ระหว่างที่กำลังมองหาที่เดินป่าหลังจากที่หยุดเที่ยวไปนานด้วยสถานการณ์โควิทในบ้านเรา ก็ได้รับคำเชื้อเชิญจาก "เจ๊กิ๊ก" หรือบางคนก็เรียก "ป้ากิ๊ก" ผู้จัดทริปจากเพจฅนบ้าเดินป่าไปหาเขา ว่าให้มาลุยคลองยันด้วยกันซิ อยากให้แกมาอันนี้มากกว่าทริปอื่นๆ  พร้อมกับคำบรรยายสรรพคุณของที่นี่ว่า เดินประมาณ 86km อยู่ด้วยกันยาวๆ 7วัน 6คืน  แถมพ่วงท้ายด้วยสโลแกนอีกว่า "คลองยัน เดินยันหว่าง" 

เราเองก็ตัดสินใจเปิดหารีวิวอ่านอยู่พักนึง และก็นั่งคิดว่าร่างกายเราจะไหวไหม จะไปเป็นภาระใครหรือเปล่า เพราะ 7วันที่อยู่ในป่า ยังไงก็ต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ แต่คิดไปคิดมาก็เอาไงเอากันวะ เพราะไม่รู้จะมีโอกาสได้ไปเดินป่าเส้นยาวๆ หลายๆคืนแบบนี้อีกเมื่อไหร่  พอตัดสินใจได้ก็รีบพิมพ์แชทไปบอกเจ๊กิ๊กว่า "เจ๊ๆ ผมไปคลองยันด้วยนะ" เท่านั้นแหละร่างกายก็ตื่นตัวเหมือนกลับมาเป็นเด็กน้อยหัดเดินป่าอีกครั้ง

เหมือนเคย ก่อนจะเริ่มออกเดินทางไปกับบันทึกการเดินทางครั้งนี้ ขอพามาดูรายละเอียดค่าใช้จ่ายคร่าวๆ และการเตรียมตัวกันซักเล็กน้อย สำหรับคนที่อยากไปเยือนเส้นทางเดินป่าระยะไกลเส้นนี้

เรื่องเงินๆทองๆ

- ค่า Staff 1000 บาท/คน/วัน Staff แต่ละคนสามารถช่วยแบกของกองกลางได้ไม่เกิน 16 กิโล 

- ค่ารถรับส่ง จากตัวเมืองระนอง-หน่วยพิทักษ์วังน้ำเย็น คันละ 2500 บาท

- ค่าบำรุงหน่วยพัฒนาเส้นทาง 1000บาท

- ค่ารถกรุงเทพ-ระนอง-กะเปอร์ ราคาแตกต่างตามวิธีการเดินทางแต่ละคน

- ค่าอาหาร แล้วแต่การบริหารจัดการของคณะเดินทาง

เตรียมตัวไงดี?

- ทริปนี้คิดว่าไม่เหมาะกับมือใหม่ อยากให้เคยผ่านป่าภาคใต้มาบ้าง แต่ถ้าเคยผ่านมาบ้างแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่กำลังกายกับกำลังใจแล้ว ถ้าใจสู้ ไม่ย่อท้อระหว่างทาง ผ่าน 2วันแรกได้ วันอื่นๆคือการพักผ่อนที่ดีงาม

- น้ำดื่มสำคัญมาก สำหรับวันแรกและวันที่สอง ไม่มีแหล่งน้ำเติมระหว่างทาง เติมได้อีกทีที่แคมป์ ต้องเตรียมน้ำไปให้เพียงพอ วันอื่นๆน้ำมีตลอดทาง

- อาหาร สำคัญไม่แพ้กัน เตรียมอาหารแห้งเยอะๆ แนะนำโปรตีนเกษตร ไม่หนักมาก ใช้แก้เบื่อได้ สำหรับคนไม่ชอบกุนเชียง

- การแต่งกายต้องรัดกุม ควรเป็นเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ไม่งั้นตัวลายแน่นอน หนามเยอะมาก 

- รองเท้า เอาดอกลึกๆไว้ก่อน แห้งง่ายๆ แนะนำสตั้ดดอย แต่มันไม่มี support เดินก็จะเจ็บๆเท้าหน่อย หรือจะพกรองเท้าไป 2คู่ก็ได้ แบบลุยน้ำคู่ กับเดินป่าอีกคู่

- ถุงมือ มีก็ดีไม่มีก็ได้ แต่มีไว้ดีกว่า หนามเยอะ เผื่อพลาดเอามือไปจับหนามเข้า

- ยากันแมลง มีมันทุกอย่าง ตั้งแต่ตัวเหลือบ เห็บลม คอยลุ้นเอาว่าจะโดนตัวไรกัดบ้าง ส่วนทาก ไม่ต้องห่วง มีให้ทั่ว เลือดไหลอย่างกับมีประจำเดือน 

- การขับถ่าย ห้องน้ำธรรมชาติล้วนๆ อย่าลืมติดพลั่วไปขุดกันด้วยนะ

-  ที่นอน ได้ทั้งเต๊นท์ และเปล แล้วแต่ความชอบ แต่ถ้านอนเต๊นท์ควรมีอะไรรองนอน

ต้องไปไปกี่วัน?

7วัน 6คืน กับระยะทาง 68KM (วัดเองจากนาฬิกาที่ใช้) ซึ่งระยะทางของแต่ละกลุ่มอาจจะไม่เท่ากัน เนื่องจากปริมาณน้ำในคลองยันที่มีผลต่อการเดินตัดเส้นทางไปมา

อยากไปต้องติดต่อใคร?

ถ้าติดต่อโดยตรง ต้องคนนี้เลย "ตุลา" เป็นกันเอง ใส่ใจ และดูแลดีมาก ก ไก่ ล้านนน..ตัว ฝากข้อความเอาไว้ เพราะบางครั้งคนนำอยู่ในป่า ไม่มีสัญญาณ https://www.facebook.com/profi...

แต่ไปหลายๆวัน ต้องเตรียมการเยอะแยะ ไม่รู้จะจัดการยังไง หรือไม่รู้จะไปใคร แนะนำติดต่อเจ๊กิ๊กเลย https://www.facebook.com/TrekM... เดี๋ยวแกดูแลให้หมด พกมาแค่ตัวกับหัวใจและของใช้ส่วนตัวพอ 

-------------------------------------------------------------------------------------

ฝากติดตาม IG หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

https://www.instagram.com/backpacktime_kid

หรือช่องทาง Youtube ถ้าชอบดูบรรยากาศการเดินทางในรูปแบบวีดีโอ 

https://www.youtube.com/backpacktime

-------------------------------------------------------------------------------------

เอาล่ะๆ มาเริ่มออกเดินทางไปกับบันทึกการเดินทางฉบับนี้ด้วยกัน

Day 0.5 : เริ่มต้นออกเดินทาง

เมื่อถึงเย็นวันนัดหมายที่ตกลงกันไว้ สมาชิกทุกคนต่างคนต่างจองตั๋วต่างเดินทางกันเอง สะดวกแบบไหนก็เดินทางกันแบบนั้น ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  โดยมีจุดหมายปลายทางที่ อ.กะเปอร์ จ.ระนอง โดยกลุ่มที่เริ่มจากกรุงเทพ ก็นัดแนะกันว่าจะจองรถของสมบัติทัวร์ ไปลงที่ บขส. ระนอง แล้วติดต่อให้รถมารับที่ตัวเมืองไปส่งยังบ้านของ "ตุลา" ที่เป็นคนนำทาง และเป็นหัวหน้าทีมบ้านนาพาเที่ยว เพื่อจัดเตรียมสัมภาระ

เมื่อมาถึงบ้านของตุลา ที่จะเป็นคนรับผิดชอบออกนำคณะเดินทางเข้าไปยังผืนป่าคลองยันครั้งนี้ พวกเราก็เริ่มก็จัดแจงวางสัมภาระที่นำมา เจ๊กิ๊กที่ยังดูไม่ตื่นดีนัก  ก็แบ่งหน้าที่ให้แต่ละคนช่วยกันจัดแจงของกองกลางว่าให้ใครจะช่วยแบกอะไรได้บ้าง และแบ่งคนบางส่วนไปซื้อเสบียงสำหรับมื้อเช้า และมื้อกลางวันที่ตลาดกะเปอร์ เพื่อเร่งเวลาให้เริ่มออกเดินให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากเดินถึงแคมป์แรกให้เย็นมากนัก

โดยที่ตลาดเช้าที่กะเปอร์ ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ก็เลยเตรียมเสบียงมาเป็นข้าวเหนียวไก่ ห่อใหญ่ๆกันไปคนละห่อสำหรับมื้อกลางวัน

ราวๆ 9โมงเช้า หลังจากที่เจ๊กิ๊กวุ่นวายสั่งการจนทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เสียงเครื่องยนต์จากรถกระบะ hilux tiger ก็สตาร์ทขึ้น เป็นสัญญาณว่าคณะเดินทางของพวกเรา พร้อมที่จะออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังจุดเริ่มเดินที่ "หน่วยพิทักษ์วังน้ำเย็น" กันแล้ว

-------------------------------------------------------

Day1 : การร่วมทางของคนแปลกหน้า

Route : หน่วยพิทักษ์ป่าวังน้ำเย็น-แคมป์บัวตูม (ระยะทาง 8KM)

จากบ้านตุลามาถึงหน่วยพิทักษ์ใช้เวลาเดินทางราวๆครึ่งชั่วโมง ต่างคนต่างช่วยกันทยอยของลงจากรถ และก็ได้พบ จนท ป่าไม้ 2คน รออยู่แล้วตามที่นัดหมายเอาไว้ คือ "พี่นพ" กับ "พี่เสริฐ" ที่จะร่วมเดินทางไปกับเรา พร้อมกับทำงานลาดตะเวน จดบันทึกข้อมูล GPS ส่งข้อมูลกลับไปยังหน่วย

ทริปนี้ประกอบด้วยนักท่องเที่ยว 8 คน คนนำท้องถิ่น 4 จนท.ป่าไม้ 2 รวมทั้งสิ้น 14คน เริ่มแรกทุกคนยังคงไม่สนิทกัน ไม่ค่อยมีการหยอกล้อ ดูจะพูดคุยกันแบบเกร็งๆกันอยู่ด้วยซ้ำ แต่สิ่งแรกที่ตกใจที่สุดของทริปนี้ ก็คือ เพื่อนร่วมทริปในครั้งนี้ "อาปัญญา" คุณอารุ่นใหญ่ที่มาทราบภายหลังว่าอายุในตอนนั้นของอาแก คือ 69ปี!!! เป็นครั้งแรกเลยที่พึ่งเคยเจอคนอายุเกิน 60 ปีมาเดินป่าด้วยกัน แวบแรกที่เห็นอา ถึงกับต้องรีบกวาดสายตาไปมองที่ขาอาแกก่อนเลย เพราะคนอายุเท่านี้ ถ้าไม่แน่จริงไม่มาเดินป่าแน่นอน และบทพิสูจน์ตลอด7วันต่อมา ต้องยอมรับเลยว่า "อาปัญญาแกของจริง"

และนี่คือภาพหมู่รูปแรกและรูปเดียวของทริปเรา ถูกถ่ายไว้โดยกล้องฟิล์มของอาปัญญา

10โมงเช้า คิอเวลาที่เริ่มต้นออกเดินจริง เหมือนทุกครั้งๆ ตอนเริ่มต้นทุกคนก็จะเดินจับกลุ่มกันอยู่ ไม่ทิ้งห่างกันมาก จากนั้นฝีเท้าของแต่ละคน ก็จะคัดสรรให้เองว่าคนไหนคือกลุ่มที่เราต้องเดินด้วยตลอด 7วันนี้ ซึ่งสายสลอธ เดินเนิบๆ เดินเรื่อยๆอย่างผมก็กลายเป็นกลุ่มรั้งท้ายเช่นเคย โดยมีผู้ร่วมชะตากรรมเป็น "ไข่มุก" สาวน้อยที่เด็กที่สุดในกลุ่ม จากที่ปกติเดินแล้วเหนื่อยขา ครั้งนี้ต้องมาดูแลเด็กเพิ่มอีก  และอย่าถามว่าจะได้เจอสัตว์ป่าไหม สัตว์ป่าคงวิ่งกระเจิงห่างออกไปเป็นกิโลๆได้ด้วยอาการผวาเสียงอันทรงพลังของสาวน้อย เหลือไว้แต่เพียงรอยเท้าให้ดู แต่พอมีความน่าเอ็นดูในความบ้าและตรงไปตรงมาของนางอยู่ไม่น้อย ส่วนคนนำปิดท้ายที่มาด้วยกันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ตุลา ที่แม้จะมีหน้าที่เป็นคนนำ แต่ก็ต้องมาเดินรั้งท้าย เพื่อรับมือกับสลอธ 2ตัว จนเกิดเป็นทีมจ่าฝูงปลอมๆ ที่พอเดินทันทีมข้างหน้าทีไร ทุกคนก็จะลุกขึ้นเดินพร้อมกับคำพูดติดปากของ "พี่เปีย" พี่สาวขาแรงชาวไต้หวันที่เป็นดั่งจ่าฝูงของจริง  ที่จะพูดขึ้นมาดังๆว่า "จะไปแล้วน้าาาาาาาาาา......." ให้หลอนติดหูกันไปทั้งทริป

เส้นทางเดินของวันนี้ เริ่มต้นด้วยทางราบเพียงชั่วอึดใจ จากนั้นจะจะเริ่มไต่ระดับจากความสูงประมาณ 120เมตรจากระดับน้ำทะเล ไปยัง 720เมตร โดยส่วนใหญ่เป็นทางขึ้น จะมีเดินลงบ้างเล็กน้อย ระหว่างทางไม่มีแหล่งน้ำให้เติม ทุกคนต้องเตรียมมาให้เพียงพอจนกว่าจะเดินถึงแคมป์แรก ส่วนสภาพป่าในช่วงแรกเป็นป่าทึบ ตอนเดินแรกๆจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็พอมีลมบ้างให้พอชื่นใจ จนผ่านหลังช่วงพักกลางวันกินข้าว จะเริ่มเห็นเรือนยอดไม้ และป่าที่โปร่งขึ้น ซึ่งจุดที่ควรระวังบนเส้นทางนี้ก็คือหนาม จากพืชประเภทหวาย ที่พร้อมจะเกาะเกี่ยวทุกอย่างที่สัมผัสมัน และกางเกงตัวโปรดผมก็ตกป็นเหยื่อของมันตั้งแต่วันแรกนี้เลย

เดินไปคุยไปให้คลายความเหนื่อย ตุลาเล่าว่า ที่นี่ใช้สูตร 2:1 +1 คือ นทท. 2คน ใช้คนนำทาง 1คน และสุดท้ายบวกเพิ่มอีก 1คน ในการดูแลนักท่องเที่ยว ตุลาถามผมตรงๆว่าคิดว่าใช้คนเยอะไปไหม สำหรับบางคนอาจจะมองว่าเยอะเกินไปและเป็นภาระค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะคนที่อาจจะเดินเก่งๆ และมีความชำนาญมากๆ แต่สำหรับผมการเดินป่าใต้ ระยะทางไกลๆ มันก็สมเหตุสมผล ที่จะใช้คนเยอะ เพราะมีทั้งเรื่องของเสบียงที่ต้องแบก การดูแลระหว่างทาง รวมไปถึงการดูแลนักท่องเที่ยวกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา

ราวๆ 5โมงเย็น แก๊งค์จ่าฝูงก็มาถึงแคมป์บัวผุดเป็นกลุ่มสุดท้ายตามที่คาดไว้ ทุกคนต่างทักทายด้วยความเป็นกันเองว่า "มัวไปขุดหน่อไม้กันอยู่เหรอ ถึงพึ่งมาถึง" ไอ้เราก็ทำได้แค่ยิ้มรับ ก่อนไปจับจองหาที่กางเต็นท์ ผูกเปล และทานข้าวเย็นร่วมกันในค่ำคืนแรกบนผืนป่าคลองยัน ฟังสรุปสั้นๆเรื่องการเตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้นจากตุลา พร้อมรับฟังประสบการณ์ชีวิตจากอาปัญญาที่มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะเรื่องสมัยหนุ่มๆของแก 

ในค่ำคืนนั้นจากคนแปลกหน้า 14คน ที่ต่างคนต่างที่มา ก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มรู้ว่าใครเป็นยังไง ควรคุยด้วยกันเรื่องอะไรในวันต่อๆไป และจะแหย่กันด้วยเรื่องอะไร ให้มีเสียงหัวเราะระหว่างทาง

สรุปภาพรวมของวันนี้หลักๆ ก็คือ อยู่ในป่าไม่เห็นวิวอะไรมากมาย จะมีก็แต่วิวทิวเขาให้ดูที่แคมป์บัวตูม แต่ถ้าเป็นคนชอบดูต้นไม้ มีเถาวัลย์ รูปทรงแปลกๆ หรือดูเห็ด ดูดอกไม้เล็กๆ ก็จะมีให้เห็นตามรายทางให้ถ่ายอยู่เรื่อยๆ

-------------------------------------------------------

Day2 : วันทรหด

Route : แคมป์บัวตูม-น้ำกลางสัน-ห้วยหินปูน (ระยะทาง 16KM)

"6-7-8" เป็นรหัสแจ้งกำหนดการการเดินทางที่ตุลาแจ้งให้เราทราบเมื่อคืน มีความหมายว่า ตื่น 6โมง กินข้าว 7โมง เริ่มเดิน 8โมง และวันนี้จะเป็นวันที่ต้องเดินหนักที่สุด จะผ่านด่านคลองยันได้ไหม ก็วัดกันที่วันนี้วันเดียวนี่แหละ ทุกคนจึงพยายามทำเวลาไม่ว่าจะกินข้าว เก็บของ ทำธุระหนักเบา ให้ทุกอย่างแล้วเสร็จก่อน 8โมง โดยมี พี่เปียและพี่ตุ้ย มานำกายบริหาร ยืดเส้นยืดสายยามเช้า ก่อนจะสะพายเป้ขึ้นบ่าออกลุยกันต่อ

8.15 แก๊งค์จ่าฝูงที่ไม่ใช่จ่าฝูง ก็ออกเดินเป็นกลุ่มสุดท้ายเช่นเคย โดยครั้งนี้ได้สมาชิกเข้าแก๊งค์เพิ่ม คือ "3พัน" หรือฉายา "ลุงพล" ที่ได้จากวงสนทนาเมื่อคืนสดๆ เพราะด้วยหน้าตาเข้มๆนิ่งๆ ประกอบกับผ้าขาวม้าที่เอามาใช้พันคอ พาดบ่า เวลาอยู่ในแคมป์ ทำให้ได้ฉายานี้มาครอบครองอย่างง่ายดาย 

ส่วนสาเหตุที่แคมป์แรกนี้มีชื่อว่าแคมป์บัวตูม ก็เพราะว่าที่นี่เรามีโอกาสที่จะได้เห็นดอกบัวผุด ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี และหาดูได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเมื่อบานแล้วจะบานอยู่แค่ 4-5วันเท่านั้น ซึ่งรอบนี้จังหวะที่มาจังหวะไม่ดีเท่าไหร่ ก็เลยเห็นแค่ดอกตูมๆเท่านั้น ใครจะมาก็ลองเชคจังหวะเวลาให้ดี จะได้เห็นตอนที่มันบานสวยๆให้เห็นใกล้ๆแคมป์กันเลย

เส้นทางวันนี้เริ่มแรกจะเป็นทางชันคล้ายๆวันแรก ระหว่างทางสามารถพบร่องรอยของสัตว์ต่างๆได้เยอะมากขึ้นกว่าวันแรก โดยเฉพาะตรงโป่งธรรมชาติระหว่างทางที่เดินผ่านมา จะได้เห็นทั้งรอยกระทิง กวาง หมูป่า และสมเสร็จ เต็มไปหมด เป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของผืนป่าคลองยันได้เป็นอย่างดีว่าป่าผืนนี้สมบูรณ์ขนาดไหน

เกือบบ่ายโมง พวกเราพักทานข้าวกันที่น้ำกลางสัน เป็นแหล่งน้ำเล็กๆให้พอได้กินดื่มเพิ่มความสดชื่น และกรองน้ำ เตรียมพร้อมสำหรับช่วงบ่ายที่จะไม่มีแหล่งน้ำให้เติมอีกต่อไปจนกว่าจะเดินไปใกล้ถึงแคมป์สอง

ทางเดินหลังออกจากน้ำกลางสันเป็นทางราบให้สบายใจอยู่เพียงอึดใจ ทุกคนก็ต้องกลับไปเป็นแพะภูเขาอีกครั้ง โดยเริ่มไต่สันเขาขึ้นๆลงๆ ประมาณลูก 2ลูก จนมาพักหยุดพร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคนอีกครั้ง โดยมี "โกบี" 1 ในคนนำของเราที่นั่งรออยู่กลางทาง พร้อมพูดบอกว่า "เห็นเขาลูกนั้นไหม ลูกนั้นแหละสูงที่สุดที่พวกเราจะต้องพิชิตมันให้ได้ก่อนที่จะเดินลงกันแบบยาวๆ"

พักจนพอหายเหนื่อย ทุกคนก็เริ่มไต่ระห่ำกันต่อ โดยเริ่มจากระดับความสูงประมาณ 800เมตร ขึ้นไปยังยอด 1000  หนทางยิ่งดูยิ่งไกล ยิ่งเดินยิ่งล้า เสียงหัวเราะที่เคยมีมาเริ่มเงียบลง  เจอไม้ใหญ่ล้มขวางตรงไหน ก็รู้สึกเหมือนจุดนั้นจะเป็นจุดพักซะให้ได้ แต่พอได้พัก ก็จะมีสัญญาณบอกให้รีบลุกขึ้นเดินต่อ เพราะถ้ามัวโอ้เอ้ ค่ำคืนนี้คงยาวไกลจนไม่อยากจะจินตนาการ

หลังผ่านยอด 1000 มาได้ แวบแรกมีความรู้สึกประสบความสำเร็จ ผ่านภารกิจที่ยากที่สุดของวันนี้แล้ว ที่เหลือก็แค่เดินลงเท่านั้น สบายๆเดี๋ยวก็ถึง แต่ความจริงมันโหดร้ายกว่าที่คิด เพราะหลังจากผ่านยอด 1000 เส้นทางที่เหลือ เราจะต้องเดินขึ้นเขาอีก 1ลูก แล้วก็ต้องเดินลงยาวๆ จากระดับความสูงประมาณ 900กว่าๆ ลงไปจนถึงที่ระดับความสูง 200 ทิ้งดิ่งกันแบบ non-stop ไปยังแคมป์สอง

เหลือบตามองดูนาฬิกา เกือบๆ5โมงเย็น ตอนนั้นยังมีแสงสว่างมองทางได้ชัดเจน ทุกคนก็รีบทำระยะทางให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่มีวี่แววที่จะได้ยินเสียงน้ำไหล อันเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงแคมป์สองเลย มีบางช่วงที่ได้ยินเสียงใบไม้ที่สีกันจนเกิดเสียง ก็คิดไปเองให้ดีใจเล่นว่าใกล้ถึงแหล่งน้ำแล้ว จนแล้วจนรอดแสงสุดท้ายที่มีก็หมดไป ความมืดเข้ามาปกคลุมแทนที่ เหลือเพียงแสงสลัวๆ สลับกับแสงไฟฉายฉายคาดหัว ที่ทุกคนหยิบออกมาใช้งานเตรียมพร้อมสำหรับ night trail !!! 

เดินป่าตอนกลางคืน ย่อมมีโอกาสที่จะออกนอกเส้นทางได้ง่าย เพราะวิสัยทัศน์ในการมองเห็นที่จำกัดขึ้น จำเป็นต้องพึ่งพาแสงจากไฟฉายเท่านั้น กลุ่มนำจึงลดฝีเท้าลงเพื่อหยุดรอกลุ่มหลัง และออกเดินไปพร้อมๆกัน ไม่รู้ว่าหลังหมดแสงไปนานเท่าไหร่ที่ก้มหน้าก้มตาเดินไปท่ามกลางความเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองอย่างชัดเจน บวกกับความหิวและอาการ "หมดสภาพ" ที่เพิ่มขึ้นๆ แตกต่างกับปริมาณน้ำในเป้ที่มีแต่จะลดลงๆ จนแทบไม่มีเหลือ

ช่วงสุดท้ายก่อนถึงแคมป์สอง ทีมคนนำทางบางส่วนรุดฝีเท้าออกจากกลุ่มไปวางเป้ของตนเองที่แคมป์สอง แล้วเดินย้อนกลับมาเป็นทีมช่วยเหลือ ยกเป้ของคนที่บาดเจ็บหรือหมดแรง พวกเราพูดคุยตกลงกันอยู่คำสองคำ คนที่แบกเป้หนักก็ยื่นกระเป๋าให้กับคนนำ แล้วเดินไปหยิบเป้ที่เบากว่าของคนที่หมดแรงมาสะพายแทน แล้วเริ่มออกเดินกันต่อ จนสุดท้ายก็ได้ยินเสียงของสายน้ำจริงๆ จนอยากตะโกนออกมาดังๆว่า "ถึงแล้วโว้ยยยยยยย....."

หลังวางเป้ลงที่แคมป์2 หรือ แคมป์ห้วยหินปูน สิ่งแรกที่ทำก็คือกระโดดลงน้ำ เพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยล้าออกจากตัว เล่นน้ำอยู่ซักพักก็เหลือบดูเวลาที่ข้อมือที่แสดงเวลาอยู่ราวๆ 2ทุ่มกว่าๆ สรุปคือวันนี้เดินกันมา 12ชั่วโมงเต็มๆ หันไปดูคนอื่นๆ บางคนก็นั่งเหยียดขาพัก ผูกเต๊นท์ กางเปลกันอย่างเหนื่อยอ่อน ในระหว่างที่เจ๊กิ๊กกับพี่เปีย เสียสละมาเตรียมอาหารเย็นรอบดึกให้กับทุกๆคน เป็นเมนูง่ายๆร้อนๆ แต่ก็นับว่าเอร็ดอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนที่จะล้อมวงฟังเรื่องเล่าเพลินๆจากอาปัญญาเช่นเคยและแยกย้ายกันเข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อน

-------------------------------------------------------

Day3 : อยู่กับหิน อยู่กับน้ำ

Route : ห้วยหินปูน-วังกลม-คลองยัน (ระยะทาง 10KM)

"7-8-9" คือรหัสของวันนี้ เนื่องจากได้ทดเวลาบาดเจ็บจากความเหนื่อยล้าของเมื่อวานมา 1ชั่วโมงเต็มๆ โดยตุลาได้ให้กำลังใจว่า "วันนี้ไม่ต้องรีบมาก เพราะเดินไม่ชัน แต่จะเดินเลาะลำธารกันไปยาวๆเท่านั้น เป้าหมายปลายทางสุดท้ายอยู่ที่คลองยันเลย"

เนื่องจากเมื่อคืนมาถึงแคมป์ก็มืดแล้ว มองอะไรไม่เห็น เช้านี้ก็เลยได้มีโอกาสเดินสำรวจคร่าวๆก่อนออกเดินทาง ก็พบรอยเท้าสัตว์อยู่บ้าง เป็นสัตว์จำพวกเท้ากีบ เลยเดากันว่าน่าจะเป็นกวางที่แอบเดินลงมากินน้ำช่วงตอนกลางคืน ส่วนน้ำในลำธารก็ใสจนเห็นปลาเล็กปลาน้อยที่ว่ายไปมา บ้างก็ว่ายเข้าไปหลบตามซอกหินตอนที่เดินเข้าไปใกล้ๆ

ทำอะไรเพลินๆ บวกกับรอกันไปกันมา กว่าได้เริ่มออกเดินทางก็เกือบ 10โมงเช้า โดยวันนี้มี "โกต้น" 1 ในทีมคนนำ มาคอยเดินดูแล ผลัดกับตุลาที่เป็นขาประจำเดินปิดท้ายด้านหลังอยู่แล้ว

เส้นทางวันนี้เดินง่ายกว่า 2วันแรกมาก เป็นการเดินไปเรื่อยๆเลาะลำธาร บางช่วงก็ต้องลุยน้ำ ระดับน้ำส่วนมากจะลึกประมาณหัวเข่า ส่วนที่ลึกที่สุดก็จะอยู่ที่ใต้อกที่ตรงคลองยันที่เดียวเท่านั้น อาจเป็นเพราะเรามาช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งปริมาณน้ำลดลงมากแล้ว ก็เลยทำให้เดินง่ายกว่าช่วงที่เป็นหน้าน้ำ ตุลาเล่าเสริมให้ฟังว่ารอบที่แล้วที่มามารอบเดือนธันวาคมที่แล้ว ต้องปลดเป้แล้วปล่อยลอยไปตามน้ำกันเลยทีเดียว

สำหรับววันนี้จุดที่ต้องระวังที่สุดในการเดิน ก็คงไม่พ้นพวกก้อนหินที่มีตะไคร่น้ำจับจนลื่นปรื๊ดอย่างกับจารบี และหิน size ที่ใหญ่กว่ากำปั้นซักหน่อย เพราะหินพวกนี้พอเหยียบโดนแล้ว มันพร้อมจะพลิกให้เราเสียหลักตลอดเวลา ทุกก้าวที่เดินเลยต้องระมัดระวัง ไม่สามารถทำเวลาได้

เดินมาซักพักประมาณชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงจุด highlight จุดแรกของวันนี้

"น้ำตกวังกลม" หรือ "น้ำตกรู" น้ำตกขนาดเล็กที่โคตรเหมาะกับการโดดลงเล่นน้ำ เพราะน้ำไม่ลึกมาก เป็นบ่อกว้าง โอบล้อมด้วยต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ซึ่งเริ่มแรกเดิมทีคณะของเราตั้งใจอยากจะมาพักแรมที่ตรงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ด้วยอุปสรรคในเรื่องของเวลา ทุกคนก็เลยตัดสินใจคั่นรายการเดินป่า ไปลงเล่นน้ำให้ชื่นใจ ดับร้อนกันอยู่พักใหญ่

เดินต่อมาอีกนิดก็เจอจุด highlight จุดที่สอง ตั้งตระหง่านอยู่ริมลำธาร ไม่แน่ใจว่าเรียกชื่อถูกไหม แต่เข้าใจว่ามันถูกเรียกว่า "ต้นมะปรุ" ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีรากงอกออกมาจากลำต้นจำนวนมาก โดยความพิเศษกว่าใครของมันก็คือ เมื่อรากของมันถูกน้ำ สีของมันจะค่อยๆเปลี่ยนสีกลายเป็นสีแดงสด ดังนั้น พวกเราจึงลองทดสอบโดยการสาดน้ำใส่รากของมัน จนมันแดงขึ้นมานิดนึง ก่อนที่ข้ามฝากไปเก็บภาพเอาไว้

พอเดินออกมาเพียงครู่เดียว อยู่ๆก็มีกลิ่นเหม็นจากอะไรบางอย่างลอยมาเตะจมูกเข้าอย่างจัง จนต้องรีบปิดจมูกและกวาดสายตามองหาต้นตอ  ซึ่งแหล่งที่มาของกลิ่นนั้นชวนให้ตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้ เพราะมันคือกลิ่นจากซากหมูป่าที่ถูกตัวอะไรซักอย่างกัดแล้วทิ้งซากเอาไว้ เพื่อรอหวนกลับมากินภายหลัง ซึ่งสันนิษฐานกันว่าเจ้าของของซากนี้อาจจะเป็น "เจ้าแมวใหญ่" พร้อมกับได้รับสัญาณให้รีบออกเดิน ไม่อยากให้อยู่ตรงจุดนี้นาน อาจเพราะกลัวว่าเจ้าของจะกลับมาตอนที่พวกเราอยู่พอดี

กลิ่นเหม็นของซากสัตว์ยังคงติดจมูก แต่ความหิวก็ไม่เคยปราณีใครเช่นกัน ถ้าเราหิว เราต้องได้กิน การล้อมวงตั้งหม้อจึงเกิดขึ้น พร้อมทำเมนูที่อร่อยที่สุดในป่าที่ชื่อว่า "มาม่าต้มยำน้ำข้น" มากระตุ้นน้ำย่อยให้ลืมกลิ่นเหล่านั้นไปซะ

หลังอิ่มท้องก็พร้อมออกเดิน เดินไปบนเส้นทางสักพัก อยู่ๆก็ได้มาเดินตามรอยกระทิงกันแบบไม่ตั้งใจ คือไม่ใช่ว่าอยากจะเดินตามรอยมันหรอกนะ แต่มันดันมาเดินทิ้งรอยเท้านำทางไปบนเส้นทางเดียวกันเสียซะอย่างนั้น แถมยังใหม่ๆซะด้วย ซึ่งเทียบขนาดจากรอยแล้ว ขนาดตัวมันก็ไม่ใช่น้อยๆเลย รอยเท้าของมันแค่กีบเดียวพอเอามาเทียบก็ใหญ่กว่าเท้าเราแล้ว ทำได้แค่จินตนาการว่าตัวมันจริงๆจะใหญ่แค่ไหน แล้วถ้าเกิดโชคดีได้เจอตัวมันจริงๆเข้า จะทำตัวยังไงดี

เดินเลียบลำธารไปเรื่อยๆ จนมาถึงปากห้วย ก็ได้มาถึงเป้าหมายของวันนี้คือ แคมป์คลองยัน ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณจุดบรรจบของสายน้ำจากห้วยหินปูนที่ไหลมารวมกับสายน้ำหลักของคลองยันรวมเป็นสายเดียวกัน ตรงจุดนี้เราจะต้องแบกสัมภาระเทินมาบนหัวข้ามฝากจากป่าฝั่งห้วยหินปูนมายังลานกว้าง แต่จุดที่จำแม่นที่สุดก็คือ ระหว่างที่เราก็กำลังจะข้ามฝั่งลงน้ำไปหน่อยนึงละ 3พัน เพื่อนรักก็ตะโกนมาว่าให้เดินมาตรงนี้ๆ เดี๋ยวช่วยแบกสัมภาระข้ามฝั่งให้ ไอ้เราก็ว่าจะฝากกระเป๋ากล้องให้เพื่อนถือและแบกเป้ข้ามไปเอง  แต่ อ่าว!!! เพื่อนเดินผ่านเราไปเฉยไปแบกเป้ให้ไข่มุก ไอ้เราก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ก้มหน้าก้มตาแบกทุกอย่างเหมือนเดิมข้ามฝั่งลุยน้ำมาเอง ถถถ... 

ตกเย็น ทุกคนก็ล้อมวงทานอาหารร่วมกันเช่นเคย ของสดเริ่มหมดลง อาหารแห้งเริ่มถูกนำออกมาใช้เป็นพลังงานหลัก ร่วมกับอาหารบางส่วนที่หาได้ระหว่างทาง  ถ้าถามว่าเส้นทางวันนี้เป็นยังไง ก็คงสรุปได้ว่าเป็นวันที่เดินไม่เหนื่อย แต่เดินไกล เดี๋ยวเปียก เดี๋ยวแห้ง เดี๋ยวขึ้นเนิน เดี๋ยวลงเนิน เดี๋ยวอยู่ฝั่งนั้น ซักพักก็ข้ามมาอยู่ฝั่งนี้ สลับไป สลับมาทั้งวัน 

-------------------------------------------------------

Day4 : วันพักผ่อนที่แท้จริง

Route : คลองยัน-ต้นผึ้ง-ห้วยเหมือง (ระยะทาง 5KM)

"8-9-10" เป็นรหัสของวันนี้ที่ตุลาบอกทุกคน จริงๆวันนี้มีทางเลือกว่าจะเดินไปดูต้นน้ำที่ห้วยหญ้าวัวไหม  ถ้าสนใจก็ไม่ต้องแบกเป้ไปให้หนัก เตรียมพกไปแค่น้ำดื่มระหว่าทาง เดินย้อนสวนทางน้ำขึ้นไป ใช้เวลาไป-กลับประมาณ 2-3ชั่วโมง แต่ด้วยความขี้เกียจก็เลยเลือกนอนยาวๆที่แคมป์ดีกว่า วันนี้จึงเป็นวันแรกในป่าที่จะได้นอนตื่นสายๆ ได้ดิฟกาแฟ ได้เดินถ่ายรูปเล่น ไม่ต้องรีบร้อนเก็บข้าวของเหมือนวันอื่นๆ  กว่าจะถึงเวลานัดหมายก็ปาเข้าไป 10โมง ก็เลยได้มีเวลานั่งฟังเสียงธรรมชาติ เสียงสายน้ำ เสียงชะนี นั่งฟังเพลินๆ ซักพักก็ได้ยินเสียงนกกก นกเงือกขนาดใหญ่ที่สุดร้องให้ได้ยิน พร้อมๆกันกับที่ตุลาชี้ให้ดูมันบินผ่านไกลๆตัดเข้าไปในป่าห้วยหินปูน

10โมงกว่าๆ เราเริ่มออกเดินเป็นกลุ่มสุดท้ายเช่นเคย เส้นทางเดินวันนี้เป็นเส้นทางเลาะลำธาร เดินข้ามน้ำไปมาเช่นเคย จะมีตัดเข้าป่าเป็นบางช่วง ส่วนรอยเท้าสัตว์ยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอด โดยเป้าหมายของวันนี้จะอยู่ที่ห้วยเหมือง ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก เราจึงตกลงกันว่าจะไปทำข้าวเที่ยงกินกันที่ปลายทางทีเดียวเลย ไม่ต้องแพคอาหารกลางวันติดไป

วันนี้ทุกคนเดินเกาะกลุ่มกันเป็นพิเศษ ไม่มีใครรีบร้อนทำเวลา อาจเพราะอยากเสพธรรมชาติให้เต็มปอด หรือไม่ก็คิดว่าถ้ารีบเดินไปถึงแคมป์ไวไป ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี ก็เลยเดินไปคุยไป หยุดพักรอกันอยู่บ่อยๆ

เที่ยงกว่าๆ พวกเราได้เดินมาถึงจุด highlight อีกจุดนึงในคลองยัน นั่นก็คือ ต้นผึ้ง ต้นไม้ขนาดใหญ่ สูงชะลูด เด่นเป็นสง่าเหนือต้นไม้ต้นอื่นๆ จนต้องแหงนคอมองเกือบ 90องศา มองไปตามกิ่งก้านสาขาก็จะพบผึ้งทำรังย้อยลงมา นับรังดูคร่าวๆไม่ต่ำกว่า 10รัง ทุกคนก็หยุดพักถ่ายรูปและตรวจสอบร่างกาย หาเจ้าทากเข็มตัวน้อยที่กำลังดูดเลือดอย่างเอร็ดอร่อย บ้างก็เหลือแต่ร่องรอยคราบเลือด ส่วนเจ้าตัวการได้หนีหายไปแล้ว

"ไม่ไกลแล้ว อีกแปปเดียว ซัก 500เมตร ก็ถึงห้วยเหมืองแล้ว" เป็นคำบอกเล่าจากตุลา ก่อนจะชวนแบกเป้แกมบังคับให้เริ่มออกเดินต่อ โดยเราจะเดินตัดเข้าป่าเข้าไปหาโคนต้นผึ้งกันแบบใกล้ๆ เข้าไปดูรอยเล็บของพวกหมีที่มาป้วนเปี้ยนตะเกียกตะกายพยายามไปเอาน้ำผึ้ง แต่ด้วยความฉลาดของผึ้งที่ทำรังเอาไว้บนต้นไม้สูง ก็ทำให้รังของมันอยู่รอดปลอดภัยจากนักล่าที่หิวกระหาย

เรื่องตลกเรื่องหนึ่งของการเดินป่าก็คือ คนเดินช้าที่สุด หรือคนออกหลังสุด ไม่จำเป็นต้องถึงเป็นคนสุดท้าย ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทั้งๆที่กลุ่มชุดแรกออกเดินไปก่อน 10กว่านาทีได้ เดินไปเดินมาก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักไกลๆ มาจากทางข้างซ้ายที ข้างขวาที ตอนต้นก็เข้าใจว่าเสียงสัตว์ป่าพยายามสอดสายตามองหาก็ไม่พบตัวอะไร แต่พอเดินออกมาถึงลานกว้าง ก็ถึงกับบางอ้อว่า กลุ่มที่เดินนำนั้นแยกออกเป็น 2กลุ่ม เดินอ้อมมาทางซ้ายกลุ่ม มาทางขวากลุ่ม ส่วนกลุ่มที่ช้าที่สุดเดินตัดมาตรงกลางและเป็นกลุ่มแรกที่มาถึงแคมป์ห้วยเหมืองก่อนใคร

บ่าย2โมง ทุกคนพร้อมเพรียงกันที่แคมป์ห้วยเหมือง เป็นแคมป์ติดลำธาร จำได้ว่าตอนนั้นไม่มีใครไปอาบน้ำสักคน เพราะมีแต่ความหิวล้วนๆ ซองมาม่าที่แบกมาเป็นแพคๆ ถูกฉีกต้มในน้ำเดือดเติมโปรตีนเกษตรเพิ่มเข้าไปดับความหิวแบบเร่งด่วนให้กับสมาชิก

หลังอิ่มท้อง ก็แยกย้ายกันไปใช้เวลาส่วนตัว อาบน้ำ ล้างตัว ซักผ้า พร้อมกับเปิดวงสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์เช่นเคย โดยมีน้ำดื่มสร้างแรงบันดาลใจเป็นตัวขับเคลื่อนกันตั้งแต่บ่าย แต่ก็โดนเบรคโดยอาปัญญาว่าเอาแค่นี้พอนะ เดี๋ยวไม่เหลือถึงลานหิน เราต้องไปฉลองกันที่ลานหินที่เป็นเป้าหมายถัดไปในวันพรุ่งนี้เท่านั้น

-------------------------------------------------------

Day5 : คืนที่ดาวเต็มฟ้า

Route : ห้วยเหมือง-เขายั่วกัน-ลานหินลาด (ระยะทาง 6KM)

"8-9-10" รหัสสบายๆครั้งที่2 ของทริป ตอนเช้าภาพที่เห็นจนคุ้นตาก็คงเป็นภาพพี่นพ ที่คอยเขียนบันทึกการเดินทางและพูดคนเดียวเหมือนกำลังทบทวนความคิดจดลงไหในบันทึกเล่มบางๆ บางทีก็ขำแกตรงที่เวลาเราจะถ่ายรูป แกจะชอบทำแอคเสมือนไม่รู้ว่าถูกถ่าย แบบเท่ๆเผลอๆอยู่ตลอด บางครั้งก็พูดออกมาเองเลยว่าถ่ายพี่หน่อย

เส้นทางวันนี้จะเหมือนเดิมคล้ายกับเมื่อวาน คือ เดินเลาะลำธารเป็นหลัก แต่จะมีช่วงนึงที่เดินตัดขึ้นเขาเพื่อไปชมวิวที่ "เขายั่วกัน" ยอดเขาสูง 2ยอดที่มีลักษณะดูเหมือนจะยั่วกัน แต่ไอ้เราซึ่งมองยังไงก็เห็นแค่ยอดเดียว ส่วนอีกยอดนั่นซ่อนอยู่ด้านหลัง ก็เลยไม่รู้ว่ามันยั่วกันยังไง?

โดยตุลาเล่าให้ฟังว่าที่เขายั่วกัน จะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ถ้ำนึง และเชื่อกันว่ามีพี่แมวใหญ่อยู่ในถ้ำๆนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าเสี่ยงเข้าไปวัดดวงว่ามีอยู่จริงๆหรือไม่ ได้แต่รีบเดินผ่านออกมาให้ไวที่สุด

จุดชมวิวเขายั่วกัน เมื่อมองย้อนกลับลงไปก็จะเห็นสายน้ำของคลองยันเป็นทางยาว ที่เป็นเส้นทางที่เราพึ่งเดินเลาะไปเลาะมาในวันนี้ ทุกคนชมวิวกันอยู่พักใหญ่ ก็เริ่มทยอยเดินลงจากเขา แล้วมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายต่อไป

หลังจากลงเขามาก็เริ่มต้องใช้ฝีมือกันนิดหน่อย เพราะทางเดินจะต้องปีนข้ามหินก้อนใหญ่ๆ ก็ต้องมองหาที่เหยียบมั่นๆ เพื่อดันตัวเองขึ้น หรือย่อตัวไถตูดลงจากหินเพื่อความปลอดภัย ทีมคนนำทางทั้งโกบี โกต้น โกต้อม และตุลา ต่างก็ยืนประจำจุดคอยดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ 

ใช้เวลาไม่นาน ทุกคนก็ได้มาถึงแคมป์หินลาด ลักษณะพื้นที่เป็นลานหินขนาดใหญ่ ที่ทอดตัวยาวออกไปราวๆ 2-3กิโลเมตร มีสายน้ำของคลองยันไหลผ่านกึ่งกลาง

วันนี้มีเวลาเหลือเฟือ ที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ขนมของกินต่างๆถูกหยิบออกมาแจกจ่าย โดยเฉพาะขนมจาก "พี่ตุ้ย" ที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดลง แกมีขนมที่พร้อมจะแจกให้กับทุกคนเสมอ เปรียบเสมือนนางฟ้าแม่ทูนหัวของเหล่าเด็กน้อย แถมด้วยเครื่องดื่ม โอวันติล ชา กาแฟ ที่ใครมีอะไรก็เอามาแบ่งกัน คล้อยบ่ายลง พอกินอิ่มหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน บางคนก็เลยหลับกันคาวงเอาแรง ส่วนคนที่ยังมีแรงเหลือเฟือบ้างก็เดินเล่นลงไปทางปลายลานหิน บ้างก็นั่งคุยกันไปยาวๆยันแสงเย็นหมดลง

พอถึงช่วงยามค่ำคืน  สำหรับผมคืนนี้เป็นคืนที่ดีที่สุดของทริปคลองยัน ด้วยสภาพป่าที่เปิดโล่งจนมองเห็นดาวเต็มท้องฟ้า กับอากาศที่เย็นตัวลงจนแตกต่างจากอุณหภูมิตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง วอดก้าที่ถูกเก็บไว้มาเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ ถูกหยิบมาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนบทสนทนาอย่างไหลลื่นและหมดลงอย่างรวดเร็ว จนหลายๆคนเริ่มแยกย้ายกันเข้านอนตั้งแต่ยังไม่ 4ทุ่ม เหลือเพียงแค่บทสนทนาเบาๆของคน 2คน ท่ามกลางแสงดาวที่พร่างพราวเต็มท้องฟ้า

-------------------------------------------------------

Day6 : ธรรมชาติที่โอบล้อม

Route : ลานหินลาด-แคมป์ตีนดอย (ระยะทาง 15KM)

6โมงเช้า หลังล้างหน้าแปรงฟัน ตุลามาเรียกชวนให้ไปดูดอกกล้วยไม้ที่ขึนอยู่บริเวณแคมป์ ไม่ต้องเดินไปไหนไกล แวบแรกที่เห็นคิดว่าเป็น "เอื้องม่อนไข่" เนื่องจากมีลักษณะกลีบดอกสีขาว ใจกลางดอกเป็นสีเหลือง  แต่จริงๆแล้วเป็นคนละพันธุ์กัน โดยกล้วยไม้นี้มีชื่อว่า "เอื้องมัจฉานุ"   

7โมง เจ๊กิ็กและพี่เปีย แม่ครัวหัวป่าประจำทริป ก็เตรียมพร้อมแล้วเสร็จ ใครเก็บของไวก็มานั่งทานก่อน ใครช้าก็ตามมากินทีหลัง วันนี้ต้องเตรียมพร้อมออกเดินทางให้เร็วขึ้นก่อน 9โมง เนื่องจากวันนี้จะเป็นอีกวันที่ต้องเดินทางเป็นระยะทางไกลพอสมควร แต่จะเป็นทางราบข้ามลำธารไม่ได้ขึ้นเขาอะไรมากมายนัก

เกือบจะเป็นวันสุดท้ายของการเดินทาง จ่าฝูงของเราก็ยังไม่สามารถออกก่อนเวลาตามที่ตุลากำหนดได้สักครั้ง วันนี้เราจะเดินย้อนกลับทางเดินที่เดินมาเมื่อวานแล้วเลี้ยวขวาข้ามน้ำ จากนั้นจึงเดินย้อนไปตามลำห้วยของห้วยหินลาด 

บรรยากาศวันนี้ให้ความรู้สึกร่มรื่น มีแสงแดดส่องถึงผ่านแนวยอดเรือนไม้ ลงกระทบลำธารเป็นแสงเปล่งประกายวิบวับ แต่ไม่รู้สึกความร้อน อาจเพราะความชื้นจากต้นไม้และลำธารที่มีสูงกว่า 

สำหรับผมวันนี้ขอยกให้เส้นเดินนี้สวยที่สุดและชอบที่สุดของทริปนี้ คือ ไม่มีอะไรสวยแบบตื่นตะลึง แต่เป็นเส้นที่เขียวขจี สบายตา ปล่อยให้ธรรมชาติโอบกอด และซึมซับความสวยแบบเนิบๆช้าๆ 

แต่วันนี้ก็ยกให้เป็นวันที่ทากดุที่สุดเช่นกัน ทุกครั้งที่นั่งพักสำรวจร่างกาย เป็นต้องเจอเจ้าทากตัวน้อยกำลังไต่กางเกงบ้างเกาะตามซอกถุงเท้าบ้าง ทีเด็ดสุดก็พี่แกเล่นปีนมากัดตรงเอว กว่าจะรู้สึกตัวทากเข็มก็ตัวไม่เท่าเข็มอีกต่อไป

ระหว่างทางในลำห้วยจะมีหอยอยู่อีกชนิดหนึ่ง มีลักษณะเปลือกเป็นรูปทรงทรงเจดีย์ นับชั้นเจดีย์จะได้ประมาณ 6ชั้น จึงมีชื่อเรียกว่า "หอยหก" เป็นหอยที่ชาวบ้านมักนำไปต้มแกง แล้วกินคล้ายๆห้อยจุ๊บ นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งผักกูด ทั้งใบหูหมี พืชที่สามรถนำไปประกอบอาหารได้ กรณีที่ขาดแคนเสบียงจำเป็นต้องหาอาหารมาประทังชีวิต

หลังพักทานข้าวข้างลำธาร เราก็ได้พบรอยของพี่ใหญ่ เป็นรอยใหม่ เส้นผ่านศูนย์กลางรอยเท้าประมาณ 2ฟุตเห็นจะได้ เดินนำหน้าไปทางเดียวกับที่เราจะมุ่งหน้าไป ให้ลุ้นว่าจะมีโอกาสได้เจอกับพี่ใหญ่ไหมแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เห็นตัวอยู่ดี

นอกจากนี้ด้วยความที่ผืนป่ามีความชื้นสูง ระหว่างทางตามขอนไม้แห้งจึงมีเห็ดขึ้นอยู่เต็มไปหมด บางอันก็เจริญเติบโตดีจนใหญ่เกือบเท่าหน้าคนก็มี

ช่วงบ่ายเดินต่อกันยาวๆ ลัดเลาะไปตามทางน้ำ เดี๋ยวก็ตัดเข้าป่า เดี๋ยวก็ข้ามลำธาร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนบางทีก็รู้สึกว่านี่เดินหมุนเป็นวงกลมหรือเปล่า... เพื่อมุ่งหน้าไปยังแคมป์ตีนดอย ซึ่งเป็นแคมป์สุดท้ายของการเดินทาง ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าแคมป์ตีนดอย ก็เพราะเป็นแคมป์สุดท้ายก่อนเดินขึ้นเขาย้อนกลับไปหาหน่วยวังน้ำเย็นนั่นเอง ราวๆเกือบ 5โมงเย็นพวกเราก็มาถึงที่หมาย ทำกับข้าว พูดคุยเล่าเรื่องประสบการณ์การเดินทาง ก่อนแยกย้ายกันไปเข้านอน โดยวันนี้เป็นวันที่พี่ตุ้ยคุยเยอะที่สุด ผิดกับทุกวันที่ผ่านมาที่แกจะเป็นผู้ฟังที่ดี คอยนั่งยิ้มรับฟังไม่ค่อยพูดอะไร 

Day7 : เวลา 7วัน เหมือน 3วัน

Route : แคมป์ตีนดอย-น้ำตกวังเย็น-หน่วยพิทักษ์ (ระยะทาง 9KM)

รู้สึกใจหาย เมื่อคิดได้ว่านี่จะเป็นเช้าสุดท้ายที่จะได้เห็นภาพการจดบันทึกและบ่นพึมพำของพี่นพ และเป็นวันที่จะต้องแยกจากกันของสมาชิกร่วมเดินทางทั้ง 14คน

"7วัน เหมือน 3วัน" เป็นคำพูดที่ตุลาพูดกับผมบ่อยๆ และ;วันสุดท้ายมันก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เดินเหนื่อยๆร่วมกันมา รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาครบ 7วันซะแล้ว

ช้ากว่ากำหนดการไปครึ่งชั่วโมง จน 9โมงครึ่ง ถึงเป็นเวลาที่ได้เริ่มออกเดิน โดยเราจะได้เดินไปตามทางน้ำและข้ามลำธารไม่กี่ครั้งเท่านั้น จากนั้นก็เข้าสู่รายการเดินขึ้นเขา โดยไตระดับความสูงจาก 300เมตรจากระดับน้ำทะเล ไปถึงที่ความสูง 800เมตร

โดยวันนี้เราจะต้องเตรียมน้ำจากแคมป์ให้เพียงพอสำหรับใช้กิน-ดื่มตลอดทั้งวัน เพราะจะไม่มีแหล่งน้ำให้เติมระหว่างทางจนกว่าจะถึงน้ำตก

ก่อนถึงยอดสูงสุดจะมีจุดพักบ้างประมาณ 2-3จุดที่ไม่ใช่ทางชัน ซึ่งเราก็พักมันทุกจุด แต่ก็ไม่วายโดนกลั่นแกล้งโดยทีมชุดหน้าทุกครั้งที่มาถึง นำโดยพี่เปีย ที่จะชักชวนทุกคนลุกออกเดินพร้อมกับคำพูดที่ว่า "จะไปแล้วน้าาาาาาา ไม่รอแล้วน้าาาาาา....." แต่เราก็ไม่สนอยู่ดี ด้วย Concept ที่ว่า "อยากพักต้องได้พัก"

พักกินข้าวเที่ยงกันที่บริเวณช่วงยอด 800 ที่นี่เป็นที่แรกที่ได้รู้ตัวว่า อ่อ... นี่เราอยู่ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าจริงๆนะ เดินมาจนครบ 7วัน พึ่งได้เห็นป้ายเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเป็นป้ายแรก ตอนนั้นที่กำลังบ่นกันว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เห็นสัตว์อะไรเลย ระหว่างฟังเสียงชะนีที่ร้องเรียกหากันที่ป่าด้านล่าง จู่ๆก็มีนกเงือกบินข้ามหัวไปแบบระยะประชิด จะหยิบกล้องมาถ่ายก็ไม่ทัน จึงได้แค่บันทึกความสวยงามไว้ในความทรงจำเท่านั้น

หลังทานข้าว เป้าหมายสุดท้ายของวันนี้ก็คือน้ำตกวังน้ำเย็น โดยเราจะต้องเดินลงเขายาวๆ ท่ามกลางอุปสรรคที่ร้ายกาจที่สุด  "หนามหวาย" เพื่อนเก่าที่เคยเจอหน้ากันตั้งแต่วันแรกของการเดินทาง ที่พร้อมจะเกี่ยวทุกอย่างทั้งเสื้อผ้า, หมวก และ rain cover 

4โมงเย็น สุดท้ายก็สามารถทะลุป่าออกมาถึงน้ำตกวังน้ำเย็น น้ำตกขนาดกลาง ที่มีสายน้ำไหลลงมาเป็นชั้นๆ  ให้ชื่นชมความสวยงาม เป็น Highlight สุดท้ายก่อนที่จเดินทางกลับออกไปยังหน่วยพิทักษ์วังน้ำเย็น และนั่งรถกลับไปยังบ้านของตุลา เพื่ออาบน้ำล้างตัว แยกย้ายกันเดินทางกลับและเก็บมิตรภาพเอาไว้ว่าจะกลับมาพบกันใหม่ เมื่อความคิดถึงของพวกเราคิดถึงกันมากพอ

สรุปภาพรวม 4.7 จาก 5ดาว (เหมาะสำหรับคนชอบป่าร้อนชื้น และความดิบป่า)

- คะแนนวิวทิวทัศน์ (4/5) สวยแบบป่าทึบเขียวชะอุ่ม ชุ่มชื้น ขอหักคะแนนตรงที่ไม่มีวิวแบบกว้างๆให้ชม

- คะแนนเส้นทาง (5/5) ครบรส เดินมัน แต่ที่ดีที่สุดคือเส้นทางเต็มไปด้วยความดิบของทางเดินสัตว์ป่า

- คะแนนที่พัก (5/5) ไม่มีจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น,ตกแบบสวยๆ แต่มีแหล่งน้ำใช้งานทุกแคมป์ คนรักความสะอาดสามารถอาบน้ำได้เกือบทุกวัน

รีวิวนี้ยาวมาก เพราะไปหลายวัน ไม่รู้จะมีคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ไหม แต่ก็หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเดินป่าเหมือนๆกัน แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า

-------------------------------------------------------------------------------------

: : : B A C K P A C K T I M E : : :

เมื่อหัวใจสะพายเป้ การเดินทางจึงเกิดขึ้น

-------------------------------------------------------------------------------------

Samakida Somkid

 วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 12.35 น.

ความคิดเห็น