เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบไปเที่ยวทะเลสักเท่าไร ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น แดดร้อน อากาศร้อน คิดว่าทะเลไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ่ายรูปออกมาก็จะเห็นเพียงน้ำทะเลตัดกับเส้นขอบฟ้า ทำให้รู้สึกว่าทะเลไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งหมด จนเมื่อ 2-3 ปีมานี้ ผมเริ่มใช้ “ใจ” ค่อยๆ ทำความรู้จักกับทะเลมากขึ้น ทำให้รู้ว่าทะเลแต่ละแห่งนั้นมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน ทะเลทำให้จิตใจผมสงบ การได้มานั่งทอดอารมณ์ ฟังเสียงคลื่น มันทำให้ผมได้ลืมความวุ่นวายหลายสิ่งอย่างให้หมดไปจากหัวสมอง

ตอนนี้จะบอกว่าผมเป็น “ทะเลลิซึ่ม” ก็คงไม่ผิดนัก เพราะเมื่อมีเวลาว่างเมื่อใด ผมจะเสาะหาสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลอยู่ตลอด เริ่มหาสถานที่พักผ่อนริมทะเล ทั้งทะเลฝั่งตะวันออกอย่าง ระยอง จันทบุรี ตราด หรือจะเป็นทะเลฝั่งอ่าวไทย รวมถึงทะเลฝั่งอันดามัน ได้เห็นโฆษณาของหลายๆ รีสอร์ทผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางนิตยสารหรือสื่อออนไลน์ และหนึ่งในไม่กี่โฆษณาที่สะดุดตา เป็นภาพของเตียงชายหาดไม้ตั้งเคียงคู่กันบนสระว่ายน้ำภายใน Villa ที่มองออกไปเป็นวิวทะเลสีฟ้าครามแบบสุดสายตา ภาพนี้แหล่ะที่ติดตาตรึงใจ จนทำให้ผมต้องเก็บรีสอร์ทแห่งนี้มาไว้ในลิสต์รีสอร์ทในฝัน ที่สักวันจะต้องมาสัมผัสให้ได้ และรีสอร์ทที่ว่านั้นนั่นคือ The Naka Island, a Luxury Collection Resort & Spa, Phuket

ฝันให้ไกลแล้วต้องไปให้ถึง!! เมื่อ The Naka Island, a Luxury Collection Resort & Spa, Phuket ได้มาออกบูธงานไทยเที่ยวไทย และได้นำโปรโมชั่นเด็ดๆ ในราคาที่ไม่เกินเอื้อมมาฝากผู้ที่มีใจรักทะเล โปรโมชั่นมีทั้งแบบซื้อห้องพักอย่างเดียว หรือจะเป็นแบบแพคเกจก็มี เห็นราคาแล้วจะนิ่งเฉยก็คงไม่ใช่ เมื่อโอกาสมาก็คงต้องรีบคว้า จากนั้นก็หาช่วงเวลางามๆ ไปตามหาฝันกันครับ

ทริปนี้ผมวางโปรแกรมแบบ 4 วัน 3 คืน โดย 2 คืนแรกตั้งใจจะแปลงกายเป็นตัว Sloth ไปใช้ชีวิตแบบช้าๆ ไปกอบโกยความสุขใน The Naka Island ให้มากที่สุด และคืนสุดท้ายจะข้ามไปยังเกาะยาวใหญ่ จ.พังงาครับ


ยิ่งได้เห็นภาพ The Naka Island ยิ่งทำให้ผมอยากจะไปพิสูจน์ไวๆ ว่า ภาพสวยงามที่ได้เห็น กับสิ่งที่เป็น จะเหมือนหรือแตกต่างกันเพียงไหน อีกหนึ่งอึดใจเท่านั้น ผมก็จะไปเป็นหนึ่งชีวิตเล็กๆ บนเกาะนาคาใหญ่แล้วครับ

หลังจากที่ล้อเครื่องบินแตะ Runway ของสนามบินภูเก็ต สายฝนก็โปรยปรายในทันที จากสนามบินผมจะต้องเดินทางต่อไปยัง Ao Por Grand Marina เพื่อไปขึ้นเรือข้ามไปยังเกาะนาคาใหญ่ จากสนามบินไปยัง Ao Por Grand Marina ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงครับ

จากสนามบินเราสามารถเดินทางไปยัง Ao Por Grand Marina ได้หลายวิธี อาจจะใช้บริการของ Taxi หรือใครต้องการความสะดวกก็สามารถใช้บริการรถลีมูซีนจากทางรีสอร์ทก็ได้ จริงๆ แล้วหากใครซื้อโปรโมชั่นแบบแพคเกจ 2 คืน ก็จะรวมบริการรถรับส่งสนามบินไว้แล้ว (ตามเงื่อนไขของแต่ละโปรโมชั่น) สำหรับผมเลือกแบบสะดวกและประหยัด เลยให้พี่เพอะ หนึ่งในสมาชิกร่วมทริปที่ขับรถมาจากหาดใหญ่ แวะมารับที่สนามบินภูเก็ตและไปยัง Ao Por Grand Marina พร้อมๆ กัน

จากลานจอดรถของ Ao Por Grand Marina จะมีพนักงานของ The Naka Island ยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้าแล้ว (ผมได้ประสานแจ้งเวลาที่ต้องการจะข้ามไปยังรีสอร์ทก่อนหน้าที่จะออกเดินทาง) จากลานจอดรถต้องเดินเท้าต่อไปยังท่าเรืออีกนิดหน่อยครับ

ตารางเดินเรือที่จะข้ามไป-กลับ เป็นดังนี้ เรือจาก Ao Por Grand Marina - เกาะนาคาใหญ่ จะมีบริการทุกๆ xx.15 น. และ xx.45 น. และจากเกาะนาคาใหญ่ - Ao Por Grand Marina จะมีบริการทุกๆ xx.00 น. และ xx.30 น. ครับ


ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 5 นาที ก็ข้ามมาถึงยังเกาะนาคาใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ The Naka Island, a Luxury Collection Resort & Spa, Phuket แล้วครับ


ทันทีที่ Speed boat เทียบท่า ก็มีพนักงานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มขับรถบักกี้มารับคณะของผมที่ท่าเรือ เมื่อสมาชิกทั้ง 5 นั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็กล่าวต้อนรับและสอบถามพวกเราว่า เคยมาพักที่ The Naka Island กันหรือยัง ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ยังไม่เคย เมื่อได้ยินดังนั้นเธอจึงเริ่มเล่า Story ที่มาที่ไปของเกาะนาคาใหญ่ให้พวกเราได้ฟังกันครับ


ตามตำนานโบราณที่เล่าต่อๆ กันมาบอกว่ามีพญานาคตัวหนึ่งได้ท่องไปทั่วท้องทะเลอันดามัน และได้มาพบเจอกับสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีทัศนียภาพที่งดงาม นั่นก็คือบริเวณเกาะนาคาแห่งนี้ พญานาคจึงตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในบั้นปลายอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ จนเมื่อพญานาคในตำนานได้ล่วงลับไปแล้ว เขาได้กลายสภาพเป็นเกาะหิน ก้อนหิน และทราย หลายปีผ่านมาเกิดการพังทลายของดินและการกัดเซาะของสภาพอากาศ จึงทำให้ดินแดนแห่งนี้แยกออกเป็นสามเกาะเล็กๆ กระจายอยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงพบเห็นกันอยู่ คือเกาะแรด เชื่อว่าเป็นส่วนหัวของพญานาค, เกาะนาคาน้อย เชื่อว่าเป็นส่วนหางของพญานาค และ เกาะนาคาใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ The Naka Island เชื่อว่าเป็นส่วนลำตัวของพญานาคครับ


เกาะแรด ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะนาคาใหญ่ ตามตำนานบอกว่าเป็นส่วนหัวของพญานาค


เกาะนาคาน้อย อยู่ทางทิศใต้ของเกาะนาคาใหญ่ ตามตำนานบอกว่าเป็นส่วนหางของพญานาค


และเกาะนาคาใหญ่ ตามตำนานบอกว่าเป็นส่วนลำตัวของพญานาคครับ

สิ้นสุดสะพานไม้ที่ทอดยาวมาจากกลางทะเลก็เริ่มเข้าสู่พื้นที่ของเกาะนาคาใหญ่แล้วครับ

แขกทุกคนเมื่อเดินทางมาถึงเกาะนาคาใหญ่จะต้องตีฆ้อง 2 ครั้ง น้องพนักงานอธิบายให้ฟังว่าในสมัยโบราณเชื่อกันว่าฆ้องสามารถใช้สื่อสารกับสิ่งลึกลับที่อยู่ต่างภพกับโลกมนุษย์ ซึ่งบนเกาะนาคาใหญ่ก็มีความเชื่อเรื่องวิญญาณของพญานาคว่ายังคงสิงสถิตอยู่บนเกาะแห่งนี้ การตีฆ้องให้ก้องกังวานในครั้งแรกนั้นเป็นการให้เกียรติแก่พญานาค เป็นการบอกกล่าวว่าเราได้เดินทางมาถึงเกาะแล้ว เมื่อพญานาครับทราบก็จะช่วยดูแลแขกในระหว่างที่เข้าพักบนเกาะนาคาใหญ่ สำหรับการตีฆ้องครั้งที่สองเพื่อให้แขกได้อธิษฐานขอพรและเชื่อว่าพญานาคจะช่วยให้พรที่ขอสัมฤทธิ์ผลครับ

Welcome drink มาพร้อมกับดอกกล้วยไม้ครับ

จากจุดนี้น้องพนักงานหน้าตาจิ้มลิ้มคนเดิมพาผมนั่งรถบักกี้ไปยังห้องพักเพื่อทำการ Check in เธอขับลัดเลาะไปตามเส้นทางสายเล็กๆ ที่คดเคี้ยวไปมา พร้อมกับเอ่ยปากบอกว่า เส้นทางคดเคี้ยวหน่อยนะคะ เพราะว่าตอนที่สร้างเส้นทางและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทางรีสอร์ทพยายามรักษาต้นไม้ใหญ่เอาไว้ เส้นทางบางช่วงบางตอนเลยต้องลัดเลาะไปมา บางช่วงของเส้นทางก็มีความลาดชันบ้าง เนื่องจากพื้นที่ในโซนห้องพักจะอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ครับ

รถบักกี้มาจอดที่ด้านหน้าห้องพักของผม ห้องพักตลอด 2 คืนเป็นแบบ Seaview Pool Villa ครับ

Villa แต่ละหลังออกแบบมาในสไตล์ของเกาะในภูมิภาคเขตร้อน ด้วยสถาปัตยกรรมและการตกแต่งที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม โทนสีของ Villa เป็นโทนสีน้ำตาล ทำให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติที่รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่มากๆ เพียงแค่ด้านหน้าก็มองเห็นถึงความใส่ใจ ความ Back to Basics แล้ว เชือกที่เห็นในภาพ ปลายข้างหนึ่งถูกถ่วงน้ำหนักด้วยก้อนหิน ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งผูกติดไว้กับระฆังใบเล็กๆ ทำหน้าที่ได้เสมือนหนึ่งเป็นกระดิ่งไฟฟ้า แต่เสียงของระฆังใบเล็กๆ นี้ฟังไพเราะเสนาะหูกว่าเสียงกระดิ่งไฟฟ้าเป็นอย่างมาก ใกล้กันมองเห็นหินรูปร่างทรงกลม ที่มี 2 ด้าน ด้านหนึ่งเป็นรูปลืมตา อีกด้านหนึ่งเป็นรูปหลับตา อันเป็นสัญลักษณ์ว่า ห้ามรบกวน

เมื่อเปิดประตู Villa เข้ามา มีแอบยิ้มมุมปากเล็กๆ สองข้างทางเดินเข้าสู่ห้องพักขนาบข้างด้วยสวนหย่อมที่ประดับประดาด้วยพันธุ์ไม้หลากสี ปลายสุดของทางเดินมีศาลาพักผ่อนขนาดย่อมให้นอนเล่นรับลม ชมวิวทะเลแบบส่วนตั๊ว ส่วนตัว


ด้านในของห้องพักต้องบอกเลยว่ากว้างขวางดีจริงๆ โดยหลักๆ ผนังด้านหัวเตียงและปลายเตียงเป็นกระจกบานใหญ่ หากมองจากหัวเตียงออกไปจะเห็นสวนหย่อมกลาง Villa แต่หากถ้ามองจากปลายเตียงออกไป ก็จะเห็นวิวทะเลแบบสุดสายตาเลยครับ ส่วนผนังอีก 2 ด้าน ด้านหนึ่งจะเป็นโซฟาไว้สำหรับให้นั่งพักผ่อน ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นพื้นที่สำหรับวางอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ตู้เย็น เครื่องชงกาแฟครับ


นอกจากนี้บริเวณปลายเตียง ยังมีมุมให้นั่งอ่านหนังสือ จะนั่งห้อยขาอ่านหนังสือหรือจะนั่งชมวิวด้านนอกห้องก็ได้ หากใครเมื่อยล้าก็สามารถนอนเอกเขนกดูทีวีบนเบาะนุ่มๆ พร้อมทานขนมขบเคี้ยวที่ทางรีสอร์ทได้จัดเตรียมไว้ให้บนโต๊ะ มีทั้งคุกกี้ สัปปะรดแห้ง และมะพร้าวอบแห้ง อร่อยเชียวครับ


เตียงนอนที่หนานุ่ม พร้อมกับหมอนหนุนที่หนุนแล้วไม่อยากจะลุกไปไหนเลย


จากพื้นที่ห้องนอนจะมีทางเดินเชื่อมไปยังพื้นที่ของห้องน้ำและห้องแต่งตัว พื้นที่ในส่วนนี้จะเป็นแบบ Open Air มีพัดลมติดผนังช่วยระบายความร้อน ห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกันอย่างชัดเจน โดยมีตู้เสื้อผ้าและอ่างล้างหน้าคั่นกลาง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในส่วนนี้ก็ค่อนข้างครบครันเลยครับ มีทั้งเตารีด ที่รองรีด ที่ชั่งน้ำหนัก เสื้อคลุมอาบน้ำ รองเท้าใส่เดินใน Villa และที่เก๋กู๊ดมากๆ เห็นจะเป็นห้องอาบน้ำ ที่เป็นห้อง Stream ในตัวด้วยครับ เนื่องจากการใช้น้ำจืดบนเกาะต้องอาศัยน้ำบาดาลที่สูบขึ้นจากกลางทะเล ทำให้เวลาอาบน้ำแล้วอาจสัมผัสได้ถึงความเค็มๆ ปลายๆ จากละอองน้ำอยู่บ้างครับ


ผลิตภัณฑ์อาบน้ำของที่นี่เลือกใช้ของ THANN หอมถูกใจผมจริงๆ


Minibar ในส่วนนี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ


แต่ถ้าเป็นในส่วนของน้ำดื่ม กาแฟ และของขบเคี้ยวที่อยู่ในโหลเล็กๆ บนโต๊ะอ่านหนังสือ ทานได้เลยครับ ตอนแรกผมเองก็กังวลกับเรื่องน้ำดื่ม เพราะผมเป็นคนที่ดื่มน้ำเยอะมาก เกรงว่าทางรีสอร์ทจะมีให้จำนวนจำกัด หากซื้อเพิ่มคงโดนชาร์จอีกเยอะ ก่อนข้ามเกาะเลยแวะซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่และแบกข้ามมาด้วย ท้ายสุดคือต้องหิ้วไปกินที่เกาะยาวใหญ่แทน

ทางรีสอร์ทได้เตรียมน้ำดื่มไว้ให้เยอะมาก (ประมาณ 8 ขวด) ดื่มได้ดื่มไปเลยครับ ถ้าหากหมดก็สามารถโทรขอเพิ่มได้ แต่ถ้าไม่หมด ช่วง Turndown Service พนักงานจะมาเติมน้ำดื่มให้อีกรอบ และมาพร้อมกับโหลคุ๊กกี้ที่ให้ทานก่อนเข้านอนด้วยครับ

และอีกหนึ่งจุดที่สองป้าชอบมากๆ เห็นจะเป็นอ่างอาบน้ำ ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ด้วย เห็น 2 ป้าผลัดกันถูหลังแล้วน่าเอ็นดูเชียวครับ

ที่สุดของแจ้ เอ๊ย ของห้อง เห็นจะเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวนี่แหล่ะครับ เพียงแค่เปิดประตูห้องออกมา เดิน 5 ก้าว ก็ลงว่ายน้ำได้เลย สระว่ายน้ำที่มองออกไปเห็นวิวทะเลอันดามันแบบ 180 องศาเลย


ศาลาพักผ่อนนับเป็นอีกหนึ่งมุมที่สามารถนั่งชิลล์ได้ทั้งวันครับ


เข้าห้องพักแล้ว ไม่อยากจะออกไปไหนเลยครับ ความสุขมันอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง


อีกหนึ่งไอเดียการออกแบบเล็กๆ ที่ทำให้เห็นถึงความตั้งใจให้แขกได้สัมผัสกับความกลมกลืนกับธรรมชาติ “ที่แขวนผ้า” ออกแบบเป็นรูปบวบ เก๋เชียวครับ


Plan หลักๆ ของ Villa แต่ละหลัง ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นห้องนอน ห้องน้ำ ศาลาพักผ่อน อ่างอาบน้ำ และสระว่ายน้ำ ในพื้นที่ขนาด 450 ตารางเมตรครับ


เป็นรีสอร์ทที่ห้อมล้อมไปด้วยชายหาดและธรรมชาติอันสวยงาม บนความเขียวมรกตของน้ำทะเลอันดามัน


ยามเย็นมานั่งชมพระอาทิตย์ตก โอ๊ย..โรแมนติกอย่าบอกใครเชียว


มาพักที่นี่สุขทั้งกาย สุขทั้งใจจริงๆ

ดูบรรยากาศภายใน Villa กันมาเยอะแล้ว ไปชมบรรยากาศโดยรอบรีสอร์ทกันบ้างครับ

เริ่มด้วยภาพมุมสูงของรีสอร์ทครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกของทางรีสอร์ท เช่น Infinity Pool, Fitness, ห้องอาหาร My Grill และ Tonsai รวมถึง concierge จะอยู่ใกล้ๆ กันริมสระว่ายน้ำเลยครับ


อาคารนี้เป็นที่ตั้งของ concierge และห้องสมุดครับ


ภายใน concierge


ติดกับ concierge เป็นห้องสมุดและ Tour Desk


อาคาร Fitness Center อัดแน่นด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกายมากมาย


ห้องอาหาร Tonsai ห้องอาหารแบบ All day dining ในบรรยากาศสบายๆ พร้อมทิวทัศน์ริมชายหาด


ห้องอาหาร My Grill สำหรับการทานอาหารประเภท BBQ และ Grill เป็นห้องอาหารแบบเปิดที่ให้แขกได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด


Infinity Pool สระว่ายน้ำส่วนกลาง มีเตียงชายหาดตั้งอยู่กลางสระเลยครับ นักท่องเที่ยวต่างชาติชอบมานอนอาบแดดกันมากๆ



สปานาคา เตะตาด้วยซุ้มไผ่


Sala Pool อีกหนึ่งสระว่ายน้ำส่วนกลาง ที่ขนาดอาจจะไม่ใหญ่เท่า Infinity Pool แต่ Sala Pool มีเอกลักษณ์คือเป็นสระว่ายน้ำกระจกครับ


Activities ที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่มาพักก็มีหลากหลายเลยทีเดียว กิจกรรมบางอย่างก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น เพ้นท์ร่ม เพ้นท์ผ้าบาติก สกรีนเสื้อ แต่หลายอย่างก็สามารถร่วมกิจกรรมได้ฟรี เช่น โยคะ มวยไทย พายคายัคเพ้นท์หน้า โดยสามารถสอบถามตารางเวลากับทางรีสอร์ทได้เลย แต่ถ้าหากต้องการความเป็นส่วนตัว เช่น สอนมวยไทยตัวต่อตัว ก็สามารถใช้บริการได้เช่นกัน แต่ในส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ

สำหรับผมแล้ว ขอทำกิจกรรมแบบง่ายๆ เบาๆ ดีกว่า ด้วยการปั่นจักรยานเที่ยวชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเกาะนาคาใหญ่ ซึ่งทางรีสอร์ทมีจักรยานให้ยืมปั่นกันฟรีๆ ครับ

จากรีสอร์ทใช้เวลาปั่นจักรยานประมาณ 15 นาทีแบบไม่เร่งรีบ ก็ถึงหมู่บ้านแล้วครับ ระหว่างทางก็จะผ่านสวนยางพารา ได้เห็นวิถีชีวิตผู้คน โรงเรียน ร้านค้าที่สามารถมาฝากท้องมื้อเที่ยงและมื้อเย็นได้ โดยรวมแล้วใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงสำหรับการปั่นจักรยานเที่ยวครับ

กริ๊ง..กริ๊ง..กริ๊ง..กริ๊ง..ช่วงเวลาที่เป็นไฮไลต์ ไม่อยากให้พลาดด้วยประการทั้งปวง นั่นคือช่วง Afternoon Treat ระหว่างเวลา 14.00-17.00 น. ที่ริมสระว่ายน้ำจะมีบริการไอศกรีมโฮมเมด ฟรี!! แบบไม่มีกั๊ก จะกินกี่โคนก็ได้ วันที่ผมไปมีไอศกรีม 2 รสชาติ คือ มะพร้าว และ องุ่น บอกเลยว่าดีงามทั้ง 2 รสชาติ แต่แนะนำว่าอย่าตักรวมกันในโคนเดียว ให้แยกกันคนละโคนจะได้อรรถรสกว่าเพราะรสชาติจะได้ไม่ตีกันครับ บอกเลยว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ส่วนไหนของรีสอร์ท ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ขอให้วางมือแล้วไปชิมไอศกรีมกันครับ อร่อยมากๆ


ใกล้ๆ ช่วงแดดร่มลมตก ลองออกมานั่งเล่นริมชายหาดกันดูนะครับ วันที่ฟ้าใสๆ คงจะสวยมากๆ ขนาดช่วงที่ผมไปเมฆค่อนข้างเยอะ (เพราะฝนตก) ยังนับว่าบรรยากาศดีเลยทีเดียว นี่ถ้าแดดจัดๆ น้ำทะเลคงเป็นสีฟ้าครามแน่ๆ


และช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตก ใครอยากจะมาจิบเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมกับชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตก ต้องมาที่ Zbar เลย บรรยากาศดีมากๆ เลยครับ

เนื่องจากพื้นที่ภายในรีสอร์ทกว้างมากๆ การจะไปยังแต่ละจุดสามารถโทรเรียกรถบักกี้ให้ไปรับ-ส่งได้ครับ

หลังพระอาทิตย์ตก ก็คงได้เวลาอาหารค่ำแล้ว ค่ำนี้ผมมาฝากท้องที่ห้องอาหาร My Grill

My Grill จะเน้นอาหารประเภท BBQ และ Grill ตามชื่อของห้องอาหารเลยครับ โดยจะเน้นเสิร์ฟอาหารทะเลบาร์บีคิวและสเต๊กเนื้อคุณภาพ สำหรับเรื่องรสชาติผมว่าจะติดไปทางฝรั่งซะเป็นส่วนใหญ่ อาจจะไม่แซ๊บโดนใจคนไทยซักเท่าไรครับ

เริ่มด้วย Starter เป็นแตงโมหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋าพอดีคำ โรยหน้าด้วยไข่ปลาคาเวียร์ครับ

ตามมาด้วย Appertizers เริ่มที่ Seared Tuna กับซอส Chimichurri และ Wasabi Mayonaise เสิร์ฟบนแตงโมหั่นชิ้นลูกเต๋าและโรยหน้ามาด้วยไข่ปลาคาเวียร์

สลัด Avocado+Melon เสิร์ฟพร้อมกุ้งครับ

Beef Carpacio

ปิดท้ายด้วย Main Courses อย่าง Andaman Mixed Seafood Platter มี Lobster, King Prawns, ปลาหมึก, หอยเชลล์ และปลากะพง เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 2 แบบครับ


ระหว่างเคลียร์บิล จะมีชอกโกแลตมาเสิร์ฟให้ปิดท้ายพร้อมผ้าเย็น โดยรวมแล้วอาหารที่นี่เน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบ เรื่องรสชาติอย่างที่บอกไปตอนต้นว่าจะติดไปทางฝรั่งมากกว่า สำหรับเรื่องราคาบอกเลยว่าแรงใช้ได้เลยครับ อีกอย่างที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้ คือการให้บริการของพนักงาน ที่จะคอยแวะเวียนมาสอบถามพูดคุยถึงเรื่องรสชาติอาหารว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผมแจ้งไปว่าเสียดายที่น้ำจิ้ม Seafood ยังไม่ค่อยจัดจ้านสักเท่าไร น้องพนักงานก็มาชี้แจงว่าห้องอาหารนี้จะเน้นรสชาติแบบฝรั่ง ซึ่งไม่เน้นเรื่องความเผ็ดจัดจ้านของรสชาติมากนัก และยังแนะนำเพิ่มว่าที่ห้องอาหาร Tonsai รสชาติอาหารจะจัดจ้านกว่าที่ My Grill จากนั้นน้องพนักงานหายไปสักพักและกลับมาพร้อมกับน้ำจิ้มจากห้องอาหาร Tonsai เธอนำมายื่นให้กับผมพร้อมรอยยิ้มและบอกว่าน้ำจิ้มนี้น่าจะเหมาะกับผมมากกว่า บริการแบบนี้เอาใจผมไปเลยครับ

อีกหนึ่งช่วงเวลาแห่งความสุข เห็นจะเป็นมื้อเช้านี่แหล่ะครับ ที่เราจะเลือกทานได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องพะวงกับเงินในกระเป๋าเลย อาหารเช้าจะจัดไว้ที่ห้องอาหาร Tonsai ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 06.30 - 11.00 น. ครับ (ห้องอาหาร Tonsai จะเปิดบริการทั้งวัน โดยมื้อเช้าให้บริการแบบ Buffet สำหรับมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ให้บริการแบบ a la carte ครับ)

Tonsai จะเป็นห้องอาหารแบบ Open Air เช่นเดียวกับ My Grill ครับ บรรยากาศช่วงเช้าดีมากๆ

อาหารในไลน์ Buffet มีมากพอสมควร มีมุมที่ปรุงกันสดๆ อย่าง Egg Station, Noodle Station ที่มีให้เลือกทั้งแบบก๋วยเตี๋ยวน้ำและก๋วยเตี๋ยวผัด

ถึงแม้ห้องอาหาร Tonsai จะเป็นแบบ Open Air แต่ทางรีสอร์ทก็ได้คำนึงถึงความสดใหม่ของอาหารสดอย่าง ผัก ผลไม้ ชีส นม โยเกิร์ต และอีกหลายๆ อย่าง จึงได้แบ่งสัดส่วน นำอาหารสดที่กล่าวมาทั้งหมดไว้ในห้องปรับอากาศ เห็นแบบนี้แล้วต้องกดไลค์ให้รัวๆ เลยครับ

เมนูบางอย่างปรุงกันสดใหม่ สั่งได้จานต่อจานเลยครับ

นอกจากไลน์อาหาร Buffet แล้ว เรายังสามารถสั่งเมนูแบบ a la carte ได้อีกด้วยนะครับ โดยจะมีเมนูตั้งไว้ให้ที่โต๊ะแล้ว ลองมาดูกันครับว่าแต่ละเมนูหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง

เริ่มที่ Grilled Salmon เสิร์ฟพร้อมสลัดผักสดๆ ครับ

Naka Poached Egg

Egg white Frittata เป็นไข่ขาวทอด โรยหน้าด้วยเห็ดหอมหั่นเป็นชิ้นบางๆ อร่อยเชียวครับ

Full English Breakfast

Steak and Egg

Toasted Sour Dough เป็นขนมปังที่เสิร์ฟมาพร้อมกับมะเขือเทศ อโวคาโด และ Goats Cheese

Waffles เสิร์ฟพร้อมมะม่วงสดและ Mango Mouse

Pancakes

Naka Island Caramelized French Toast

อาหารเช้าโดยรวมแล้วถือว่าดีงามมากๆ ทั้งความหลากหลายของเมนู คุณภาพของวัตถุดิบ และรสชาติอาหารที่ถูกปาก ผมใช้เวลาดื่มด่ำกับอาหารมื้อเช้านานร่วมชั่วโมง เรียกได้ว่าอิ่มหนำจนไม่ต้องทานมื้อกลางวันกันเลยทีเดียว

นับเป็นช่วงเวลาดีๆ ตลอด 2 คืนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ การที่เราได้มาพักผ่อนแบบเงียบๆ ไร้สิ่งรบกวน ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง มันเหมือนเป็นการชาร์จไฟให้กับชีวิต พร้อมที่จะออกไปเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่จะได้พบเจอ หากใครกำลังมองหาที่พักเพื่อใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัว คู่รัก หรือเพื่อนฝูงแบบส่วนตัว ท่ามกลางสวนป่าธรรมชาติในบรรยากาศริมทะเล เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ขอบอกเลยว่า The Naka Island, a Luxury Collection Resort & Spa, Phuket นี่แหล่ะคือคำตอบที่คุณกำลังค้นหาอยู่

ภาพถ่ายสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ แต่ภาพถ่ายไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้ ผมอยากให้เพื่อนๆ ได้ลองมาสัมผัสกับ The Naka Island, a Luxury Collection Resort & Spa, Phuket ด้วยตัวของเพื่อนๆ เอง แล้วจะรู้ว่า “สวรรค์อยู่ไม่ไกล” เลยครับ

หากใครฝันที่จะมาพักที่ The Naka Island เช่นเดียวกับผม แอบกระซิบว่าให้เกาะติดหน้าเพจของ The Naka Island, a Luxury Collection Resort & Spa, Phuket (https://www.facebook.com/thenakaisland) ไว้ได้เลย เพราะจะมีโปรโมชั่นราคาห้องพักเด็ดๆ ออกมาอยู่เรื่อยๆ ครับ

งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ก่อนที่จะก้าวเท้าออกจากเกาะนาคาใหญ่ ผมไม่ลืมที่จะตีฆ้องเพื่อบอกลาและขอบคุณพญานาคที่ช่วยคุ้มครองดูแลตลอดเวลาที่ผมอยู่บนเกาะนาคาใหญ่นี้ เรือมุ่งหน้าสู่ Ao Por Grand Marina เกาะนาคาค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ จากสายตา แต่เกาะนาคาจะยิ่งใหญ่อยู่ในใจผมตลอดไป

เมื่อขึ้นเรือจาก Ao Por Grand Marina แล้ว ผมมุ่งหน้าต่อสู่ท่าเรือบางโรง ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็มาถึงท่าเรือบางโรงครับ

ก่อนจะถึงท่าเรือจะมีชาวบ้านเปิดบ้านให้เป็นที่รับฝากรถ บางเจ้าคิดค่าบริการ 50 บาท/คืน บางเจ้าก็จะคิดค่าบริการ 100 บาท/คืน ยังไงลองสอบถามราคาก่อนที่จะใช้บริการดูนะครับ

เมื่อหันหน้าเข้าสู่ท่าเรือ จุดจำหน่ายตั๋วไปยังเกาะยาวใหญ่ จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ค่าโดยสารคนละ 200 บาท (พิมพ์ไม่ผิดครับ ค่าโดยสาร 200 บาท แต่ที่ป้ายแสดงราคาตรงจุดจำหน่ายตั๋วเขียนว่า 300 บาท) ส่วนจุดจำหน่ายตั๋วไปยังเกาะยาวน้อย จะอยู่ทางด้านขวามือ ทั้งสองจุดตั้งอยู่ตรงข้ามกันครับ

จากท่าเรือบางโรง ใช้เวลานั่ง Speed Boat ประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึงเกาะยาวใหญ่ครับ การมาเกาะยาวใหญ่รอบ 2 ของผมนี้ ผมตั้งใจจะมากินอาหารทะเลที่บ้านริมน้ำเรสเทอรองอีกครั้งเพราะยังติดใจในเสน่ห์ปลายจวักของแม่ครัวที่นี่ นอกจากนี้ยังต้องการมาเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวจุดอื่นๆ ที่ยังไม่เคยแวะครับ

โปรแกรมคร่าวๆ ที่วางไว้คือ แหลมหาด อ่าวหินกอง แหลมล้าน อ่าวทราย อ่าวหัวนอน อ่าวโล๊ะปาเหรด อ่าวทิวสน และอ่าวคลองสนครับ

สำหรับการเดินทางบนเกาะยาวใหญ่ ผมยังคงเรียกใช้บริการของบังณีเหมือนเดิม โดยราคาเหมารถอยู่ที่ 1,000 บาท/วัน ราคานี้รวมน้ำมันและพาเที่ยวด้วยแล้ว การใช้รถเหมาผมก็ว่าสะดวกดีนะครับ เพราะตอนที่ผมวางแผนปักหมุดจุดเที่ยวบนเกาะยาวใหญ่นั้น ผมหาพิกัดหาดต่างๆ ใน Google map ไม่เจอเลย แต่ถ้าใครอยากจะประหยัดเงินค่าเหมารถ สามารถเช่ามอเตอร์ไซด์ขี่รอบเกาะได้ โดยสามารถเช่ารถมอเตอร์ไซด์ได้บริเวณใกล้ๆ ท่าเรือ อยู่ตรงอาคารหลังคาสีแดงๆ ข้างป้ายยินดีต้อนรับสู่เกาะยาวใหญ่นั่นแหล่ะครับ ราคาคันละ 300 บาท/วันครับ


ผมให้บังณีแวะเที่ยวที่แหลมหาดเป็นจุดแรก เพราะอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือมากนัก แหลมหาดในวันนี้ยังคงความสวยงามและมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเที่ยวกันอย่างไม่ขาดสาย หาดทรายขาวละเอียดทอดตัวยาวลงไปในทะเล ความสวยงามของแหลมหาดการันตีด้วยการเป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์ The Mechanic Resurrection ครับ มาแหลมหาดครั้งนี้ยังคงประทับใจอยู่เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือได้ภาพมุมสูงของแหลมหาดมาฝากเพื่อนๆ ให้ได้ชมกันด้วยครับ

จากแหลมหาด บังณีพาเลาะเที่ยวไปเรื่อยๆ จากด้านเหนือมุ่งหน้าลงทางใต้ของเกาะยาวใหญ่ครับ


จุดที่สองที่แวะเที่ยว คือจุดชมวิวบริเวณหน้าแสงสุรีย์ วิลล่า รีสอร์ทใหม่ที่น่าจะเปิดตัวไปได้ไม่นาน ช่วงที่ผมมาเกาะยาวใหญ่ในรอบก่อน ที่นี่กำลังเริ่มก่อสร้าง แต่ตอนนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว มองจากภายนอกแล้วดูหรูหราซะจริงๆ แถมทำเลที่ตั้งดีมากๆ ด้วย เพราะมองเห็นวิวของป่าเกาะได้แบบเต็มๆ ตา

ออกจากจุดชมวิวหน้าแสงสุรีย์ วิลล่าบังณีพาแวะจอดเที่ยวที่อ่าวหินกอง ที่อ่าวหินกองเป็นท่าเรือหางยาวที่สามารถเหมาเรือข้ามไปเที่ยวยังเกาะต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเกาะห้อง เกาะไข่ เขาตาปู และอีกหลายๆ เกาะที่อยู่โดยรอบเกาะยาวใหญ่ครับ จากท่าเรือแห่งนี้หากมองออกไปจะเห็นเกาะก๊าหลาด ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากอ่าวหินกอง เกาะก๊าหลาดเป็นเกาะสัมปทานรังนก ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับชาวบ้านที่นั่งอยู่ที่ท่าเรือ เขาบอกว่าปีๆ นึงเก็บรังนกได้ร่วมพันกิโลกรัมเลยทีเดียว



จากนั้นชาวบ้านก็ชวนพูดคุยไปเรื่อยและชี้ให้ดูว่ามีคนกำลังจับปลาทรายกันอยู่ ดูแล้วบริเวณอ่าวหินกองยังคงความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลอยู่พอสมควร เพราะเห็นมีคนมาจับปลาค่อนข้างเยอะ และผมยังได้เห็นปูลมออกหากิน ปูลมที่ผมเคยเห็นส่วนใหญ่จะตัวเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย แต่ปูลมที่อ่าวหินกอง ตัวใหญ่พอๆ กับปูเค็มที่นำมาทำส้มตำเลยครับ




จากอ่าวหินกอง บังณีพาไปยังจุดหมายต่อไป ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะยาวใหญ่ เพื่อไปชมวิถีชีวิตของหมู่บ้านประมงแหลมล้านครับ หมู่บ้านแห่งนี้อารมณ์คล้ายๆ กับหมู่บ้านชาวมอแกนที่หมู่เกาะสุรินทร์เลยครับ ภาพบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงริมทะเล และมีเรือจอดกันเรียงราย จะแตกต่างกันที่บ้านของชาวบ้านแหลมล้านมีสีสันที่หลากหลายกว่าเท่านั้นเอง


บริเวณแหลมล้าน หากมองออกไปจะเห็นเกาะนุ้ยนอกครับ


ภาพมุมสูงบริเวณแหลมล้านครับ




จากแหลมล้าน นั่งรถต่ออีกนิดหน่อยก็มาโผล่ที่อ่าวทราย อ่าวนี้สวยใช้ได้เลย เงียบ สงบ เหมาะกับการมานั่งทอดอารมณ์มาก ที่อ่าวทรายนี้สามารถเล่นน้ำทะเลได้ ถึงแม้ทรายจะไม่ขาวเท่าแหลมหาดแต่ก็ละเอียดนุ่มเท้าไม่แพ้กัน ที่ด้านหัวและท้ายหาดจะเป็นกลุ่มหินเพิ่มความมีเสน่ห์ให้หาดนี้ขึ้นอีกเยอะเลยครับ

จากอ่าวทราย บังณีพามุ่งหน้าไปฝั่งทิศตะวันตกของเกาะ เพื่อไปเที่ยวชมอ่าวหัวนอนครับ

อ่าวหัวนอนเป็นอ่าวเล็กๆ บังณีเล่าว่าส่วนใหญ่ชาวประมงจะมาจอดเรือหางยาวเพื่อหลบคลื่นทะเลที่นี่ครับ



บริเวณอ่าวหัวนอนจะมีก้อนหินขนาดใหญ่โผล่แทรกขึ้นมาจากพื้นทราย ใหญ่แค่ไหนลองเทียบขนาดกับคนดูนะครับ สวยงามแปลกตาดีเหมือนกัน เสียดายที่ผมอยู่ที่นี่ได้ไม่นานเพราะฝนตกไล่หลังมาแล้ว


ผมมาปิดโปรแกรมของวันที่อ่าวโล๊ะปาเหรดครับ อ่าวโละปาเหรดในวันที่ผมไปเยือนน้ำขึ้นจนมองไม่เห็นชายหาดเลย เอกลักษณ์ของอ่าวโล๊ะปาเหรดเห็นจะเป็นสะพานไม้ที่ทอดยาวสู่กลางทะเลนี่แหล่ะครับ มองออกไปเห็น “เกาะสก” อยู่ริบๆ (ทางด้านขวามือของภาพ) คำว่า “สก” เป็นภาษาใต้ แปลว่า “คู่กัน” เกาะสกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความรักครับ

ของกินที่อ่าวโล๊ะปาเหรดราคาค่อนข้างสูงเลยครับ แอบไปถามราคาทุเรียนมา (ในสภาพผลแตกและงอมมาก) ขายลูกละ 500 บาทกันเลยทีเดียว อาหารทะเลแถวนี้ก็แพงมากเช่นกัน เหตุเพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน ที่อ่าวโล๊ะปาเหรดขึ้นชื่อเรื่องโรตี เสียดายที่ผมไปช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม เลยไม่ได้ลิ้มลองโรตีของเด็ดของดังของที่นี่เลยครับ

แล้วเวลาที่ลอยคอ เอ๊ย รอคอยก็มาถึงกับอาหารมื้อเย็นที่บ้านริมน้ำเรสเทอรองครับ




บรรยากาศยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ภายนอกอาจจะดูเป็นร้านเล็กๆ แต่คุณภาพและรสชาติของอาหารไม่เล็กตามขนาดของร้านนะครับ การต้อนรับดูแลลูกค้าก็ดีมากๆ ให้อารมณ์เหมือนมากินข้าวบ้านญาติเลยครับ


เริ่มที่ยำปลาฉิ้งฉ้าง รสชาติเปรี้ยวเผ็ดกำลังดี ปลาฉิ้งฉ้างแห้งนับเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเกาะยาวใหญ่เลยครับ


กุ้งผัดกะปิสะตอ มารอบก่อนก็เมนูนี้ มารอบนี้ขอซ้ำอีกสักรอบ กะปิผัดได้นัวเลยทีเดียว กุ้งเนื้อแน่นเด้งได้ใจ ทานคู่กับข้าวร้อนๆ หรอยอย่างแรง


ปลาทอดน้ำปลา ทอดปลาออกมาได้กรอบนอกนุ่มใน เพิ่มความหวานด้วยน้ำปลา ถ้าใครชอบรสจัดก็จิ้มน้ำจิ้มเพื่อเพิ่มรสชาติได้ เมนูนี้สั่งซ้ำจากครั้งที่แล้วเช่นกัน


กุ้งผัดซอสมะขาม กุ้งตัวโตๆ เนื้อแน่นๆ ราดด้วยน้ำซอสมะขามที่หวานอมเปรี้ยว ไม่ผิดหวังเลยที่สั่งเมนูนี้มาครับ


แกงส้มเนื้อปลา รสชาติเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดได้ใจ เนื้อปลามาเน้นๆ รอบที่แล้วสั่งผักรวมไป มารอบนี้สั่งเป็นยอดมะพร้าว ฝีมือแม่ครัวคงเส้นคงวาจริงๆ


ตามมาด้วยปูนึ่ง เนื้อปูหวานมาก หวานจนไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้มให้เสียรสชาติความหวานที่มาจากความสดของปู


ตบท้ายด้วยของหวานอย่างกล้วยบวชชีมะพร้าวอ่อน ที่ร้านจะใช้กล้วยหอมบ้านแบบสุกกำลังดี ซึ่งถูกใจผมมากๆ เพราะผมชอบกินกล้วยบวชชีแบบนิ่มๆ รสชาติของกล้วยมันจะจี๊ดจ๊าดกว่ากล้วยแบบแข็งๆ ดิบๆ สำหรับน้ำของกล้วยบวชชีก็เข้มข้น หวาน มัน เพิ่มอรรถรสในการเคี้ยวด้วยเนื้อมะพร้าวอ่อนและงาครับ



ทานข้าวเคล้ากับบรรยากาศริมทะเล มันยิ่งเพิ่มความอร่อยให้กับอาหารมื้อนั้นเข้าไปอีก ฝนที่นี่มาไวไปไวจริงๆ ตกไม่เกิน 10 นาทีก็ไปซะแล้ว ถึงแม้ฝนจะตกแต่ก็ยังส่งรุ้งมาสร้างสีสันให้กับอาหารมื้อเย็นของผมด้วยครับ

ถ้าหากใครมาเที่ยวเกาะยาวใหญ่แล้วสนใจจะมาฝากท้องที่บ้านริมน้ำเรสเทอรองเหมือนกับผม ร้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือคลองเหีย เปิดตั้งแต่ 11.00-19.00 น. สามารถโทรจองที่นั่งกันก่อน ที่ 081-9562141 นะครับ เผื่อลูกค้าแน่นร้าน จะได้ไม่เสียเวลารอครับ รับรองว่าอร่อยเด็ดทุกเมนู แถมราคาไม่แรงด้วยครับ

ได้เวลาอันควร คงต้องเข้าที่พักกันแล้ว คืนนี้ผมเข้าพักที่ Betterview Bed Breakfast & Bungalow ครับ

Betterview Bed Breakfast & Bungalow ตั้งอยู่ที่อ่าวทิวสน ทางเข้าของรีสอร์ทค่อนข้างแคบ ไม่มีที่จอดรถยนต์ แต่สามารถจอดรถมอเตอร์ไซด์ได้ บังณีต้องขับถอยหลังพาพวกเราเข้ามาส่งยังรีสอร์ทเนื่องจากด้านในไม่มีที่กลับรถครับ สำหรับแผนกต้อนรับค่อนข้างเรียบง่าย มีบาร์เล็กๆ ตั้งอยู่เคียงคู่กัน ด้านหลังของส่วนต้อนรับจะเป็นห้องอาหารครับ


Welcome Drink เป็นน้ำลิ้นจี่ปั่น จิบแล้วสดชื่นมากๆ ครับ


ผมจองห้องแบบ Bungalow ไว้ ภายนอกอาจจะดูเก่าไปสักนิด แต่ภายในนี่...




ภายในค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว สภาพดูใหม่กว่าด้านนอกมาก อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีโซฟาไว้ให้นั่งเล่นดูทีวีด้วย (แต่สัญญาณดาวเทียมดูไม่ได้เลยสักช่อง สอบถามผู้ดูแล แจ้งว่าอาจเป็นเพราะฝนตกเลยทำให้สัญญาณดาวเทียมขัดข้อง แต่เช้าอีกวันฟ้าแจ่มใส สัญญาณดาวเทียมก็ยังดูไม่ได้เช่นเดิม)


ภายในห้องน้ำค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว เปิดประตูเข้าไปด้านซ้ายจะเป็นอ่างอาบน้ำแบบน้ำวนที่สามารถแช่น้ำไปชมวิวภายนอกไป (มู่ลี่เป็นมู่ลี่ไม้ไผ่แบบบางๆ คล้ายๆ ไม้เสียบลูกชิ้น ไม่สามารถเลื่อนเปิดปิดได้ ทำให้ช่วงกลางคืนหากเปิดไฟในห้องน้ำแล้วนอนแช่อ่าง คนที่อยู่ภายนอกห้องน้ำจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าหากเราจะทำกิจกรรมต่างๆ เช่นเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ โดยที่ไม่แช่อ่างอาบน้ำ เราสามารถปิดผ้าม่านที่อยู่ถัดออกมาจากอ่างอาบน้ำได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้คนภายนอกมองเห็นด้านในห้องน้ำ)


แยกส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกัน นับว่าออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้ดีเลยทีเดียวครับ



สระว่ายน้ำส่วนกลางของรีสอร์ทตั้งอยู่กลางรีสอร์ทเลยครับ มองเห็นวิวทะเลได้ด้วย


บรรยากาศยามค่ำ เงียบสงบดีครับ



สำหรับอาหารเช้าจะเป็นข้าวต้ม มีข้าวต้มกุ้ง ข้าวต้มไก่ให้เลือก มีเมนูไข่ ขนมปัง แพนเค๊ก และผลไม้อย่างแตงโมและมะม่วงสุกครับ


ภาพรวมของ Betterview Bed Breakfast & Bungalow ถือว่าโอเคเลยครับ ห้องกว้าง เงียบสงบดีครับ

ที่ Betterview Bed Breakfast & Bungalow สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าได้ด้วยนะครับ




ที่อ่าวทิวสน นับเป็นอีกหนึ่งจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยไม่แพ้ที่ไหนเลย ภาพดวงอาทิตย์กลมโตโผล่ขึ้นมาเหนือป่าเกาะ มีเรือประมงที่ออกแล่นไปมาเป็นฉากหน้า ช่วงเวลาเปลี่ยน ความสวยงามของท้องฟ้าก็เปลี่ยนแปลงตามเช่นกัน


พอสายหน่อยน้ำเริ่มลงครับ เมื่อวานช่วงที่มาถึงรีสอร์ท น้ำทะเลขึ้นสูงจนมองไม่เห็นชายหาด แต่เช้านี้กลับมีหาดทรายให้ได้เดินเล่นไปเรื่อยๆ มองออกไปริบๆ เห็นแหลมหาดด้วย ก่อนกลับ บังณีพาแวะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงแพะ ตำบลเกาะยาวใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ทางเข้าแหลมหาดครับ





ภายในศูนย์มีผลิตภัณฑ์จากนมแพะนำมาแปรรูปเป็นแชมพู ครีมนวดผม ครีมอาบน้ำ โลชั่น และสบู่ก้อน นอกจากนี้ยังมีไข่เค็มใบเตย และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกล้วยจำหน่ายด้วย

สงสัยไหมครับว่าทำไมต้องน้ำนมแพะด้วย เพราะน้ำนมแพะมีคุณสมบัติเป็นไลโพโซมธรรมชาติที่ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ กระจายตัวได้ดี จึงสามารถดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย นมแพะมีกรดคาพรีลิคช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วมีวิตามินเอช่วยสร้างเซลล์ผิวหนัง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ผิวและผมแข็งแรง นอกจากนี้ยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย บำรุงผิวพรรณให้สดใสอยู่เสมอ ถ้าหากใครสนใจแวะไปอุดหนุนสินค้าจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงแพะ ตำบลเกาะยาวใหญ่กันได้นะครับ

ยังพอมีเวลาเหลืออยู่อีกนิดหน่อย บังณีเลยพาผมขับรถเรื่อยไปจนถึงอ่าวคลองสน ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือคลองเหียประมาณ 10 นาทีครับ



ช่วงที่ไปถึงน้ำทะเลลงค่อนข้างเยอะเลย อ่าวคลองสนมีชายหาดที่ทอดยาวและมีแนวสนปลูกเป็นทิวเรียงรายอยู่ริมหาด


จากอ่าวคลองสน สามารถมองเห็นสันธิญารีสอร์ทได้ด้วยครับ


ปูลมตัวน้อยๆ ออกมาหากิน มาที่อ่าวคลองสนไม่ยักเจอปูลมตัวใหญ่ๆ เหมือนที่อ่าวหินกองครับ


น้ำลงค่อนข้างเยอะเลย ติดกับชายหาดคลองสน ยังมีป่าชายเลนด้วยครับ




ก่อนกลับ บังณีขับรถพาผมเข้าไปชมป่าชายเลนใกล้ๆ กับอ่าวคลองสน บริเวณนี้มีการเลี้ยงปลาในกระชังด้วยครับ



ถึงเวลาที่จะต้องอำลาเกาะยาวใหญ่แล้ว การมาเกาะยาวใหญ่ในครั้งนี้ ผมได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ ความเจริญต่างๆ เริ่มคลืบคลานเข้ามายังเกาะยาวใหญ่ 7-11 มีผุดขึ้นมาอีก 1 ร้าน นอกจากนี้ยังมีรีสอร์ทน้อยใหญ่ผุดขึ้นมามากกว่าเดิม และแว่วๆ มาว่าจะมีโรงแรมหรูอย่าง Intercontinental มาสร้างบนเกาะยาวใหญ่ด้วย ผมคงได้แต่ภาวนาว่าความเจริญคงจะไม่มาทำให้วิถีชีวิตช้าๆ ของชาวเกาะยาวใหญ่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

แอบโฆษณาให้บังณีสักหน่อยครับ เพราะผมประทับใจกับการให้บริการของบังณีเป็นอย่างมาก บังเป็นคนพูดง่าย จะให้ไปไหนอย่างไร รอผมถ่ายรูปนานแค่ไหน บังณีไม่เคยปริปากบ่น ใครสนใจจะใช้บริการบังณี ติดต่อได้ที่ 081-8931343 นอกจากรถเหมาแล้ว บังนียังเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวได้เข้าพักด้วยนะครับ ในราคาห้องละ 800 บาท (บังบอกผมว่าจะนอนกี่คนก็ได้) บ้านบังนีอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือคลองเหียและยังเป็นมินิมาร์ทอีกด้วย หากใครกำลังมองหาที่พักบนเกาะยาวใหญ่ในราคาถูก ไม่ยึดติดเรื่องวิวทะเล บ้านบังณีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเลยครับ

สำหรับทริปนี้นับเป็นอีกหนึ่งทริปที่ผมประทับใจมากๆ ใครที่อยากมาใช้ชีวิตช้าๆ ริมทะเลแบบผม แนะนำ 2 เกาะนี้เลยครับ นาคาใหญ่ ยาวใหญ่ ไม่ไปไม่ได้แล้ว...

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ความคิดเห็น