สะบายดีเด้อออ ( •⌄• ू )✧

ตลอดเดือนธันวาปีที่แล้ว เพื่อนๆ คงจะเห็นหลายๆ คนเช็คอินไปเที่ยวฉลองปีใหม่กันเต็มไปหมด
ขึ้นเหนือบ้าง ลงใต้บ้าง หรือไปต่างประเทศบ้าง เห็นแล้วก็อิจฉาตาร้อน อยากจะเก็บกระเป๋าแล้วตามไปเดี๋ยวนั้นเลย
เราก็เลยวางแผนไปเที่ยวช่วงปีใหม่บ้าง... กระทู้นี้ดีเลย์ไปนิดนึงเนอะ 5555

จุดมุ่งหมายของเราในครั้งนี้ก็คือการไปเคาท์ดาวน์ที่ ประเทศลาว นั่นเองจ้าา
ด้วยเส้นทางอันคุ้นเคยที่คนค่อนข้างไปกันเยอะแล้ว (แต่เราเพิ่งเคยไปนี่นา..)
ก็คือ เวียงจันทน์ - หลวงพระบาง - วังเวียง ค่ะ

________________



ทริปลาวในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการไปแบคแพคต่างประเทศ (เพื่อนบ้าน) ครั้งแรกของเรากับเพื่อนๆ

และเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับประสบการณ์ตื่นเต้น ตะเตือนใต แถมยังซวยซ้ำซ้อนอีก

เป็นที่มาของชื่อกระทู้ยังไงล่ะะะ ㅠㅠ



ซึ่งกระทู้นี้จะไม่ได้มีแค่รูปรีวิวสถานที่ แต่จะมีวิธีการเดินทาง

ข้อแนะนำรวมถึงข้อควรระวังต่างๆ ในการไปลาวให้ด้วย

ถ้าผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะค้าา



กล้องที่เราพาไปด้วยในทริปนี้คือ Fujifilm X-E2

มีจากกล้องเพื่อนด้วยยย Canon 760D

ส่วนตอนหลังๆ ใช้ iphone 6s ถ่ายค่าา



________________



ติดตามกระทู้เก่าๆ ภาพเพิ่มเติมหรือพูดคุยกันได้ที่นี่เลยยย (・◡・)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

☆ TAKE ME TO JAPAN シ : http://pantip.com/topic/33580671

☆ SEA YOU SOON, SATTAHIP : http://pantip.com/topic/33682852

〰 Backpack ไป ด้วย กาญฯ ในวันฝนตก ◡̈ : http://pantip.com/topic/33823646



FB: http://www.facebook.com/plaintography

IG: @bebeebies




ก่อนออกเดินทาง

จขกท. เดินทางวันที่ 27 ธ.ค. 58 - 1 ม.ค. 59 ค่ะ
กะเวลาเดินทางดีๆ แล้วจองตั๋วได้เลยย

การจองรถโดยสาร/ขนส่ง
ขาไป เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟ ขั้นแรกที่ต้องทำคือจองตั๋วล่วงหน้าค่าา
เนื่องจากช่วงปีใหม่คนจะไปเที่ยวหรือกลับบ้านเยอะมากๆ โอกาสที่รถไฟจะเต็มจึงค่อนข้างมาก
ให้ดูรายละเอียดขบวนรถ (ว่าเป็นรถฟรี, รถพัดลม, รถแอร์ เบาะนั่งหรือเบาะนอน)
ดูต้นทาง-ปลายทาง วันที่จะเดินทาง ในเว็บการรถไฟ ( http://www.railway.co.th/)
แล้วโทรไปจองที่เบอร์ 1690 ได้เลยยย

* ส่วนจขกท.และเพื่อนๆเดินทางด้วยรถไฟกรุงเทพฯ - หนองคาย ขบวนที่ 77
ออกตอน 18.35 ถึงตอน 04.15 น. เป็นรถนั่งแอร์ค่าา *

ขากลับ เราจะกลับด้วยรถ บขส กัน เนื่องจากรถไฟเต็มค่ะ 555555
เข้าไปที่เว็บของ บขส ( http://www.busticket.in.th) สมัครไอดีให้เรียบร้อย
เลือกต้นทาง-ปลายทาง กดจองที่นั่งได้เหมือนบัตรคอนเสิร์ตเลยยย
พอจองเสร็จปึ้บจะมีโค้ด ให้เราไปชำระเงินที่ 7-11 รับตั๋วอีกทีวันเดินทางเลย
เอาโค้ดในเว็บไปยื่นด้วยน้า จะแคปจอหรือพิมพ์ไปก็ได้

การจองที่พัก
สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือการจองโรงแรมนั่นเองง
ถึงลาวจะมี guesthouse เยอะมาก แต่การไป walk in ช่วงปีใหม่นี่คงเสี่ยงไม่น้อย
เราเลยจองผ่าน agoda ก่อนประมาณ 2 สัปดาห์ค่ะ

* ที่สำคัญคือ โทรเช็คกับทางโรงแรมเพื่อยืนยันการจองของเรา
แล้วก็อย่าลืมปริ๊นท์ใบจองออกไปยื่นตอนเข้าเช็คอินด้วยน้าา 😃 *

Passport or Border Pass ?
ถ้าเราจะเดินทางผ่านจุดผ่านแดนลาว เราสามารถไปได้ 2 วิธีค่ะ
วิธีแรกคือใช้หนังสือผ่านแดน (Border Pass) หรือที่เรียกกันว่าบัตรผ่านแดน
สามารถทำบัตรได้ที่ศาลากลางจังหวัดหนองคาย เราจะอยู่ในลาวได้แค่ 3 วัน 2 คืน
แล้วก็เที่ยวได้ไม่เกินแขวงที่เราข้ามด่านมาค่ะ
วิธีที่สองก็คือใช้หนังสือเดินทาง (Passport) เราจะอยู่ในลาวได้ไม่เกิน 30 วัน
แล้วก็เที่ยวนอกเหนือจากแขวงที่เราข้ามด่านมาได้ค่าา ซึ่งอันนี้สะดวกกว่าเนอะ

แลกเงิน
เรทเงินตอนที่เราไปอยู่ประมาณ 1 บาทแลกได้ 225 กีบค่ะ
คิดง่ายสุดคือเอาค่าเงินกีบ ตัด 0 ออก 3 ตัวแล้วคูณ 4
อย่างเช่น 20,000 กีบ จะได้ 20x4 = 80 บาทนั่นเองจ้าา
ข้อควรระวังคือออ พยายามแลกเงินกีบไปเถอะค่ะ ถ้าไม่จำเป็น
อย่าใช้เงินไทยเลย โดนปัดขึ้นระนาววว

เตรียมตัวพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยจ้าาา 😃


DAY 1
BKK - Nong Khai


เรามาถึงหัวลำโพงตอนประมาณ 5 โมงกว่าๆ
เช็คสัมภาระกับตั๋วรถไฟเสร็จเรียบร้อยก็ไปกินข้าวรอ
ประมาณหกโมงครึ่ง มาถึงสถานีคนก็เริ่มทยอยมาขึ้นรถไฟกัน

สำหรับรถไฟตู้นั่งแอร์ก็จะหน้าตาแบบนี้ค่าาา
ตอนเราจองรถไฟ ที่นั่งมันจะเต็มแล้ว ทำให้ต้องนั่งแยกกับเพื่อนหมดเลย

สักพักจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว แล้วก็แจกผ้าห่มให้ค่ะ


แต่เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วยก็ดีนะ เพราะเขาเปิดแอร์เย็นมากจริงๆ



ชั่วโมงแรก


ด้วยความตื่นเต้นทำให้เรายังคึกครื้นกันอยู่

นั่งฟังเพลงบ้าง ดูบรรยากาศรอบๆ บ้าง ที่นั่งหลายๆ ที่ยังคงว่าง

แอร์เย็นๆ ทำให้อยากหลับละเกินน...



พอถึงบางสถานี ก็จะมีคนจากโบกี้เราลงไป

ทำให้เหลือที่ว่าง เจ้าหน้าที่เลยให้คนที่ยืนอยู่ตู้ฟรีมานั่งแทน (แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มนะ)

ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าต้องยืนตั้งแต่หัวลำโพงถึงหนองคายจะเมื่อยแค่ไหน

เลยมีพี่ที่มาจากอีกตู้มาร่วมแจมด้วย





สำหรับเพื่อนๆ ที่กลัวหิวหรือคอแห้ง ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องทนหิว

เพราะตลอดสิบกว่าชั่วโมงบนรถไฟนี้ จะมีอาหารมาขายเรื่อยๆ

ตั้งแต่ข้าวกล่องยันลูกชิ้นปิ้ง แถมน้ำเปล่า น้ำอัดลมหรือโออิชิอีก



เพื่อนเราเล่าว่า

ช่วงตี 1-2 มีคนมาขายไก่ย่างแบบฮาร์ดเซลและเสียงดังมากกก

ถ้าพี่แกเห็นคนไหนตื่น หรือแอบหันไปสบตากับแกพอดี

แกจะเดินตรงดิ่งมาหา แล้วมองแกมบังคับว่าเราจะต้องพ่ายแพ้

แต่ตอนนั้นเราหลับไม่รู้เรื่อง 5555555



...



04.30 น.



ตอนแรกเรานึกว่ารถไฟจะเลทมาก

พอเอาเข้าจริงๆ ก็ (เกือบ) ตรงเวลาเหมือนกันนะ

มาถึงแล้วจ้าาา สถานีหนองคายยยยย



หลังออกมาจากสถานีหนองคาย ก็จะเจอตุ๊กตุ๊กจอดรอเต็มไปหมด


เราไม่รอช้า โบกเลยย คนละ 30 บาท แต่พอนั่งรถมาถึงด่านเท่านั้นแหละ..

เย้ยยย ใกล้แค่นี้เองอะ รู้งี้เดินมาดีกว่า



ตรงด่านจะมีเซเว่นอยู่ เป็นเซเว่นเดียวและเซเว่นสุดท้ายก่อนข้ามแดนไป


ใครขาดเหลืออะไรก็รีบวิ่งเข้าไปซื้อเลยค่ะ

ส่วนเราก็นั่งกินเบอร์เกอร์รองท้องซะหน่อย 55555



ใครอยากพกเสบียงไปเพิ่มก็แวะซื้อมาม่ากันได้นะคะ เพราะฝั่งนู้นมาม่าจะแพงมากกก



ประเด็นก็คื้อออ ตอนนั้นเพิ่งเกือบตีห้า แต่ด่านเปิดหกโมง...


บริเวณหน้าด่านเลยมีมวลมหาประชาชนนั่งรอกันเต็มไปหมด

เราก็ได้แต่นั่งคุยรอเวลาด่านเปิดต่อไป




ข้ามแดน

ใกล้ๆ เวลาเราก็เดินไปอยู่หน้าตรงที่เขากั้นไว้
พอด่านเปิดเท่านั้นแหละ โอ้โห!
นี่จะข้ามแดนหรือวิ่งหนีซอมบี้ใน walking dead 5555555555
วิ่งกันน่ากลัวมากกก

เราก็เดินชิลของเราไป เตรียมพาสปอร์ตให้พร้อม
พอถึงตรงด่านปึ้บ เค้าจะมีใบตม.6 แจกให้ ก็กรอกข้อมูลให้เรียบร้อยค่ะ

*มีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า สำหรับคนไหนที่ไม่อยากรอ


ว่าจะมีแถวพิเศษที่จ่ายเงิน 20 บาทแล้วแสตมป์ผ่านได้เลย

ส่วนเราไม่รีบค่ะ ก็ต่อแถวธรรมดาไป

ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ด่านด้วย เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใสดี



...



พอผ่านตม. มาแล้ว ก็จะมีที่ขายตั๋วรถเมล์เพื่อข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว

ราคาคนละ 20 บาทค่ะ



ข้ามสะพานแล้ววว



หลังจากลงรถเมล์ปุ้บ เราก็จะตกเป็นเหยื่อตัวน้อยๆ


เพราะทุกคนตรงนั้นจะมารุมเราเหมือนแร้งทึ้ง แล้วถามว่า



“ไปเวียงจันทน์มั้ยยย ไปวังเวียงรึเปล่า??"



ซึ่งราคาเหมานี่มันมหาโหดมาก เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น



...



กลับมาทำภารกิจผ่านแดนของเราต่อ

การจะข้ามไปฝั่งลาวอย่างเสร็จสมบูรณ์ เราต้องเขียนใบตม.ของลาวด้วยน้า

แล้วก็ต้องจ่ายค่าเหยียบแผ่นดินเค้า หรือเรียกแบบเก๋ๆ คือ One way ticket

จากกระทู้ที่เราอ่านมา บางคนถ้ามาช่วงเรทเงินดีๆ ก็จะเสียแค่ 30-40 บาท

แต่นี่ล่อไป 55 บาทเลย ㅜ__ㅜ



ผ่านตม. เสร็จก็จะเจอตู้คล้ายๆ BTS เอาไว้ใช้กับ One way ticket

ไอเพื่อนเราก็แตะนานสองนาน ทำไมมันไม่เปิดฟระะะ



อ๋อ มันมีช่องให้สอดเข้าไป ไม่ใช้แตะตรงจอ โธ่ 555555



ผ่านตม.เข้ามาได้แล้ว ให้ตรงดิ่งหารถเมล์ไปตลาดเช้าเลยยย


เดินออกจากด่านมานิดนึงแล้วจะเจอตรงด้านขวามือ



* อย่าไปเหมาตุ๊กตุ๊กนะมันแพงมาก โดยเฉพาะถ้าจ่ายเป็นเงินไทยเนี่ย

ปัดขึ้นแล้วปัดขึ้นอีกก ถ้าแลกเงินกีบมาแล้วใช้เงินกีบดีกว่า*



ซึ่งการปัดขึ้นก็จะใช้กับรถเมล์เช่นกัน

ถ้าจ่ายเป็นกีบก็คนละ 6,000 กีบ = ประมาณ 24 บาท

แต่ถ้าจ่ายเป็นเงินบาท จะโดนปัดขึ้นเป็นคนละ 40 บาท



...



ระหว่างทางเราก็สนุกกับการอ่านป้ายภาษาลาว

ถึงจะดูเหมือนคล้าย แต่จริงๆ ไม่คล้ายเลย อ่านยากมากกก



“นี่อ่านว่าไรแก (ນ້ຳງືມ) นามงัม นาม.."

“น้ำงึมจ้ะ" พี่สาวที่อยู่ข้างหน้าหันมาหัวเราะเบาๆแล้วแก้ให้



...



นั่งแปปๆ ก็ถึงตลาดเช้าแล้วว

พอมาถึงตลาดเช้า สิ่งที่เราตั้งใจว่าจะทำต่อไป


คือการไปจองรถนอนเพื่อไปหลวงพระบาง แลกเงิน แล้วก็ซื้อซิมโทรศัพท์ค่าา


และแล้วเราก็มาถึง


เมืองหลวงของประเทศลาว นครเวียงจันทน์



ตั้งแต่ก้าวขาลงจากรถเมล์มาที่ตลาดเช้า

เราก็ตกเป็นเหยื่อของเหล่าสกายแล็ป (ซึ่งนี่คือชื่อเรียกอย่างหรูของตุ๊กตุ๊ก)

ตกลงเจรจากันว่าให้เขาพาไปจองรถไปหลวงพระบางที่ขนส่ง

แต่ว่าขนส่งมันค่อนข้างไกลเมือง เลยจะพาไปจองผ่านเอเจนซี่แทน



โอเค.. เหมาก็เหมา

โดนกันไปคนละ 100 บาท (ยังไม่ได้แลกเงินมา TT)



...



พี่สามล้อพามาที่เอเจนซี่ที่นึง

ซึ่งราคารถ Sleeper bus หรือรถนอนอยู่ที่ 880 บาทค่ะ

ราคานี้รวมค่าไปส่งที่สถานีขนส่งสายเหนือแล้วนะคะ

เราสามารถฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ได้ แล้วก็มีห้องอาบน้ำให้ด้วย



/



ส่วนราคาจริงๆ ถ้าไปจองที่ขนส่งสายเหนือเอง คือ 150,000 กีบ

หรือประมาณ 600 บาทค่ะ



พี่ที่เอเจนซี่ให้แผนที่เที่ยวเมืองเวียงจันทน์มาด้วยยย


หลังจากรู้ว่าการเหมาสามล้อนี่มันแพงแถมยังพาอ้อมอีก

เราก็เลยเลือกที่จะ



เดิน!



จุดจุดนี้ต้องแข็งแกร่งมากๆ เพราะแต่ละสถานที่มันก็ไม่ใช่ใกล้ๆกันเลย 5555



จองรถเสร็จ สิ่งต่อไปคือแลกเงินค่าา


เราแลกที่ Western Union เดินมานิดเดียว ใกล้ๆ กับที่จองรถ

วินาทีที่จับแบงค์กีบเท่านั้นแหละ รู้สึกรวยขึ้นมาทันที 555555555


...


หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นเลียบฝั่งแม่น้ำโขงกัน

บรรยากาศดีมากๆ


ลาวก็มีชายสี่นะ



แล้วเราก็เดินวนกลับมาในตัวเมือง..


ยุด!



นอกจากป้ายหยุดที่ว่าน่ารักแล้ว เรายังเจอสิ่งที่น่ารักกว่า


นั่นคือ ตู้ไปรษณีย์ลาว ทำไมพอเป็นสีเหลืองแล้วดูมุ้งมิ้งขนาดนี้



เติม steam wallet กันหน่อยมั้ยยย ?


จริงๆ แล้วในเวียงจันทน์เราก็ยังใช้เน็ตไทยได้อยู่นะ


สัญญาณมันแรงมาก ยังเช็คอิน อัพเฟสบุคกันได้ปกติ

แต่ทางที่ดีคือ ไปหาซื้อซิมลาวคงดีกว่า เพราะตอนไปเมืองอื่นจะไม่มีสัญญาณแล้วว



ซิมลาวนี่มีขายตามมินิมาร์ท (M point mart) ร้านสีแดงๆ

หรือตามร้านขายโทรศัพท์ค่า เราเองซื้อที่ร้าน Huawei

ซิมจะมีสองแบบนะคะ คือซิมโทร+เน็ต กับซิมเน็ตอย่างเดียว

เราซื้อแบบหลังมา ทีนี้มันต้องเปิดใช้บริการกับเติมเงินด้วย

เราก็เลยให้ร้านทำให้เสร็จสรรพเลย



ค่าซิมเน็ตคนละ 20,000 กีบ

กับค่าโปรโมชั่น 3G 1.5GB/7 วัน อีก 10,000 กีบค่าา

(ซึ่งพอใช้จริงๆ แล้วมันลดช้ามากกก ใช้ได้จนวันสุดท้ายเลย)



...



แวะพักทานข้าวเที่ยงกันหน่อยย

เห็นร้านข้าวมันไก่แปะป้าย (เป็นภาษาไทยด้วย) ว่า

“คืนกำไรให้ลูกค้า ลดราคาเหลือจานละ 15,000 กีบ"

ด้วยความหิว จึงจัดไปคนละจาน



มื้อแรกในลาวก็ทานอาหารเหมือนอยู่ไทยซะแล้ววว TT



หลังจากทานข้าวเสร็จ เราก็จะเดินต่อไปที่ประตูชัยกัน
ซึ่งก็ไม่ได้รู้เล้ยยยยยย ว่าหนทางนั้นมันช่างยาวไกลนัก
เดินไปก็ถามทางไปเรื่อยๆ เขาบอกให้ตรงไป ผ่านไม่กี่ไฟแดงเดี๋ยวก็เห็น...

...

ระหว่างทางเราก็เจอร้านขายล็อตเตอรี่ลาวค่ะ

“เล่นหวยมั้ย ประกาศรางวัลช่วงที่พวกเรามาพอดีเลย เผื่อรวยนะ!" - เพื่อนกล่าว

ป้ายชื่อถนนก็น่าร้ากก สีสวยอะ


ก่อนมาเราไม่คาดหวังว่าจะมีคาเฟ่น่ารักๆ ในเวียงจันทน์นะ


แต่พอมาเดินดูจริงๆ เต็มเมืองไปหมดเลย

มันมีกลิ่นอายของลาวปะปนในความเป็นตะวันตกนั้นอยู่



พอช่วงเที่ยง อากาศเย็นๆ เริ่มเฟดหายไป


แทนที่ด้วยแดดจ้าา ร้อนพอๆ กับประเทศไทยเล้ยย

เดินตากแดดไปเรื่อยๆ ก็เจอพระธาตุดำพอดี



...


หลังจากนั้นเราก็พึ่ง google map..

จนมาถึงประตูชัยจนได้


ค่าตั๋วขึ้นประตูชัยไปชมวิวเมืองคนละ 3,000 กีบค่า


ช่วงที่เรามาเป็นช่วงเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีวันสถาปนา สปป.ลาว พอดี


รอบประตูชัยเลยมีธงชาติลาวประดับอยู่เต็มไปหมดเลย



วิวจากข้างบนนี่เห็นทั้งเมืองเลยจริงๆ นะ



หลังจากนั่งหลบแดดใต้ประตูชัยได้พักนึง


เราก็ตัดสินใจจะไปกินขนมที่ร้านเบเกอรี่ชื่อดังสักหน่อย

นั่นก็คือร้าน Joma Bakery Café

เพิ่งรู้ว่ามีในเวียงจันทน์ตั้ง 2 สาขาแน่ะ ที่หลวงพระบางก็มีด้วยนะ 😀



ลาวก็ชิคได้

แดดขนาดนี้ เดินไม่ไหวแล้วจริงๆ...เลยจะโบกตุ๊กตุ๊กไป (ยังไม่เข็ดอีก!)
แต่ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของแกอีกแล้วววว

“คนละสิบพันกีบนะ"
“2 กิโลเองพี่ ขอทั้งหมดซาวพันกีบ" (ซาว = 20)
“ซาวห้าพันกีบ"
“ซาวพันกีบ ไม่ไปหนูเดินนะ"
“ซาวพันก็ซาวพัน แต่คันโน้นนะ"
พี่แกดูตกใจตอนที่เราบอกว่าจะเดิน แต่สุดท้ายก็รับเรามาจนได้

* อย่ากลัวการต่อราคาค่ะ เพราะเค้าจะตั้งราคาไว้สูงมาก
แถมเป็นราคาต่อหัว ไม่ใช่ราคาเหมาอีกต่างหาก
ให้ดูระยะทางใน google map เผื่อไว้ แล้วต่อรองกับเค้าดูค่ะ



รถจะพามาส่งตรงน้ำพุค่าา เป็นเหมือนจัตุรัสเล็กๆ อะไรประมาณนั้น
เดินเลยมานิดนึงก็จะเจอนี่เลยย

ถนนเชษฐาธิราช

ซึ่งบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยคาเฟ่น่ารักๆ ให้เราได้เลือกนั่ง


เป็นถนนที่น่าเดินที่สุดรองจากถนนริมฝั่งแม่น้ำโขงเลยย



บรรยากาศก็จะวุ่นวาย รถติด รถเยอะนิดนึง


ไม่สามารถถ่ายร้านให้ไม่ติดรถได้



โจม่าอยู่ตรงนี้


แต่คนเยอะมากกก ไม่มีที่นั่ง เราเลยต้องย้ายไปนั่งร้านข้างๆ แทน



ร้านที่เรามานั่งชื่อ Benoni Café ค่ะ


เป็นคาเฟ่ที่มีทั้งอาหารจานหลัก ขนม แล้วก็พวกเครื่องดื่ม

(เหตุผลจริงๆ ก็คือ มี wifi ฟรี หลอกๆ 555555)

ด้านหลังร้านจะมีร้านสะดวกซื้อเล็กๆ ด้วยค่า



อิตาเลียนโซดาซักแก้วมั้ยคะะ?



พักกินของหวานๆ เสร็จแล้ว


เราก็มุ่งหน้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านวัดสีสะเกด

จนถึงสี่แยก เราก็เดินกลับไปเลียบทางฝั่งแม่น้ำโขง



แสงเย็นนี่มันดีจริงๆเลยน้า..



ฝั่งริมแม่น้ำก็จะมีร้านอาหารตลอดทาง


แต่ละร้านก็แปะป้ายเตรียมแฮปปี้นิวเยียร์แล้ว



มาจบที่ร้านๆ นึงเพราะมีพี่กวักมือเรียกเข้าร้าน 555

นั่งปึ้บก็ไม่รอช้าา สั่งไส้กรอกลาวมาประเดิมเลย

เพื่อนเราอีกคนลองสั่งเฝอ(ก๋วยเตี๋ยว) มา แอบชิมดู เส้นกรุบๆดี



หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จเราก็กลับไปที่เอเจนซี่ของเรา


จะมีรถมารับไปที่สถานีขนส่งสายเหนือค่ะ



ตอนอยู่สถานีขนส่งเจอพี่คนไทยด้วยค่ะ น่าจะได้ยินเราคุยกันเป็นภาษาไทยมาถามเรื่องตั๋ว


เพราะพี่เค้าซื้อตั๋วขึ้นรถไม่ทัน แล้วมันเป็นรอบสุดท้ายแล้วด้วย สุดท้ายน่าจะได้ขึ้นอีกคันนึงแล้วเนอะ



หน้าตาในรถนอนก็จะเป็นประมาณนี้

(ขออนุญาตก๊อปมาจากอากู๋นะคะ ไม่ได้ถ่ายมาา)



เราพลาดอย่างนึงคือเดินทางตอนกลางคืน


ทำให้ไม่เห็นวิวข้างทางที่ใครๆ ก็บอกว่ามันสวย TT

สะดุ้งตื่นมาดึกๆ เห็นข้างทางมืดๆ เป็นหุบเขา หักโค้งทีก็ตื่นเต้นที 5555

ตอนดึกๆ ก็จะมีแวะให้เข้าห้องน้ำกับกลางทางที่มีของแห้งขายเยอะๆ

เราก็เดินลงไปสูดอากาศนิดนึง หนาวมากกก




DAY 2

เช้านี้ที่หลวงพระบาง



ลงมาจากรถปึ้บก็สัมผัสได้ถึงความหนาว

ล้างหน้าแปรงฟันที่สถานีขนส่งเสร็จ ก็ต่อรถเข้ามาในเมืองเลยค่าา





แวะไปดูที่พักของเราในวันนี้ก่อน

เราพักกันที่ LPQ Backpackers Hostel ค่าา

จองผ่านอโกด้ามา เป็นห้อง mixed dorm คนละ 190 บาท

ตอนนั้นเช้ามากก เลยยังเช็คอินไม่ได้



มีพี่ฝรั่งคนนึงนั่งรออยู่หน้าโฮสเทล แกบอกว่า "It's not opening yet."

เราเลยไปด้อมๆ มองๆ เผื่อจะคุยอะไรกับ reception ได้บ้าง

ถามพี่ข้างในว่าฝากกระเป๋าไว้ก่อนได้มั้ย (พูดไทยใส่เค้า) เดี๋ยวมาเช็คอิน

นางก็บอกว่าได้



หันไปบอก "You can put your bags in." พี่ฝรั่งนี่ดีใจใหญ่เลย

นึกว่าจะต้องนั่งรอจนเวลาเช็คอินซะแล้ว 555

รู้สึกว่าภาษาใกล้ๆ กันมีประโยชน์ก็ตอนนี้



สภาพในห้องเป็นประมาณนี้ค่าา ในห้องเป็นเตียงสองชั้น


มีปลั๊กไฟกับไฟอ่านหนังสือให้ที่หัวเตียงค่ะ

(เอารูปมาจากอโกด้าน้า ไม่กล้าถ่ายมามีแขกคนอื่นนอนอยู่)



หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จ เราก็จะไปเดินทัวร์หลวงพระบางกัน


เริ่มที่การหาอะไรทานค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้องเนาะะ


เดินจากโรงแรมมาไม่ไกล เลาะซอยผ่านตลาดเช้า

เข้ามาก็จะเจอกับร้านประชานิยม ว่ากันว่าเป็นร้านกาแฟที่เก่าแก่

และจะได้ชิมรสชาติกาแฟดั้งเดิมของหลวงพระบางที่นี่



คุณป้าตอกไข่ร้อนๆ ที่เพิ่งขึ้นมาจากเตาด้วยมือเปล่าค่ะ


สตรองมาก 55555



สั่งโจ๊กกันไปคนละชาม ทานกับชานม


แล้วก็ปาท่องโก๋ค่ะ



และที่ขาดไม่ได้เลยยย สตรีทฟู้ดยอดนิยมของลาว


ขนมปังฝรั่งเศส / ขนมปังบาร์แกตต์

หรือเรียกเป็นภาษาลาวว่า ข้าวจี่ปะเต ค่าาา (หรือปาเต๊ะก็ได้ไม่ว่ากัน)



บอกไว้ก่อนเลยว่านี่จะเป็นที่พึ่งของทุกมื้อต่อไปในลาวนี้ 5555



ตอนนั่งอยู่ในร้านนี่ก็นึกว่าหูทิพย์ ใครพูดอะไรฟังออกหมด


ปรากฎว่าไม่ช่ายยยย แทบทั้งร้านเป็นทัวร์ไทยหมดเลยค่ะ 555555



ตัวร้านจะติดกับแม่น้ำโขงเลยค่ะ บรรยากาศดีมากๆ

หมอกหนาล้อมภูเขา



หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เราก็ไปเดินเล่นที่ตลาดเช้ากันค่ะ


เดินไปก็จะเห็นวิถีชีวิต สังเกตว่าแม่ค้าพ่อค้าทุกร้านจะทานสิ่งเดียวกันหมด

คือข้าวเหนียวจิ้มกินกับไข่ลวก (?)





ตอนบ่ายๆ เราจะไปน้ำตกตาดกวางสีกัน

มาเจอร้านทัวร์ที่มีรถพาไปน้ำตกพอดีค่ะ คนละ 50,000 กีบ

ถ้าเหมาตุ๊กตุ๊กไปจะแพงกว่านี้ ต้องหาเพื่อนไปหลายๆ คนถึงจะคุ้ม

แล้วก็จองรถไปวังเวียงของวันต่อไปด้วย ราคาคนละ 120,000 กีบค่ะ


อันนี้ราคาค่ารถไปที่ต่างๆ ค่ะ



พอดีที่ร้านมีให้เช่าจักรยานด้วย ก็เลยเช่าไว้ปั่นเที่ยวรอบเมือง


วันละ 20,000 กีบค่ะ ส่วนเราเองพรุ่งนี้จะต้องมาขึ้นรถที่นี่

พี่เค้าเลยใจดีให้คืนตอนเช้าได้





เสร็จปึ้บก็ปั่นรอบเมืองกันเลยย

แผนที่นี่ถ่ายมาจากที่ร้านเช่นเดียวกันค่าา



ตรงริมฝั่งแม่น้ำโขงจะมีทางให้เดินลงไปถ่ายวิวได้ด้วยนะคะ


ละก็จะมีสะพานข้ามไปเมืองลับด้วย เค้าเรียกว่า paper town

แต่เราไม่ได้ข้ามกันไป



มาแวะชมพิพิธภัณฑ์หลวงพระบางหรือพระราชวังหลวงกันค่าา

ตอนที่ไปเค้าปิดขายบัตรรอบเช้าพอดี เลยอดเข้าไปข้างใน TT


หลังจากเดินชมรอบๆ เสร็จ ก็ได้เวลาที่จะไปน้ำตกพอดี


ไปขึ้นรถที่บริษัททัวร์เลยค่าาา



น้ำตกตาดกวางสี

ระหว่างเดินทางก็จะเป็นทางขึ้นเขา
ข้างๆ เราเป็นกรุ๊ปฝรั่งค่ะ ชวนคนขับคุยใหญ่เลย
พี่คนขับก็สปีคอิงลิชคล่องมากๆ

ถึงแล้ววว


เสียค่าเข้าชมคนละ 20,000 กีบนะคะ



เข้ามาก็จะเจอกับเขตอนุรักษ์น้องหมีค่ะ 55555

คงจะเหนื่อยๆ กันนอนอย่างเดียวเลย



เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเจอน้ำตกเป็นชั้นๆ


ก็จะมีคนมาเล่นน้ำตก แล้วก็เซลฟี่กับน้ำตกเป็นระยะค่ะ

ซึ่งถ่ายรูปมาไม่เท่าตาเห็นจริงๆ น้ำใสม้ากกก สีสวยมาก



มีคนมารอกระโดดน้ำเต็มเลยค่าา


เราก็อยากจะเล่นบ้างนะ แต่ด้วยเวลาที่จำกัดก็อดไปป



หลังจากเที่ยวน้ำตกเสร็จเราก็จะกลับเข้าตัวเมือง


แล้วไปชมพระอาทิตย์ตกที่พระธาตุพูสีกันค่ะะ



พระธาตุพูสี

มีทางขึ้นสองทางคือทางด้านหน้า ซึ่งคนเยอะมากๆ
เราเลยหลบมาขึ้นทางด้านข้างแทนค่ะ สังเกตทางคือจะมีร้านจิวเวอรี่อยู่หน้าปากซอย

เสียค่าขึ้นไปชมคนละ 20,000 กีบค่ะ


ส่วนใหญ่พวกสถานที่ท่องเที่ยวจะเก็บค่าเข้าชมประมาณนี้ทุกที่เลย



ระหว่างทางก็เจอคนเยอะเลยค่ะ

แล้วเราก็เจอกับคุณตายายฝรั่งคู่หนึ่งกำลังค่อยๆ พากันขึ้นไป

"Are you okay?" คุณตาถามคุณยาย เป็นภาพที่น่ารักมากๆ



ทางค่อนข้างชันนะคะ คนที่กลัวความสูงอาจจะหวาดเสียวนิดนึง


ขึ้นมาครึ่งทางก็จะเห็นวิวเมืองหลวงพระบางแล้วค่าา สวยมาก



พระธาตุพูสีค่ะะ


นี่คือปริมาณคนที่ขึ้นมาชมพระอาทิตย์ตกค่ะ


ขอบอกว่าเยอะมากกก โดยเฉพาะตรงจุดที่เป็นหน้าผานี่ต้องแย่งชิงกันสุดๆ

เขย่งไม่พอ เจอไม้เซลฟี่ เจอไอแพด สู้ไม่ไหวจริงๆค่ะ 5555



เราเห็นคุณพ่อฝรั่งคนนึงกำลังใช้แขนอันแข็งแกร่งให้ลูกได้ชมวิวค่ะ


เลยจะหันไปขอถ่าย น้องก็ชี้ๆ แล้วพูดว่า "Foto machen!" พร้อมหันมายิ้มให้กล้อง

คุณพ่อก็เก๊กใหญ่เลยค่ะ น่ารักก



กว่าจะได้แต่ละช็อตนี่ต้องเขย่งกันสุดฤทธิ์


คนที่จะไปถ่ายตรงยอดนี่ก็ต้องแย่งกันเข้าไปถ่ายค่ะ


บางทีเราก็เริ่มแยกไม่ออกว่า อันไหนคือหมอกหรืออันไหนควัน


หรือนี่จะเป็นวิธีสร้างบรรยากาศของประเทศลาวคะคุณกิตติ 55555




ลงมาจากพระธาตุแล้วเราก็จะมาเดินตลาดมืดหรือ Night market กันค่าา
คึกคักมากๆ เลยทีเดียว

ฝั่งต้นๆ ทางจะขายพวกรูปวาด กระเป๋าผ้า เสื้อผ้า เครื่องประดับค่ะ


มีให้เลือกเยอะมากกก แต่แทบทุกร้านขายเหมือนกันหมดเลย


ส่วนท้ายๆ ของตลาดหรือฝั่งที่มีบริษัททัวร์เยอะๆ จะขายของกินค่ะ 5555


เราก็มาขลุกๆ อยู่แถวนี้เลย มีร้านขายน้ำผลไม้กับพวกเครปเยอะมากก


ตรงนี้เป็นร้านขายขนมของ indigo house ค่าา

ร้านตกแต่งน่ารักมากเลย โทนสีน้ำเงินๆ แต่ไม่ได้เข้าไป

ได้แต่ซื้อบราวนี่กับเค้กกล้วยหอมติดมือมาค่ะ อร่อยใช้ได้


เดินตลาดเสร็จก็มาแวะทานข้าวเย็นที่ Joma Bakery Café ค่ะ


หลังจากแป้กจากเวียงจันทน์มา เราก็ได้แวะแล้วว เย้


(รูปหน้าร้านถ่ายมาตอนกลางวันค่า)

อันนี้เมนูเดียวกับในรูปตรงเคาท์เตอร์ค่ะ


ไม่คิดว่าเนื้อไก่งวงจะกินกับซอสแครนเบอร์รี่ได้ แปลกดีอะะ




หลังจากมื้อเย็นเราก็กลับที่พัก

เจอพี่เกาหลีสองคนนั่งซดเบยลาวอยู่

นับรวมๆ ได้ 11 ขวด แล้วก็คุยกันดราม่ามากๆ 5555

เพื่อนเราเลยจัดบ้าง ขวดละ 5,000 กีบค่า ถูกกว่าซื้อข้างนอกนิดนึง



วันต่อไปจะตื่นไปตักบาตรข้าวเหนียวกันค่าา




DAY 3

ตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อไปตักบาตรข้าวเหนียว
เดินออกมาจากที่พักก็จะเห็นคนเต็มฟุตบาทเรียงรายกันไป
ส่วนของที่ใช้ตักบาตรจะมีขายเป็นเจ้าๆ จัดมาเป็นชุดให้เราค่ะ
ชุดละ 20,000 กีบ

ดัน ISO กันสุดๆ ค่ะจุดนี้...


การตักบาตรนี่คือจะยาวไปจนถึงตรงพิพิธภัณฑ์เลยค่ะ



ตักบาตรเสร็จเราก็มาหาข้าวเช้าทาน

อันนี้เดินผ่านร้านข้างทาง คุณแม่น้องกำลังขายของอยู่เลยไม่ได้ดูน้อง

ร้องไห้ใหญ่เลยง่า

ส่วนคนพี่ก็เอร็ดอร่อยกับปะเตค่า 5555


มาจบที่ร้านนี้ค่า อยู่ตรงหัวมุมซอยเดียวกับร้านประชานิยมเลย


เราประทับใจน้องคนนี้มาก ช่วยคุณพ่อทำงานอย่างขยันขันแข็ง


หลังจากมื้อเช้า เราก็เดินสำรวจจุดที่เราปั่นจักรยานผ่านเมื่อวานแล้วยังไม่ได้ถ่ายรูป


คือแถวๆ ที่มีบริษัททัวร์เยอะๆ ค่าา

มาเจอนี่


ขนมปังชุบแป้งทอด ถามพี่คนขายมาเรียกว่าข้าวจี่จืด (?)

อร่อยดีค่า ชิ้นละ 2,000 กีบ



ส่วนใหญ่คนที่นี่จะนิยมปั่นจักรยานกัน


เด็กๆ ก็ปั่นจักรยานไปโรงเรียน เหมาะกับอากาศดี๊ดีสุดๆ



แชะมุมมหาชนกันหน่อยย


เสียดายมากถ้ามาตอนยังเปิดไฟถนนอยู่คงจะสวยไม่น้อยเลยย



ชอบแฟชั่นผ้าซิ่นของที่นี่มากกกก ตั้งแต่ชุดนักเรียนยันชุดลำลอง


ที่น่ารักกว่านั้นคือ แม้จะใส่ผ้าซิ่นกันก็ยังแว้นมอเตอร์ไซค์ได้ เท่สุดๆ 5555



หลังจากเดินเที่ยวรอบสุดท้ายเสร็จ


เราก็จะมุ่งสู่วังเวียงแล้วจ้าา ไปขึ้นรถที่บริษัททัวร์ที่จองไว้เล้ยย

เราไปรอบ 9 โมงค่ะ ที่บริษัทก็จะพามาที่สถานีขนส่ง

เราจะนั่งมินิแวนไปกันน


ระหว่างทางที่มาวังเวียง พี่คนขับก็แวะให้ทานข้าวเที่ยงค่า


ซึ่งตรงร้านที่แวะเนี่ยบังเอิญไปเห็นแก๊งลูกหมาค่ะ

ทุกคนบนรถนี่ไปรุมถ่ายรูปกันใหญ่เลย เราก็ด้วย

น่ารักมากกกก



และมื้อเที่ยงวันนี้ก็คืออ เฝอลาวอีกแล้วค่า


กลิ่นขิงแรงมากจริงๆ เส้นกรุบๆ เช่นเดิม



ทางมาวังเวียงนี่ขอบอกเลยว่าวัดใจสุดๆ


ใครเมารถนี่ไม่น่ารอดค่ะ ทางวิบากโคตร ทางขึ้นเขาก็ค่อนข้างชัน

บางทีเราก็คิดว่านี่กำลังจะไปวังเวียงหรือดวงจันทร์ หลุมเป็นหลุม

มินิแวนลงหลุมทีนี่ตัวกระเด้งหัวจะชนเพดานรถ 55555

อีกอย่างคือฝุ่นเยอะมากกกกกก ขนาดอยู่ในรถยังเห็นฝุ่นเลย

ทุกคนแถวนั้นใส่ mask หมด





รถจะมาจอดที่สถานีขนส่งค่ะ เราต้องต่อรถเข้าไป

เลยเหมาตุ๊กตุ๊กไปกับแก๊งนักท่องเที่ยวเกาหลี คนละ 20,000 กีบค่า

เราว่าจริงๆ ต่อได้มากกว่านี้นะ ระยะทางมันนิดเดียวเอง ._.





นี่เป็นช็อตประทับใจ

พระขี่จักรยานค่ะ เห็นตั้งแต่ทางเข้าเมืองเลย



กว่าจะถึงจริงๆ ก็ปาไปสี่ห้าโมงแล้ว


พี่ตุ๊กตุ๊กมาส่งหน้าที่พักเลยค่าา วันนี้เราพักกันที่ Malany Villa

ซึ่งจะรีวิวนิดนึงว่า โลเคชั่นมันดีมากเลยแหละตัวเธอ

อยู่ตรงกลางๆ เมืองพอดี ร้านอาหารเยอะ บริษัททัวร์ก็อยู่ข้างหน้าที่พักเลย



ภายในห้องก็จะเป็นประมาณนี้ค่า


ห้องนอนก็สะอาดดี มีทีวีให้ดูด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นช่องของไทย 5555

ห้องน้ำใหญ่และสะอาดดีค่ะ เอาเป็นว่า recommend



(ขอจิ๊กรูปมาจาก agoda น้า ไม่ได้ถ่ายมาเลยเพราะสภาพรกมากก)

เข้าที่พักปึ้บเราก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปจะเที่ยวเอง หรือจะไปกับทัวร์ค่ะ


ลองเทียบๆ ดูแล้วไปกับทัวร์น่าจะได้ไปหลายที่และคุ้มกว่า เพราะมีไกด์นำ ไม่ต้องงมเอง



หลังจากนั้นก็ไปถามราคาที่บริษัททัวร์

ซึ่งต้องเช็คหลายๆ ที่นะ ว่าแพคเกจไหนเหมาะกับเรา

ซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบด้วย tubing, caving หรือ kayaking ค่ะ

เลือกได้ว่าจะไปล่องห่วงยาง จะเข้าถ้ำ จะคายัค หรือจะไปทั้งหมด



ซึ่งเราเลือกที่นี่ค่าา Phone travel

เพราะมันใกล้ที่พักสุด คืออยู่ติดกันเลย ถ้าไปแต่เช้าจะได้ไม่ต้องรีบมาก



รายละเอียดทัวร์ก็จะไป tubing ก่อน ไปดูถ้ำช้าง ถ้ำน้ำ


เสร็จปึ้บก็ไปพายคายัค ปิดวันด้วยบลูลากูนค่าา

ค่าเสียหายคนละ 160,000 กีบค่ะ



...



จัดการเรื่องทัวร์เสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นในเมืองกันค่า

เปิดกูเกิ้ลแมพดูว่าแม่น้ำซองไปทางไหน แล้วก็เดินตามเลย


ริมแม่น้ำจะมีพวกบาร์กับร้านอาหารค่ะ


ซึ่งตอนนั้นบาร์นี่เปิดเพลงมันส์มาก เจ้ที่ tubing อยู่ก็เลยแดนซ์มันส์เลย


Magic Hour ที่แม่น้ำซองค่า วิวสวยมากกกก


เราไม่สามารถถ่ายให้สวยเท่าตาเห็นได้จริงๆ อะ


มีคนมาเซลฟี่บนสะพานเต็มเลย ก็วิวมันสวยเนอะะ



อยากจะกินลมชมวิวริมแม่น้ำบ้างค่ะ


แต่เปิดเมนูดูราคาอาหารแล้ว น้องขอกลับไปซบอกปะเตเหมือนเดิม 555



หลังจากเสพวิวกันพอแล้ว ท้องก็ร้องแรงมาก


แต่เงินก็เหลือไม่มากแล้ว สุดท้ายก็จบที่ปะเตเหมือนเดิมค่ะ

หลายๆ คนอาจจะเบื่อหน้าตานาง แต่มันอร่อยและถูกจริงๆนะเออ



เรื่องเล่าจากร้านนี้


ร้านตั้งอยู่ข้างกับที่พักเลยค่ะ แล้วก็อาหารราคาไม่แพงมาก

เป็นโต๊ะญี่ปุ่น ละก็มีพนักให้พิงนั่งดูทีวีชิลๆ ได้ค่ะ

ซีรีส์ส่วนใหญ่ที่เปิดก็จะเป็นของฝรั่ง แบบ Friends ประมาณนี้



ที่เพื่อนกับเราสังเกตคือ ทั้งร้านมีพนักงานหน้าร้านคนเดียวค่ะ

คือน้องคนนึงที่ดูเด็กมากกกก แต่ทำทุกอย่างตั้งแต่

หยิบเมนูมาให้ จดรายการอาหาร เสิร์ฟอาหาร เก็บจาน

ซึ่งที่หายไปหลังครัวก็ไม่รู้ว่าไปทำอาหารเองด้วยรึเปล่า 5555

หลังจากทานเสร็จเราก็เลยถามน้องเค้าว่าหนูอายุเท่าไหร่



"9 ขวบ"



โฮ้วหมี่ก้าดดด ขนาดเราโตกว่าเรายังทำได้ไม่เท่าน้องเลยอะ…

เราเลยขนานนามร้านนี้ว่า ร้านน้องแข็งแกร่ง ค่ะ

แวะไปให้กำลังใจน้องได้ที่ร้านอาหารข้างๆ โรงแรม Malany Villa น้าา



พรุ่งนี้เราจะไปฉลองปีใหม่ด้วยวันเดย์ทริปวังเวียงกัน

แถมยังเป็นวันที่นรกที่สุดของพวกเราอีกด้วย…



DAY 4
One-day tour


และแล้ววันนี้ก็มาถึงงงง

ตื่นเช้ามาทานข้าวที่ร้านใกล้ๆ โรงแรมเช่นเคยค่ะ
แล้วก็ป๊ะกับนี่! เรื่องเล่าเช้านี้ live in ลาว
เพราะฉะนั้นข่าวสารที่ไทยไม่ว่าจะกระแสไหนพี่ลาวเขารู้หมด

อย่าเพิ่งเบื่อเรานะ


งบเรามีแค่นี้จริงๆ….



ทานข้าวเสร็จเราก็พร้อมจะไปลุยกันแล้วค่าา


มีเรื่องเล่าอีกแล้ว คือน้องในภาพข้างล่างเราเจอกันตอนเย็นที่ร้านเมื่อวานค่ะ

น้องเป็นคนเกาหลี นั่งโต๊ะข้างๆ กับเรา แล้วก็ชอบแกล้งเราค่ะ

พอหันไปมองเค้าก็จะทำท่าเขินๆ เลยอันยองใส่ เค้าก็อันยองกลับ

น่ารักแถมยังเกรียนอีก 555555



(ขออนุญาตคุณแม่น้องเค้าก่อนถ่ายแล้วนะคะะ)



ตอนแรกเราหวังว่า ทัวร์นี้จะต้องมีฝรั่งให้ได้เมาท์มอยด้วยๆ แน่ๆ


แต่พอเอาเข้าจริง ทั้งทัวร์เป็นเกาหลีหมดเลยค่ะ คือฟังไรไม่ออกเลย 5555555

มีแก๊งอนนี่ชิคๆ คูลๆ แก๊งอาจุมม่า แก๊งพี่สาวน้องชาย แล้วก็แก๊งอปป้าค่ะ



จุดนี้คือมาส่งคนที่ซื้อ half day trip ก่อนค่ะ

ถือว่ามาเซอร์เวย์พื้นที่ก่อนคายัคจริงช่วงบ่าย



พี่ไกด์ในทัวร์ของเราชื่อ พี่แซว ค่ะ


ก็จะมีการอธิบายทริปเล็กน้อยเป็นภาษาลาวสลับกับภาษาอังกฤษ

ซึ่งตอนพี่เค้าพูดอังกฤษที่ลื่นปรื้ดดดคล่องแคล่วมากๆ


ที่แรกที่เรามาชมกันคือ ถ้ำช้างค่า

ซึ่งแบบ… ถ้ำช้างก็มีแค่ถ้ำกับช้างจริงๆ ไม่มีสิ่งอื่นเลย แง้



ระหว่างทางที่จะไป tubing ก็จะล้อมรอบด้วยภูเขาและทุ่งนา


คนที่มาทัวร์ก็มีหลากหลายกรุ๊ปค่ะ



ต้องบอกก่อนว่าตอน tubing เราไม่ได้ถ่ายอะไรมาเลย T_T


เอาโทรศัพท์ไว้ในซองกันน้ำอย่างเดียว ในถ้ำก็มืดมาก สู้ไม่ไหว

จะพยายามเล่าให้เห็นภาพก็คือ



คนที่มา tubing มันเยอะมากมากถึงมากที่สุดค่ะ

เพราะฉะนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นของส่วนกลางมันเลยไม่พอ

ทัวร์ไหนที่มาเร็วก็แย่งอุปกรณ์กันไปก่อน

ทัวร์เราเลยรอนานพอสมควรค่ะ พี่แซวให้แก๊งชาวเกาหลีไปเล่นกันก่อน

เรากับแก๊งพี่คนไทยอีกแก๊งเลยต้องรอต่อไปปป



น้ำมันเย็นมากกกกกกก ตอนก้าวลงไปนี่ขนลุก 555555

ตอนเข้าไปในถ้ำก็คือต้องเกาะเชือกต่อๆ กันไปค่ะ

ความตื่นเต้นก็คือถ้าเราตามเพื่อนข้างหน้าไปไม่ทัน

ความมืดก็จะไล่กัดกินเรา ซึ่งมันน่ากลัวมาก

แต่ละคนก็จ้ำๆๆๆ อย่างเร็ว เสียงกรี๊ดก็ดังเป็นระยะ



พอมาถึงจุดเช็คพอยท์ เราก็จะได้เข้าไปเดินดูในถ้ำค่ะ

อย่าใช้คำว่าเดิน ใช้คำว่าคลานดีกว่า ต้องใช้สกิลตัวเพรียวสูงมาก

ในถ้ำน้ำก็จะเป็นหินงอกหินย้อยค่ะ แล้วก็จะมีการเรียงหินอธิษฐาน





ออกมาจากถ้ำแล้วเราก็จะได้ทานข้าวเที่ยงซะที

เป็นข้าวผัดกับบาร์บีคิวค่ะ ในแพคเกจเขียนซะเหมือนจะได้ย่างบาร์บีคิวกัน

แต่จริงๆ คือเขาย่างมาให้แล้ว เวลาไม่พอ 555555



เสร็จจาก tubing เราก็จะไปพายเรือคายัคต่อค่า



พี่แซวก็จะอธิบายวิธีการพายเรือที่ถูกต้อง


เช่นการออกจากฝั่ง พายซ้าย พายขวา พายหน้า หยุดพาย ฯลฯ

ซึ่งต้องระวังกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรง พวกหินต่างๆ

บรีฟกันเสร็จแล้วก็จะได้ลองพายจริงๆ แล้วจ้าาา



บรรยากาศดีมาก ฟ้าเปิด น้ำใส อากาศดี (แต่ค่อนไปทางร้อน)


หลายๆ รูปที่ได้มาคือจากโทรศัพท์ในซองกันน้ำนะคะ

แล้วก็แอบควักกล้องออกมาถ่ายด้วย



ระหว่างทางก็จะโดนพี่ไกด์แกล้งค่ะ


ด้วยการเอาไม้พายสาดน้ำใส่ ซึ่งทุกคนเอนจอยกับตรงนี้มาก

ใครเข้าใกล้ฉันบวกหมด ฉันสาดหมด ประหนึ่งนี่คือสงคราม 55555



ขณะที่เรากำลังบวกกันอย่างสนุกสนาน ภัยมันก็ได้คืบคลานมาถึงแล้วค่ะ ; ___ ;


เรือลำข้างๆ ได้เบียดเข้ามา ทำให้เราเข้าไปชิดฝั่งค่ะ

จะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าตรงฝั่งนั้นไม่มีต้นไม้อยู่

ทีนี้ทุกคนก็เอี้ยวตัวหลบต้นไม้จ้า ทำให้



ตู้มมมมมม



คายัคล่มค่ะะะะะ

ด้วยความตกใจที่หน้าคะมำลงน้ำไป แถมน้ำก็ดันโคตรเชี่ยว

สตงสตินี่ไม่อยู่แล้วค่ะ คิดอยู่อย่างเดียวคือเท้าต้องเกาะพื้นให้ได้

แต่เราก็ลืมนึกถึงอีกอย่างไปปป



ถุงกันน้ำที่ข้างในมีกล้องอยู่สามตัวจ้าา



พี่ที่อยู่เรือลำข้างหน้าก็พยายามแกะถุงกันน้ำที่ผูกกับเรือออกให้

แล้วก็เอามาให้เพื่อนเราค่ะ



สิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันที่สุดคือ น้ำรั่วเข้าไปในถุงค่าา

ณ จุดนี้ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวค่ะ เพราะไม่กี่นาทีก่อนเรือล่ม

เราเพิ่งแกะถุงออกมาเพื่อใช้กล้องถ่ายรูปค่ะ แล้วเรามัดถุงไม่ดี

มันต้องดันอากาศออกจากถุงใช่มั้ยคะ แต่เราไม่รู้ ตรงนี้เราโง่เอง



อันนี้เป็นข้อควรระวัง ทางที่ดีอย่าเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆทั้งนั้น

ลงไปใกล้แหล่งน้ำค่ะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ก็แหงล่ะ ใครเค้าเอากล้องลงน้ำกัน





"ไททานิคล่มแล้ว" - พี่ไกด์กล่าวไว้

"บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งเอาออกมาถ่ายๆ" - โดนพี่ไกด์อีกคนดุซ้ำ



ตอนนั้นทุกคน blank ไปหมดเลย

ได้แค่เทน้ำออก สลัดๆ ถอดแบต ถอดเมม พี่ไกด์ก็มาช่วย

พอถึงฝั่งปึ้บก็ตากแดดเลยค่ะ เฟลมาก เพราะเราเป็นต้นเหตุ ;___;



ขอบคุณพี่ที่ช่วยดึงเรือกลับมาให้ด้วยนะคะ

แล้วก็ตามเก็บรองเท้าของพวกเราครบทุกข้างอีก ช่วยปลดถุงกันน้ำออกจากเรือด้วย

ถ้าได้มาอ่านอยากบอกว่าขอบคุณมากจริงๆ _/\_



รูปสุดท้ายก่อนกล้องจม

หมดช่วงคายัค เราก็จะไปที่สุดท้ายคือบลูลากูนค่ะ


ที่ที่เราคิดว่าจะมาถ่ายรูปเยอะๆ กระโดดน้ำอย่างแฮปปี้

จบค่ะ จบบ ทุกคนหมดอารมณ์แล้ว ได้แต่นั่งดูคนอื่นกระโดดไป



แชะมาแค่สองรูปก่อนกลับ



มันเล็กกว่าที่คิดมากเลยค่ะ 55555


แต่น้ำสีสวยมากจริงๆ ชอบ ถึงจะไม่ได้ลงไปเล่นก็ตาม

แม้เราจะอยู่ในมู้ดเศร้า แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ที่ตลกร้ายเกิดขึ้น



มีพี่คนนึงจะขึ้นไปจะกระโดดน้ำค่ะ ทีนี้พี่แกคงอยากได้ฟีล gopro

เลยเอาโทรศัพท์ใส่เคสกันน้ำ แล้วก็ถ่ายตัวเองตอนกระโดดลงไป

เหมือนจะไม่มีอะไรนะคะ แต่วินาทีที่กระโดดตู้มม

แล้วโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเท่านั้นแหละ พี่แกขึ้นมาพร้อมกับหน้าเหวอ

เพราะมือถือหลุดมือ จมลงไปอยู่ใต้บลูลากูนแล้วค่ะ



พี่แกก็ลุกลี้ลุกลน ไม่รู้จะดำลงไปดีมั้ย

เลยตัดสินใจขึ้นบกมา call for help เรียกเพื่อนมาช่วย

หลังจากนั้นก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะพนักงานดูกลับๆ กันไปหมดแล้ว

สงสารอะะ เราเข้าใจพี่นะ .__.





พี่คนขับรถพาเรากลับเค้าขออีกครึ่งชั่วโมงค่ะ

ตอนแรกเราก็นึกว่าคนไม่ครบเลยรอต่อ

จริงๆ แล้วคือนางไปนั่งซดเบยลาวกับแก๊งสาวเกาหลีที่หายไปค่าา

หลู่เลื่อง!



It's a count down party!

กลับถึงที่พักทุกคนก็รีบตากกล้องต่อค่ะ เลนส์นี่ไอน้ำขึ้นเลยอะ
เรารู้สึกแย่มาก ทำไมต้องมาเกิดวันเคาท์ดาวน์ด้วยเนอะ…
วันที่ควรจะแฮปปี้สุด กลายเป็นวันที่เศร้าสุดซะงั้น
เป็นบทเรียนราคาแพงของเราไป



แต่ the show must go on
เราก็ยังมีจุดหมายคือการออกไปเคาท์ดาวน์
และเป้าหมายของเราวันนี้ คือที่ซากุระบาร์ค่าา
มีพี่ที่รู้จักแนะนำมาว่าเด็ดด ไปดูบรรยากาศกันเลยค่า

นอนเอื่อยที่ห้องจนใกล้ช่วงเคาท์ดาวน์
แล้วก็ออกมาสัมผัสบรรยากาศข้างนอกกันหน่อยยย
ซากุระบาร์อยู่ซอยตรงข้ามที่พักเราเลยค่ะ
จริงๆ มีอีกหลายร้านนะ คึกพอกัน แต่ที่นี่คนแน่นสุดด

ตอนที่เริ่มนับ 5 4 3 2 1


พอขึ้นปึใหม่ปึ้บบ ดนตรีก็มาค่ะ เสียงทุกคนตรงนั้นก็พร้อมใจกันมาก

เฮฮฮฮ



ฝรั่งที่เกาะกลุ่มกันก็กอดกันกลมเลยค่ะ ที่อยู่ในบาร์ก็มันส์มาก

คนที่มาเป็นคู่ก็จุ๊บฉลองปีใหม่งี้ จุดพลุกันดังสนั่น

สักพักพี่ฝรั่งแก๊งข้างๆ ก็หันมา happy new year ใส่เราค่ะ

จากนั้นก็ตามมาเป็นแก๊งเลย เราก็เลย hny กลับ 5555



ส่วนนี่เป็นบรรยากาศรอบๆ ที่เราไปเดินเก็บมาค่ะ น่ารักมาก



DAY 5
Last day in Laos

มาถึงวันสุดท้ายของทริปแล้วว
วันนี้ตื่นสายที่สุดในทุกวันค่ะ ออกมาทานข้าวเช้ากันเสร็จ
ก็ไปขึ้นรถกลับเวียงจันทน์ที่จองไว้ คนละ 40,000 กีบค่า



รถจะมาส่งเราตรงเจ้าอนุวงศ์สเตเดียมค่ะ
เราต้องหาทางไปต่อเอง ซึ่งเช่นเดิม เราจะไม่ยอมเสียเงินให้ตุ๊กตุ๊กอีกแล้ว 555555
ตอนนั้นเราเหลือแค่เงินไทย เลยเลือกที่จะเดินไปตลาดเช้าค่ะ

เส้นทางมันก็ค่อนข้างไกล แถมยังต้องแบกกระเป๋าไปด้วยอีก
หาเรื่องลำบากแล้วมั้ยล่าาา

แต่เดินแค่แปปเดียวก็มาถึงตลาดเช้าค่ะ งงมาก
ทำไมวันแรกที่ตุ๊กตุ๊กพาจากตลาดเช้าเข้าเมืองมันไกลจัง
เพราะเราโดนพาอ้อมยังไงล่ะะะ โดนหลอกแรงงง

ตรงตลาดเช้าก็จะมีปะเตขายเป็นแพคๆ ราคาถูก
เราก็แซวๆ เพื่อนว่าเอากลับไปกินที่ไทยมั้ย 5555

...

เราก็จะพบกับท่ารถหน้าตาประมาณนี้
ซึ่งรถที่นั่งไปที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวจะต้องเดินเลยไปอีกนิดนึงค่า
ถามคนแถวนั้นได้

ตรงตม.ก็จะมี duty free อยู่ค่า เพื่อนเราก็แวะไปซื้อกาแฟดาวกัน 555


เสร็จปึ้บก็มานั่งรถข้ามฟากกันน



สะดุดตรง "ในราคาเป็นกันเอง"


เป็นกันเองจนไม่เหลือเงินกีบกลับไทยเลยจ้าา U_U



ข้ามสะพานแล้ว…


บ๊ายบายนะประเทศลาวว



ถึงหนองคายแล้วจ้าา


สิ่งแรกที่ทำคือเดินหาเอทีเอ็มแล้วกดเงิน เงินไม่เหลือเลยจริงๆ 555



พอถึงหนองคายแล้วก็โบกรถจากด่านไปที่ บขส. ค่ะ


รับตั๋วรถทัวร์ที่เราจองผ่านเน็ตที่นั่นได้เลย ยื่นใบจองที่แคปไว้ให้เค้าดูค่าา

กว่ารถจะออกก็นู่นน สองทุ่มครึ่ง เราเลยไปหาอะไรทานกัน





เดินมาถึงริมแม่น้ำโขงก็จะเจอกับลานกว้างๆ

ไฟประดับสวยมาก บวกกับแสงเย็นไปอีก

วิวแม่น้ำโขงนี่มันเลอค่าจริงๆ เลยน้า..

ถือว่าเป็นทริปที่ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง


ได้พบประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เปิดโลก แถมยังได้บทเรียนราคาแพงอีก 5555

ถ้าถามว่าเราชอบที่ไหนมากสุดในทริปนี้ ขอตอบว่าหลวงพระบางค่ะ

ด้วยผังเมืองแล้วก็บรรยากาศหลายๆ อย่าง

รองลงมาก็วังเวียง ถึงฝุ่นจะเยอะไปนิดด + เรายังไม่ได้ไปอีกหลายแลนด์มาร์ค

ทั้งนี้ก็เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวนะค้าาา



อยากรู้ต้องลองมาเที่ยวด้วยตัวเองค่ะะ สนุกแน่นอน

ปิดทริปด้วยรูปนี้ละกันค่าาา ถ้ามีโอกาสจะกลับมาใหม่นะ



ประเทศลาว



สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทริปนี้ รวมๆ มาให้ดูตามภาพข้างล่างเลยจ้า <3


จริงๆ มีค่าจุกจิกอีกเยอะเลยค่ะ อันนี้เป็นค่าใช้จ่ายหลักๆ น้า



ขอบคุณที่เข้ามาติดตามกันนะค้าา


ไว้มีโอกาสเจอกันทริปหน้าเนอะ



ติดตามรูปถ่ายเพิ่มเติมหรือพูดคุยสอบถามกันได้ที่

facebook.com/plaintography นะคะะ



ความคิดเห็น