" ดอยไม่ดัง แต่เดินมัน!!! " เป็นชื่อที่เพื่อนๆในทริปใช้เรียกถึง "ดอยมณฑา" แห่งนี้
สารภาพตามตรงว่า ตอนแรกดอยนี้ไม่เคยอยู่ใน list ที่อยากจะไปเลยแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่พอดีเพื่อนมาชวนให้ไปแจมร่วมกับทริปหารเฉลี่ยที่คนขาดพอดี ก็เลยยอมไปด้วย พอตัดสินใจได้ก็เก็บของสะพายเป้ทันที
โดยเป้าหมายครั้งนี้ของเราคือ "ดอยมณฑา" ดอยที่อยู่ภายใต้พื้นที่การดูแลของ อช.ตากสินมหาราช อยู่ระหว่างเส้นแบ่งของ อ.แม่สอด กับ อ.เมือง ทำให้ไม่ต้องใช้เวลานั่งอยู่บนรถนานๆ ออกเดินทางตอนประมาณ 4ทุ่ม ก็มาถึงที่ทำการตอนตี 4กว่าๆพอดี นั่งรอเจ้าหน้าที่มารับลงทะเบียนราวๆ 6โมงเช้า ระหว่างนั้นก็ล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำไปตามระเบียบ
ข้อมูลสำคัญในการเที่ยวดอยมณฑา
- ระยะเวลาที่เหมาะสม : 2วัน 1คืน
- สภาพเส้นทาง : เนินชัน ลุยน้ำ
- ห้องนำ้ : ไม่มี
- แหล่งน้ำใช้ : มี
- ช่วงเวลาเปิด : ช่วงประมาณ ตค-ธค ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำบนเขา
- การติดต่อ : ติดต่อ อช. ตากสินมหาราช
- ค่าธรรมเนียม อช. : 40บาท/คน
- ค่าไกด์/เจ้าหน้าที่ : 1200 บาท/คน
- ค่าลูกหาบ : 1000 บาท/คน
- ค่ารถรับส่งจุดเริ่มเดิน : 200 บาท/คัน
- ค่าธรรมเนียมหมู่บ้าน : 100บาท/คน
ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ที่ Page Facebook ของเรา >>> https://www.facebook.com/Backpacktime/
พอเกือบๆ 6โมงเช้า เจ้าหน้าที่ก็มาเรียกให้ไปลงทะเบียน ซึ่งต้องกรอกข้อมูลทุกคน โดยในรายละเอียดก็จะมีบอกว่ากฏกติกาในการท่องเที่ยวเส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยมณฑามีอะไรบ้าง และก็จ่ายค่าธรรมเนียม อช. คนละ 40บาท
จากนั้นเราได้ออกเดินทางไปตามเส้นทาง ตาก-แม่สอด พร้อมแวะซื้อเสบียงและทานข้าวเช้าที่ตลาดมูเซอและเดินทางต่อไปยังวัดปูแป้
เวลาประมาณ 9.00 น. พวกเราก็มาถึงที่วัดปูแป้ ทุกคนต่างก็จัดเตรียมสัมภาระว่าอันไหนจะให้เป็นส่วนกลาง อันไหนแบกเอง เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ก่อนที่จะโดดขึ้นรถอีแต๊ก เพื่อออกเดินทางมายังจุดเ
เส้นทางจากวัดปูแป้-จุดเริ่มเดิน จะเริ่มจากวิ่งเรียบไร่ข้าวโพดของชาวบ้านไปตามทางดินเรียบๆ แล้วค่อยๆทวีความขรุขระขึ้นเรื่อยๆ แล้วยิ่งพอยิ่งไกลก็ยิ่ง ลุยโคลน ลุยน้ำ กันไปตามเรื่องตามราว สร้างสีสันให้มีเรื่องน่าจดจำระ
แต่... แต่... แต่... รถไปไม่ถึงจุดเริ่มเดิน เนื่องจากเมื่อคืนมีฝนตกหนัก ทำให้น้ำในลำธารสูงขึ้น ชาวบ้านไม่มั่นใจว่า รถอีแต๊กจะสามารถเข้าไม่ถึงจุดเริ่มเดินปกติได้ ทำให้เราต้องเริ่มเดินจากอ
เดินไปซักพัก ระหว่างทางก็เจอคุณยาย 2คน กำลังเดินกลับบ้านมาเส้นทางเดียวกับเรา ก็อดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพเอาไว้ พอคุณยายเห็นเราหยิบกล้อง แกก็ส่งรอยยิ้มที่เป็นมิตรให้กับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นทันที ก่อนจะเดินผ่านพวกเราไป
นอกจากวิวทุ่งนาที่เราต้องเดินตัดผ่านแล้ว ก็จะมีเดินตัดผ่านไร่ข้าวโพด ที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ถึงแม้จะเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พวกเราก็ยังอุตส่าห์ไปขอแบ่ง เพื่อเอามาย่างก
เดินตามคันดินตัดไรข้าวโพดไปซักพัก เส้นทางก็จะเริ่มมีลำธารเล็กๆไหลผ่านลงมายังหมู่บ้
สังเกตุได้จากรองเท้าลูกหาบกับเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่ใส่เป็นสตั๊ดดอยก็จะเป็นรองเท้าบู๊ทที่เราไว้ใส่กันตอนเดินลุยน้ำท่วมแถวบ้าน
เดินมาได้สักพักก็จะเจอกับบ้านของชาวบ้าน หรือก็คือบ้านของคุณยาย 2ท่านที่เดินมาก่อนหน้าเรานั่นเองลูกหาบบอกให้พวกเรารอเพื่อนๆที่จุด
เมื่อทุกคนมาพร้อมกันหมด เราก็เริ่มออกเดินกันอีกครั้ง โดยเส้นทางเดินช่วงแรก เราจะเลาะลำธารไ
พวกเราใช้ระยะเวลาเดินประมาณ 2ชม จนมาถึงน้ำตกที่เป็นจุดแยกส
- เส้นวิวสวย เดินไกล แต่ชันน้อย (อันนี้รู้ทีหลังว่าโดนหลอกเต็มๆ)
- เส้นวิวป่า เลาะลำธาร ระยะทางสั้นกว่า แต่ชันมากกว่า
เราก็เลือกไปทางวิวสว
ระหว่างนั่งกินข้าว ก็แอบเก็บภาพน้ำตกไปเรื่อย ถ
ระหว่างทางเดินถ้าสังเกตดีๆ เราจะเจอสัตว์เล็กๆ อย่างพวกจั๊กจั่น แมลงนู่นนี่นั่นและรวมไปถึงสัตว์มีพิษอย่างพวกตะขาบ ที่มักจะอยู่ชอบอยู่ในที่ชื้นๆ ตอนนั่งพักก็ระวังๆกันด้วย
เดินไปพักไป โดยเริ่มไต่ความสูงผ่านเนิน
แต่การจะไปถึงยอดดอยมณฑานั้น ไม่ใช่จะผ่านกันไปง่ายๆ เพราะเราต้
เหลือบมองตาไปไกลๆ ก็จะเห็นทีมที่เดินมาก่อนเป็นตัวเล็กอยู่บนสันเขา ค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆ สลับกับนั่งพักเหนื่อยจากความชัน และไอร้อน
กัดฟันแล้วเดินฝ่าไอแดด จนพ้นเนิน3 มาได้ สิ่งสำคัญที่ห้ามลืม ก็คือต้องมองย้อนกลับไปดูวิวด้านหลัง เพราะความเหนื่อยของเราได้แลกมากับวิวเทือกเขาทอดยาวที่สวยงามไม่แพ้ยอดดอยอื่น และหัวเราะไปกับความคิดในหัวว่า "ชั้นมาทำอะไรที่นี่"
สุดท้ายถึงแม้จะผ่านเนิน3 มาแล้ว แต่การเดินทางของเรายังไม่จบ เรายังต้องเดินต่อไ
ปลายทางที่พักตั้งแคมป์ คือ บริเวณรอบๆยอดดอยมณฑา ถ้าใครขึ้นมาโชคดีจะได้เห็นวิวพระอาท
ส่วนพอตกเย็น ทีมงานแม่ครัวก็หุงหาอาหารกันให้กับสมาชิกได้อิ่มท้องกันถ้วนหน้า และพูดคุยกันตามภาษาคนรักการเดินป่า อ่อ ที่นี่น้ำค้างแรงนะ ต้องกางฟลายชีทคุมแค้มป์กลางด้วยนะ ไม่งั้นได้แยกย้ายกันไปอยู่เต้นท์ใคร
เช้าวันถัดมา ออกจากเต๊นท์มา ก็มีหมอกมาทักทายให้เห็นพอประม
ทานข้าว จิบกาแฟเคล้าสายหมอกไปพลาง แบบไม่เร่งรีบ จนสายๆราว 9โมงเช้า ก็เก็บเต๊นท์ ข้าวของ สะพายเป้ออกเดินทาง ส่วนขาลง เราเลือกเดินลงมาอีกทาง คือเดินลงเส้นวิวป่าที่ยาวแค่
หลังจากนั้นก็เดินกลับไปยังจุดเริ่มเดิน เพื่อขึ้นรถอีแต๊กกลับวัดปูแป้ ก็เป็นอันจบทริปโดยสมบูรณ์....
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ เพื่อนสีที่ชวนผมไปเดินป่ากับทริปดีทริปนี้ ที่ให้โอกาสผมติดสอยห้อยตาม
Samakida Somkid
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 00.17 น.