บาท ระหว่างรอมอไซด์ก็เดินถ่ายรูปบริเวณที่พัก และขึ้นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อสะด่องแล้วลงมาเดินตลาดพึ่งสังเกตว่าคนเริ่มมาเยอะขึ้นอาจจะเป็นเพราะช่วงหยุดยาว3วัน (3-5 ธ.ค.)


ศาลเจ้าพ่อสะด่อง


มองจากตรงนี้ลงไปก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก


ที่พักของเราเมื่อคืนถ่ายจากบริเวณศาลเจ้าพ่อสะด่อง


ผมติดต่อเช่ามอไซด์จากป้าเสื้อสีดำคนนี้แกจะขายพวกแกงและของตักบาตร ส่วนมอไซด์น่าจะอีกพักใหญ่เราจึงไปทานอาหารกันที่ที่พักก่อนและเดินถ่ายรูปกันต่อเพราะยังมีเวลากันอีกเยอะ


เจดีย์วัดเหมืองปิล๊อก


ลานสัมผัสอากาศเย็น : ตรงนี้สามารถกางเต้นท์ได้นะคนไม่เยอะด้วยแต่ลมอาจจะแรงหน่อย


อยากมีไว้เดินทางซักคัน


สงสัยมาตามหาเพื่อนที่โดนกินไปเมื่อวาน


เกือบสิบโมงเช้าเราได้รถมาแล้ว ก็เดินทางกันต่อ มอไซด์ไปไหนได้ก็ไปแค่นั้น ขับออกจากหมู่บ้านไม่ไกลก็เจอป้ายเนินช้างศึกอยู่ขวามือ ขับเข้ามา1.5กิโลเมตรก็ถึง ลมตรงบริเวณนี้แรงมากอากาศเย็นสบายมีนักท่องเที่ยวมามาตลอด มีจุดขายเครื่องดื่มเล็กๆอยู่ด้วย(แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา)


วีรกรรมของท่านที่สำคัญยิ่งกล่าวคือ หลังจากเฮลิคอปเตอร์(Huey) ได้ประสบอุบัติเหตุตกลงบริเวณช่องทางต้นน้ำเพรช อ.แก่งกระจาน จ.เพรชบุรี เมื่อวันที่16กรกฎาคม พ.ศ.2554 ขณะที่เดินทางไปรับชุดลาดตระเวนของ หน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือที่เจ็บป่วยจากการลาดตระเวน ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานและผู้โดยสารรวม 5 นายเสียชีวิต กองกำลังสรุสีห์จึงได้จัดตั้งกองบัญชาการส่วนหน้า ณ กองร้อยรบพิเศษแก่งกระจานเพื่อปฏิบัติการค้นหาช่วยเหลือและกู้ภัยแต่ด้วยภูมิประเทศที่เป็นป่าภูเขา และสภาพอากาศที่เลวร้ายจึงทำให้การค้นหาเป็นไปด้วยความยากลำบาก พลตรีตะวัน เรืองศรี ผู้บัญชาการกองกำลังสุรสีห์ในขณะนั้น จึงได้ตกลงใจที่จะอำนวยการค้นหาช่วยเหลือและกู้ภัยด้วยตนเอง โดยในวันที่19 กรกฎาคม พ.ศ.2554 พลตรีตะวัน พร้อมด้วยชุดปฏิบิติการได้เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ (Blackhawk) เพื่อไปปฏิบติภารกิจ และเมื่อเวลา11.55น. เฮลิคอปเตอร์ได้ประสบอุบัติเหตุทำให้เจ้าหน้าที่ประจำอากาศยานพร้อมผู้โดยสารจำนวน 9 นายเสียชีวิต ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่และนำความเสียใจมาสู้ครอบครัว ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างยิ่ง


ลงจากเนินช้างศึกก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป คือน้ำตกจ๊อกกระดิ่น น้ำตกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของทางอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เป็นน้ำตกชั้นเดียวผ่านหน้าผาสูงชันกว่า30เมตร ขับไปอีกไม่ไกลจำไม่ได้ว่ากี่กิโล แต่มันแปปเดียวมาก รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนเล่นน้ำ ช่วงเช้าๆคนยังไม่ค่อยเยอะเห็นมีคนลงไปเล่นน้ำคนสองคน น้ำคงจะเย็นน่าดู ผมนั่งมองน้ำใสๆ อยู่สักพักก็เตรียมไปช่องเขาขาดต่อ


ตีรถจากน้ำตกจ๊อกกระดิ่นไปช่องเขาขาด แต่ระหว่างทางเหมือนจะขาดอะไรไปอย่างเลยแวะเติม เมนูที่ลิ้มลองคือฮังเลหมู ร้านอยู่ติด สภ.ปิล๊อก หลังจากที่ทานไปสิ่งแรกที่นึกถึงคือแกงมัสมั่นของไทย แต่ฮังเลจะมีความเผ็ดมากกว่าผมจึงกินกับแตงกว่าคู่ไปด้วยเพื่อดับเผ็ด ผมยอมรับเลยว่าฮังเลนี่อร่อยมากๆถ้าไม่ติดว่าอิ่มแล้วจะสั่งฮังเลไก่มากกินอีกจาน



ฮังเล : อาหารพื้นเมืองของชาวพม่า มักใส่หมูสามชั้นหั่นเป็นชิ้นโตๆ ปรุงด้วยเครื่องแกงเข้ากับผงกะหรี่น้ำแกงข้นและมันมาก.

หนังท้องตึงหนังตายังไม่หย่อนก็ลุยกันต่อขออภัยหากไม่ได้อธิบายเส้นทาง เพราะผมก็ไม่ค่อยรู้ ส่วนมากก็ขับตามป้ายไปเรื่อยๆ หลงก็ถาม ไปไม่ถูกก็ถาม



จุดประสานสัมพันธ์ไมตรี นิจนิรันดร์ ไทย-เมียนมาร์

ขับรถมาอีกนิดจากจุดประสานสัมพันธ์ไมตรี นิจนิรันดร์ ไทย-เมียนมาร์ ก็ถึงจุดชมทิวทัศน์เขาขาดซึ่งมีกระแสลมพัดตลอดเวลา อากาศบริสุทธิ์และเย็นสบาย เมื่อเราอยู่บนจุดนี้เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ในประเทศพม่าได้


ทางไปพม่า


เมื่อสัมผัสกับบรรยากาศกันพอหอมปากหอมคอเราก็ขับเรถเอามอไซด์ลงมาคืนกับป้า และเห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือก่อนไปอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เลยแวะเข้าเหมืองปิล๊อกสักหน่อยเดี๋ยวจะมาไม่ถึง ตอนแรกผมก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าตรงนี้เรายังไม่ได้เข้ามา


อากาศเริ่มร้อนก่อนออกจากปิล๊อกเราเลยหากาแฟเย็นดื่มแก้ร้อนกันหน่อยที่ร้าน ช้างแก่ คลาสสิคโฮม ดื่มกาแฟดื่มบรรยากาศ คุณน้าที่มาเสริฟเราบอกว่าน้ำแข็งที่นี่ทำเองอยู่ได้นาน ผมเลยหยิบแก้วไปด้วยเอาไว้เติมน้ำเปล่ากินระหว่างทาง


ในที่สุดก็ต้องโบกมือลาปิล๊อกหมู่บ้านที่มีมนเสนห์ หมู่บ้านที่มีความอบอุ่นเป็นกันเองของผู้คน มีบ้านที่มีรอยยิ้มไม่ว่าจากนักท่องเที่ยวเองหรือคนในหมู่บ้านเอง หมู่บ้านที่ผมรู้สึกว่าผมจะไม่มาครั้งเดียว แม้ทุกอย่างที่นี่จะดูช้าๆไม่เร่งรีบ ช้าไปตามกาลเวลา แต่เวลาของผมกับที่นี่ช่างเร็วเหลือเกิน แม้จะต้องจากกันแต่สิ่งที่ผมจะได้กลับไปก็คือความทรงจำ พวกเราเก็บของขึ้นรถเพื่อเตรียมเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิต่อ ระหว่างที่รถออกผมไม่ได้หันหลังกลับไปมองเพราะผมมีแผนว่าครั้งหน้าจะมาอีก ผมอยากไปพักบ้านป้าเกล็น



ตัดภาพมาที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิก็แทบตกใจเพราะคนเยอะมาก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมมาอุทยานและคนเยอะอย่างนี้เพราะผมไม่ค่อยได้มาเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว เอาของลงจากรถเสร็จก็ต้องรีบขับออกไปเพราะด้านบนไม่มีที่จอด ผมพี่อ้นและนุ่มพวกเรารีบหาที่กางเต้นท์เพราะคนกำลังมาเรื่อยๆและก็เป็นโชคดีของเราที่ได้ที่มุมดีไม่มีลมแม้อาจจะไม่เห็นวิวแต่ก็เหมาะกับการทำอาหาร พอพี่โต้งมาผมก็เดินไปถามเตากับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอ อาจจะนานหน่อยเราไม่ปล่อยเวลาเสียไปเฉยๆ เลยออกไปหาซื้อพวกขนมนมเนยเตรียมไว้กินช่วงหัวค่ำ เดินไปที่ร้านค้าสวัสดิการปรากฏว่าล็อคกุญแจอยู่พวกเราเลยเดินไปด้านหน้าทางเข้าอุทยานเพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ คุณน้าเจ้าหน้าที่ให้เราบอกทางร้านอาหารที่อยู่ติดร้านค้าสวัสดิการได้เลยเพราะครัวยุ่งมีกัน2คนถ้าจะเอาอะไรเขาจะมาเปิดกุญแจให้เรา เราเดินกลับมาซื้อของกินและกลับขึ้นไปเพื่อถามหาเตาจากเจ้าหน้าที่ ค่าเตา100บาท “ แล้วถ่านกับตะแกงย่างไม่มีหรอครับ " “ อ้าวเอาด้วยหรอนั้นรอหน่อยนะเดี๋ยวเอามาให้" แต่ด้วยความที่เริ่มมืดผมกับพี่โต้งจึงขอถ่านจากคุณอารุ่นเก๋าที่มากางเต้นท์อยู่บริเวณนั้นและใช้ก้านไม้ไผ่แทนตะแกรง คุณอายังบอกอีกว่าถ้าถ่านหมดมาเอาอีกได้ ขอบคุณคุณอามากนะครับ สุดท้ายเราก็มาขอถ่านคุณอาไปสองรอบ

อุณหภูมิตอนที่มาถึง


น้องนกเหงือกบริเวณอุทยานเชื่องคนมาก กระโดดไปมาอยู่ตัวเดียวคงจะเหงาแย่


บริเวณนี้จะมีคนมากางเต้นท์กันเยอะเป็นพิเศษเพราะอยู่ติดวิวซึ่งมองเห็นเขื่อนวชิราลงณ์และมีลมพัดโอบกอดตลอดเวลากอดแรงซะด้วย


ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะสวมวิญญาณของคุณกัญกับฉากปิ้งไก่ในตำนาน


ไก่กับหมูที่เหลือจากวันแรก เตาเล็กถ่านน้อยอาจจะรอนานหน่อยแต่รับรองว่าอร่อยแน่ รอไก่ผิงไฟอุ่นๆ มองไปเต้นท์รอบข้างที่มีแก๊สกระป๋องทำกับข้าวกินกันกลิ่นหอมเย้ายวนเหลือเกินหันกลับมามองที่เต้นท์ตัวเองกลิ่นไก่กลิ่นหมูย่างเราก็หอมไม่แพ้กันเว้ย..ถ้ามีข้าวสวยร้อนๆคงจะดี


อยู่กับป่าอยู่กับธรรมชาติอยู่กับชีวิต อีกห้าปีผมกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดอาจจะได้ย่างไก่กินแบบนี้บ่อยๆผมคงมีความสุขและคงไม่ต้องการอะไรแล้ว ผมแค่อยากอยู่กับธรรมชาติและใช้ชีวิตไปจนครบวาระของมนุษย์ ไม่ต้องดิ้นรนเพิ่มไม่ต้องทำลายอะไรเพิ่ม 'อยู่เท่าที่ธรรมชาติมีมาให้ มีเวลาว่างก็คืนให้เขา..'

ไม่มีแสงไฟใดนอกจากเทียนสองเล่ม นั่งอังไฟพูดคุยกันไป หมายถึงคนอื่นนะส่วนผมแบตหมดเลยนอนแต่หัววัน


หลังจากที่นอนไปได้ซักพักอากาศก็เหมือนเริ่มจะหนาวขึ้นผมนอนขดตัวไม่ต่างอะไรจากกุ้ง โดยมีผ้าเช็ดตัวปูพื้น(ผ้าเช็คตัวก็ยืมเพื่อนมา)เพราะดันลืมถุงนอนโชคดีที่ดินไม่แข็งมากเลยทำให้ไม่ปวดหลัง ผมหยิบถุงเท้ามาใส่เพราะไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังไม่อยู่เพราะผมรู้สึกหนาวมาก เลยหยิบกางเกงขายาวมาใส่อีกชั้น โดยมีเสื้อยืดและเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่ก่อนแล้วช่วยประคับประคองให้ผ่านคืนนี้ไปและนอนหลับๆตื่นๆจนถึงเช้า แม้ความหนาวจะทำให้อยากผ่านคืนนี้ไปเร็วๆ แต่ความสุขคงอยากให้ผ่านไปอย่างช้าๆ



ผมเดินชมวิวและเก็บบรรยากาศของตอนเช้ากล้องแบตหมดไปหนึ่งตัว อีกตัวก็กำลังจะหมดแต่ผมไม่ได้กังวล อะไรที่บันทึกภาพได้ผมถือว่าใช้ได้หมด

เดินเล่นชมวิวกันจนพอใจก็ถึงเวลาเก็บเต้นท์ เพื่อไปเขื่อนวชิราลงกรณ์ต่อ

แวะเขื่อนแบบมาเร็วไปเร็ว หลังจากนี้ก็เตรียมไปหาอะไรกินกันที่ตลาดทองผาภูมิก่อนกลับ เราแวะร้านอร่อยทั้งสองร้านที่มีคนกระซิบมาบอก ร้านแรก(ซ้าย)ผมสั่งเส้นเล็กปลาจะมีน้ำจิ้มปลามาให้ด้วยซู๊ดเส้นไปซดน้ำใสร้อนๆไปคีบปลาจิ้มน้ำจิ้มไปกินไปซักพักก็หายไปทั้งชาม ส่วนร้านขวาราคาเพียงแค่ยี่สิบแต่รสชาติระดับห้าดาว ผมสั่งบะหมี่น้ำตกหมู ที่ไม่ได้มีแค่หมู มีทั้งกากหมู ตับ ลูกชิ้นมาหมด ใครชอบร้านไหนก็ตามสะดวกเลยครับ

' อิ่มท้องแล้วก็เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ เราต้องจากกาญญญเพียงเท่านี้ ขอบคุณผู้ร่วมทริปในครั้งนี้ด้วย พี่โต้ง พี่อ้น เพื่อนนุ่ม '


ผิดพลาดตรงไหนขออภัยไว้ ณ ทีนี้ด้วยนะครับผู้อ่าน(ที่ไม่ผ่านแค่ตา)



คลิปประกอบครับ


ความคิดเห็น