ในตำนานของวัดภูนั้น มีผู้เล่าเอาไว้ว่า ปราสาทแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรฟูนัน หรืออาณาจักรพนมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขอมโบราณ ซึ่งปราสาทวัดภูนั้นสร้างขึ้นโดย “พระเจ้าทรวรมัน” ผู้ครองนครสะมะพู ในแคว้นจำปา ซึ่งได้สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นมาเมื่อสมัยพุทธศตวรรษที่ 8 หรือประมาณ พ.ศ.933 –พ.ศ.943 ซึ่งในยามนั้น ได้มีบันทึกเรื่องราวของอาณาจักเหล่านี้ไว้ในบันทึกของม้าต้วนหลินว่า
แต่ถ้าหากว่าไม่หยิบเอาเรื่องเล่าอันเป็นตำนานขึ้นมากล่าวถึงกันและพูดถึงเรื่องราวตามประชุมพงศาวดารของไทยเรานั้น ได้มีการกล่าวถึงนครจำปาสักเอาไว้ว่า หลังจากที่เมืองแห่งนี้ร้างเรื้อไปนานนับเป็นพันปี นครแห่งนี้ จึงมีพวกจามเข้ามาปกครอง และสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ให้ชื่อว่า “จำปานคร” โดยมีเจ้าเมืองแต่เดิมเรียกกันว่า “ท้าวคัดทะนาน”ซึ่งสืบทอดเชื้อสายลูกหลานมาจนถึงสมัยของพระยากามะทา
ครั้นเมื่อพระยากามะทาสิ้นพระชนม์แล้ว มีเจ้าเขมรองค์หนึ่งยกพลมายึดเอาเมืองจำปานคร แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมือง “กาฬจำปากนาคบุรี” เจ้าเขมรองค์นี้ปกครองเมืองสืบต่อมาจนถึงเจ้าสุทัศนราชาที่บังเอิญว่าเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วไม่มีราชโอรสสืบสันติวงศ์ต่อ เมืองกาฬจำปากนาคบุรี จึงขาดเจ้าเมืองอยู่นานถึง 10 ปีนับ
จนกระทั่งถึง พ.ศ.2181 ชาวเมืองจึงได้เชิญให้ชายผู้หนึ่งขึ้นเป็นเจ้าเมืองครองราชย์ แต่เมื่อชายผู้นั้นตายแล้ว ก็ไม่มีลูกชาย เพราะได้ถูกสาปเอาไว้แต่ครั้งโบราณ ดังนั้นจึงมีแต่ลูกสาวชื่อนางเพาที่ขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองปกครองต่อจากบิดา
ในเวลานั้น เจ้าปางคำ อยู่ที่นครเวียงจันทน์ มีตำแหน่งในยามนั้นเป็นนายกองช้าง ออกไปเลี้ยงช้าง และแอบฝึกช้างอยู่ที่หนองบัวลำภูได้พาไพร่พลของตนลงไปเที่ยวคล้องช้างถึงจำปาสัก เกิดไปชอบ ไปรักกับนางเพาเข้า จนกระทั่งมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อว่านางแพง หลังจากนั้นเจ้าปางคำจึงได้กลับไปยังเวียงจันทน์ ต่อมาเมื่อมารดาตาย นางแพงจึงได้ขึ้นปกครองบ้านเมืองสืบต่อ
ในขณะเดียวกันที่เมืองเวียงจันทน์นั้น สมเด็จพระสุริยวงศา เจ้านครเวียงจันทน์สวรรคต พระยาเมืองจัน ผู้เป็นเสนาบดีได้ชิงราชสมบัติและจะรับเอานางสุมังคลาขึ้นมาเป็นชายา หากแต่ว่านางซึ่งตกเป็นหม้าย และมีครรภ์แก่ ไม่ยอม จึงได้นำเอาโอรสองค์ใหญ่คือเจ้าองค์หล่อหนีไปพึ่งญาติโยมของพระครูยอดแก้วที่วัดโพนสะเม็ก
พระยาเมืองจันติดตามไปรังควานจะฆ่าพระครูให้ได้ ท่านจึงได้พาผู้คนอพยพหนีตายไปจากเมืองเวียงจันทน์ โดยเอานางสุมังคลากับลูกชายไปซ่อนเอาไว้ที่ภูสะง้อแขวงเมืองบริคัน นางจึงได้ประสูติโอรสอีกองค์ที่นั่น ให้ชื่อว่า เจ้าหน่อกษัตริย์
พระครูยอดแก้วอพยพผู้คนตั้งบ้านเมืองไปตามรายทาง จนกระทั่งมาถึงดอนโขง และนครจำปาสักของนางแพง ด้วยความศรัทธาที่มีต่อพระสงฆ์องค์นี้ นางแพงจึงมอบบ้านเมืองให้ปกครองว่ากล่าวสั่งสอนประชาชน ผู้คนให้ความนับถือกันเป็นจำนวนมาก
ต่อมาพระครูยอดแก้วเห็นว่า ตนเองเป็นพระ ในขณะที่กิจธุระบางอย่างไม่เหมาะที่จะให้สงฆ์ปฏิบัติ ไม่สามารถที่จะดำเนินการได้ จึงให้คนไปเชิญนางสุมังคลากับเจ้าหน่อกษัตริย์มาปกครองเมืองจำปาสักแทน
เจ้าหน่อกษัตริย์เมื่อขึ้นครองราชย์เมืองจำปากสักแล้วจึงได้มีพระนามใหม่ว่า “ พระเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร” และได้แบ่งเขตแดนออกจากเมืองเวียงจันทน์ฟากฝั่งแม่โขงทางฝั่งขวา นับตั้งแต่เมืองมุกดาหารลงไปทางด้านตะวันตก เอาเขตเมืองสุวรรณภูมิ ทุ่งกุลาร้องไห้ และสายแม่น้ำยัง ซึ่งไหลตั้งแต่ดงหมากอีใต้เมืองนครพนมไปยังแม่น้ำชี เหนือเมืองยโสธรเป็นเขตแดน และแคว้นจำปาสัก ก็ได้กลายเป็นประเทศเอกราชที่ไม่ขึ้นกับเวียงจันทน์นับแต่นั้นมา
มีเรื่องเล่าที่กล่าวกันว่า สาเหตุที่เมืองจำปาสักได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองกาฬจำปากนาคบุรีนั้น ก็เนื่องจากชาวเมืองเชื่อกันว่า “หลี่ผี” ที่อยู่ห่างลงไปทางใต้ของเมืองนี้ ก็คือสถานที่เป็นปากทางสู่เมืองบาดาลนาค หากแต่เมื่อมาถึงสมัยเจ้าสุทัศนราชา ชาวเมืองจำปาสักได้ลบหลู่ดูหมิ่นพญานาค และเมืองเก่าจำปาสัก หรือปราสาทวัดภู ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาร้าง จนกระทั่งทำให้เมืองนี้ถูกสาปว่าจะสิ้นไร้สันติวงศ์ ไม่มีผู้ชายครองเมืองจนกว่าที่จะมีหน่อเนื้อกษัตริย์มาเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่
ต่อมาเมื่อสมัยเจ้าไชยกุมาร พระโอรสของพระเจ้าสร้อยศรีสมุทรขึ้นครองราชย์นั้น กองทัพไทยได้ยกกองทัพไปตีเอาเมืองเวียงจันทน์กับหลวงพระบางได้ และผ่านไปทางเมืองจำปาสัก เจ้าไชยกุมารก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อเมื่อสยาม สามแผ่นดินของลาวจึงได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของไทยนับแต่นั้นมา
มาว่ากันถึงปราสาทวัดภู ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปจากเมืองปากเซทางใต้ และอยู่ใกล้กับเมืองจำปาสักบริเวณวัดบ้านทุ่งซึ่งเป็นประตูไปสู่เมืองเก่าปราสาทวัดภูที่ผู้คนยังเชื่อกันว่ายังมีคำสาปอยู่เช่นเดิม ซึ่งการเดินทางสู่ปราสาทวัดภูอย่างสะดวกสบายนั้น คงต้องใช้บริการด้านเรือโดยสารซึ่งจะออกจากเมืองปากเซทุกเช้าล่องลงสู่ทางใต้ ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็จะถึงจำปาสัก เพราะถ้าหากเดินทางด้วยรถยนต์นั้น ต้องบอกกันก่อนว่า เส้นทางนั้นจะทำให้ท่านสะบักสบอมกันพอสมควร
ปราสาทวัดภูจะอยู่ห่างออกมาจากเมืองจำปาสักประมาณ 9 กิโลเมตร ซากปราสาทราชวังเก่าเหล่านี้ยังคงถูกรักษาดูแลไว้เป็นอย่างดี และประเพณีบวงสรวงบูชาวิญญาณของบรรพบุรุษตามที่เคยปฏิบัติมาทุกวันนี้ก็ยังมีโดยงานดังกล่าวนี้จะจัดขึ้นมาในคืนวันเพ็ญเดือนสามเฉกเช่นอดีตสู่ปัจจุบัน
ทุกวันนี้ แม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนับนานเป็นพันๆปี หากแต่ที่ปราสาทวัดภูซึ่งอยู่ห่างไกลจากความเจริญมากมายแห่งนี้ก็ยังมีผู้ที่เดินทางมาแสวงบุญจนถึงที่นี่มากมายในแต่ละวัน ซึ่งเราจะได้เห็นการสักการะบูชาจากพวงมาลัยและดอกไม้ที่พวกเขาได้นำมาโปรยถวายบูชาเพื่อสักการะตามจุดต่างที่พวกเขาเชื่อกันว่า มีเทพยดาและสิ่งศักดิสิทธิ์สถิตอยู่
แม้ว่าสงครามการต่อสู้ในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ผ่านมาจะหนักหน่วงรุนแรงมากในแผ่นดินลาว แต่เราจะเชื่อหรือไม่ว่า การสู้รบที่ผ่านมาในครั้งนั้น ไม่มีใครกล้าที่จะเวียนผ่านไป หรือเฉียดเข้าไปใกล้ปราสาทวัดภู หรือใช้ปราสาทวัดภูเป็นชัยภูมิในการต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งนี้เพราะเหตุใด ก็คงจะไม่ต้องมีการอธิบายให้มากความ เพราะตามความเชื่อของพวกเขานั้น ปราสาทโบราณแห่งนี้ คือสถานที่มีเอาไว้เพื่อทำพิธีฆ่าคนบูชายัญ เพราะฉะนั้น ก็คงจะไม่มีใครกล้าเอาตัวและชีวิตเข้าไปเสี่ยงถวายให้เป็นเครื่องบูชายัญอย่างแน่นอน......
ขอขอบคุณ
- บริษัท อินฟินิตี้ พลัสเทรดดิ้ง จำกัด
- FOTOPRO THAILAND สนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพ
อาร์ม อิสระ
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.02 น.