"แม่ฮ่องสอน" ถือเป็น 1 ในดินแดนแห่งขุนเขา ขุนน้ำและสายหมอก โดยการเดินทางครั้งนี้ของผม เริ่มต้นอีกครั้ง โดยเริ่มจากการเปิด Facbook แล้วไปเจอว่าว่ามีเส้นทางเดินป่าระยะไกลเส้นทางชุมชนขุนน้ำเงาของ FJALLRAVEN THAILAND ที่ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่2  ระยะทางในการเดินประมาณ 50KM กับช่วงเวลา 4วัน 3คืน ตอนนั้นก็ไม่รู้จะไปชวนใครที่ไหน ก็ได้แต่ประกาศลอยๆหาเพื่อนร่วมเดินทาง ถ้าไม่มีใครไปด้วยก็จะไปมันคนเดียวนี่แหละ แต่ปรากฏว่า มีเหยื่อติดเบ็ดเรามา 1คน ทริปนี้ก็เลยเริ่มต้นออกเดินทางกันแค่ 2คนนี่แหละ โดยจองตั๋วรถทัวร์ กรุงเทพ-แม่สะเรียง ของสมบัติทัวร์ ทั้งขาไปและกลับ

การเดินป่าของ FJALLRAVEN THAILAND มี Concept เป็นแนวพึ่งพาตัวเอง แบกของเองทุกอย่าง อาหาร น้ำ ไม่มีลูกหาบ จะมีก็แต่คนนำทางที่เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่ดี คอยให้คำแนะนำ คำปรึกษา และก็ดูแลธรรมชาติไปพร้อมๆกัน เอาขยะเข้าไปเท่าไหร่ ก็เอาออกไปเท่านั้น ดังนั้นการจัดน้ำหนักกระเป๋าจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก อะไรที่ไม่จำเป็นต้องตัดออกให้หมด เพราะน้ำหนักทุกกิโลกรัมมันจะอยู่บนบ่าเราตลอดเส้นทาง ไม่มีใครมาช่วย จัดไปจัดมาอยู่หลายรอบก็เหลือประมาณตามรูปนี่แหละ 

อ่อ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางของชุมชนนะ สามารถรวมทีมกันแล้วติดต่อคนในชุมชนได้เลย โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่เพจ FB : เส้นทางเดินป่าระยะไกลชุมชนขุนน้ำเงา

https://www.facebook.com/MaeNgowTrekking/ 

ราคาต่อหัว  ถ้าไปหลายๆคน ตั้งแต่ 6คนขึ้นไป ก็จะอยู่ที่ 2500บาท เป็นราคาที่รวมค่า จนท. นำทาง และรถรับส่งจากแม่สะเรียง ไปยังจุดเริ่มเดิน

มาเข้าเรื่องกันต่อ ก็หลังจากที่รถทัวร์มาส่งเราถึงแม่สะเรียงราวๆตี5 เราก็เดินไปตลาด กินข้าว ซื้อของ จัดกระเป๋าสัมภาระ รับของที่ทางผู้จัดงานเตรียมไว้ให้เรา อาทิเช่น ถุงย่าม สมุดบันทึก แก๊ซกระป๋อง และก็ถุงขยะ ไว้เก็บขยะกลับลงมา จากนั้นก็มีการแบ่งกลุ่มตามธงสี ซึ่งเราก็ได้อยู่ทีมสีขาว ที่เหมาะกับคนใจสะอาดๆอย่างเราพอดิบพอดี 555 จนราวๆ 8โมง เราก็เริ่มออกเดินทางโดยรถกระบะมุ่งหน้าไปยังจุดเริ่มเดิน

รถใช้เวลาไม่นานประมาณชั่วโมงนึง ที่เรานั่งหัวสั่นหัวคลอ แต่ก็มีวิวหมอกยามเช้ากับลมเย็นๆพัดปะทะหน้ามาตลอดทาง เราก็มาถึงที่บ้านแม่ปะจนได้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มเดินของเราที่ระดับความสูงที่ 950เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยก่อนเริ่มเดินก็มีการพูดคุยถึงที่มาของเส้นทางและทำข้อตกลงร่วมกันว่า โดยมีเรื่องหลักๆที่สำคัญ 2เรื่อง คือ "เรื่องขยะ" เราจะไม่สร้างขยะหรือสร้างให้น้อยที่สุด นำขยะไปเท่าไหร่ต้องนำกลับออกมาเท่านั้น ยกเว้นเรื่องของการขับถ่ายของเสีย และเรื่องที่สอง "การเดิน" การเดินไม่มีการแข่งขัน ใครถึงจุดหมายก่อนคนแรกไม่ได้แปลว่าเป็นผู้ชนะ สิ่งสำคัญคือการซึมซับเรื่องราวและเก็บมิตรภาพระหว่างทางให้มากที่สุด ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

10.00น. ทีมสีขาวถูกปล่อยตัวออกเป็นกลุ่มที่2 ชุดย่อยในการเดินป่าครั้งนี้ของเราใหญ่ขึ้นจากที่ตั้งใจมาแค่ 2 ก็กลายเป็น 4 เพราะเราได้รู้จักและหลอกล่อน้องๆที่น่ารักมาได้ 2คนมาร่วมเดินด้วยกันได้ระหว่างทางที่นั่งกระบะมา  โดยเราเดินไปตามเส้นทาง แม่ปะ - จอลือ ระยะทางรวมประมาณ 9กิโลเมตร ที่ช่วงแรกเป็นทางเดินลูกรัง แล้วค่อยๆมีต้นไม้ใหญ่มากขึ้น เมื่อเริ่มถึงทางแยกสู่บ้านจอลือ จนมาพักเที่ยงทานข้าวร่วมกันภายใต้ร่มเงาไม้ระหว่างทาง 

ช่วงบ่าย เราเริ่มไต่ระดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ผ่านยอดเรือนไม้จนอยู่บนแนวสันเขาที่เป็นพื้นที่ทุ่งหญ้าโล่ง ที่ระดับความสูงมากกว่า 1000เมตรจากระดับน้ำทะเล เห็นเป็นวิวเปิดโล่ง 360องศา กับทิวเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา และยังสามารถมองเห็นจุดตั้งแคมป์ของวันแรกที่อยู่ไกลๆได้เลย

ราวๆบ่าย3กว่าๆ พวกเราก็มาถึงจุดตั้งแคมป์วันแรกที่มีชื่อว่า "จอลือคี" ที่ระดับความสูง 1,150เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยสามารถเห็นต้นน้ำที่เกิดจากความเป็นป่าที่ไหลรวมลงมาหล่อเลี้ยงชุมชนด้านล่างที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าสังเกตมองไปยังอีกฟากนึงก็จะเห็นเขาหัวโล้น ที่เปรียบเสมือนเขาที่ตายแล้ว โดยภายในงานก็มีการทำที่ระลึกการเดินทางน่ารักๆ โดยการจี้เหล็กร้อนลงบนแผ่นไม้ เป็นรูปต่างๆทุกจุดที่เราไปตั้งแคมป์ทั้งหมด 4จุดด้วยกัน

ซึ่งที่นี่หากเราเดินย้อนไปราวๆ 500เมตร จะมีจุดชมวิว 360องศา สามารถชมได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น-ตก ที่สวยงามไม่แพ้ใคร ชื่อว่า "ยอดม่อนกองข้าว" ที่มีระดับความสูง 1,221 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภายหลังกางเต๊นท์ และพูดคุยแผนการเดินทางวันรุ่งขึ้นเรียบร้อย พวกเราก็เดินไปชมแสงสีส้มยามที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก่อนที่จะกลืนหายไปในความมืดยามค่ำคืน

เช้าวันที่2 ของการเดินทาง เป้าหมายของวันนี้คือการพิชิตยอดดอยธง ซึ่งถือว่าเป็นเขาลูกที่สูงที่สุดในเส้นทางเดินป่าระยะไกลในเส้นทางนี้ ระยะทางรวมประมาณ 8กิโลเมตร ก่อนเดินทางพวกเราก็ได้เดินย้อนกลับไปยังม่องกองข้าวอีกครั้งเพื่อชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น แต่ครั้งนี้เรามีโชคอยู่บ้าง ที่ได้เห็นทะเลหมอกอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับหมอกกระแทกหน้า แบบเดินออกจากเต๊นท์มาแล้วเจอเลย แต่สำหรับผมแค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะ

9.00 ถ่ายภาพหมู่รวมพลังทีมสีขาว ก่อนเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง โดยเส้นทางสำหรับวันนี้จะพาเราเดินทางไปบนสันเขาที่เป็นสันปันน้ำ ที่ถือว่าสวยงามตลอดเส้นทาง ใครที่ชอบเดินบนเขา ลานโล่งๆที่เห็นวิวสุดลูกหูลูกตา แลกกับการเดินท่ามกลางแสงแดด ขอยืนยันได้เลยว่าจะต้องชอบเส้นนี้แน่ๆ

วันนี้พวกเราเดินประกบกับ "จือ" หรือ "พี่จือ" คนนำทางท้องถิ่นที่พูดน้อย แต่คอยดูแลพวกเราอย่างดีมาโดยตลอดเสมือนจ้างมาส่วนตัวยังไงยั่งงั้น บางครั้งจือก็ชี้ลูกไม้หรือพันธุ์ไม้ให้เราดู ถึงแม้คำอธิบายที่เล่าฟัง เราอาจจะงงๆอยู่บ้าง แต่เราก็พยักหน้าเข้าใจให้กับจือเสมอๆ

เส้นทางตอนบ่าย เส้นทางจะเริ่มยากขึ้น จากที่เคยเป็นลานโล่ง เส้นทางจะเริ่มแคบลงจนต้องเดินแถวเรียงเดี่ยว ความชันก็ชันยิ่งขึ้น จุดพักน้อยลง ร่มเงาไม้ที่หายากขึ้น บางครั้งต้องไปนั่งแยกหลบกันตามจุดต่างๆที่มีเงาไม้ ไม่ได้นั่งเป็นกลุ่มด้วยเหมือนเดิม

บ่าย3กว่าๆ พวกเราก็สามารถพิชิตยอด "ดอยธง" ได้สำเร็จ ที่ระดับความสูง 1,650เมตรจากระดับน้ำทะเล มองหันหลังกลับไปก็จะเห็นเส้นทางที่ผ่านมาว่าผ่านสันเขามามากมายกี่ลูก มองไปข้างหน้าก็จะเห็นว่าจะต้องเดินไปฝ่าฝันผ่านภูเขาอีกกี่ลูก เพื่อให้ไปถึงจุดตั้งแคมป์วันที่3

ความสนุกของการเดินป่าครั้งนี้ 1 ในนั้น ผมว่าคือการได้พบเจอคนประเภทเดียวกัน ที่เลือกออกมาเดินทางบนเส้นทางที่ไม่ได้สะดวกสบาย ออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งเพื่อออกจากจุดยืนเดิมๆที่แตกต่างกัน แต่มาร่วมทางที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน วันนี้สำหรับผมและหลายๆคนการได้พิชิตยอด "ดอยธง" อาจไม่ได้ถือว่าทริปนี้ได้จบลงแล้ว เพราะตลอดเส้นทางที่เหลืออีก 2วัน ก็ยังคงมีเรื่องราวดีๆให้เราได้จดจำอยุ่อย่างแน่นอน

วิวบนยอดของ "ดอยธง" เป็นวิวแบบ 360องศา สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตกได้เช่นเดียวกับคืนแรก แต่จะสามารถมองเห็นทิวเขาที่สลับทับซ้อนได้ไกลมากกว่า เนื่องจากอยู่บนยอดที่สูงขึ้นกว่าเดิม สำหรับเย็นนี้มีเรื่องที่ชอบอยู่ 2อย่าง คือ 

1. เรื่องเสียงชัตเตอร์ วันนี้เสียงชัตเตอร์ดังสนุกมาก เดินไปทางไหนก็มีแต่คนถ่ายรูป ทุกคนหยิบกล้องออกมาเก็บความทรงจำที่ผ่านมาแล้วครึ่งทาง ไม่ว่าจะเป็น DSLR, Mirrorless ทำให้รู้ว่าทุกคนมีความสุขกับการได้มาถึงบนยอดนี้และอยากเก็บความทรงจำบันทึกเอาไว้ทั้งในรูปภาพและความทรงจำ

2. เรื่องเต๊นท์ งานนี้ถือเป็นงานมหกรรมเต๊นท์แบบย่อมๆได้เลย หลากหลายยี่ห้อมาก เดินดูอย่างเพลิน เพราะจะได้เห็นเต๊นท์เท่ๆตัดกับวิวสวยๆ โดยเฉพาะเต๊นท์ของพวก MSR, Coleman งานนี้ถือว่าเห็นเยอะที่สุดเท่าที่เคยไปเดินป่ามา

เช้าวันที่3 วันนี้ไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อลุกมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะวันนี้เพียงแค่ก้าวเท้าออกมาจากเต๊นท์ ก็เจอไข่แดงลอยกลมผ่านทิวเขาขึ้นมาทักทายกันตรงหน้า ไม่ต้องเดินไปไหน นั่งชมแสงพระอาทิตย์ยาวๆกันไปยาวๆระหว่างนั่งกินข้าว จนกระทั่งราวๆ 8โมง เราถึงเริ่มเก็บเต๊นท์ออกเดินทางอีกครั้ง โดยเป้าหมายวันนี้จะไปจบลงที่ "บ้านแม่หาด" ระยะทางเดินรวมๆราว 17  กิโลเมตร ซึ่งถือว่าวันนี้เป็นวันที่ต้องเดินไกลที่สุดในแผนการเดินทางทั้งหมด

เราเริ่มออกเดินเท้าราวๆ 8โมง แต่เมื่อทอดสายตาออกไปทะเลหมอกยังคงลอยนิ่งให้เราเห็นระหว่างทางเดินไปตามแนวสันเขา จนกระทั่งเราเริ่มลดระดับความสูงลงเรื่อยๆ จนกลับมาเดินอยู่ในป่าอีกครั้งและไม่สามารถเห็นทิวเขาได้อีกต่อไป วันที่3 เป็นวันที่เส้นทางไม่ได้ชันอะไรมากนัก แต่เป็นวันที่เหนื่อยล้าที่สุดกับเส้นทางที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ จำได้ว่าช่วงหลังๆได้แต่ก้มหน้าเดินไม่ได้พูดจากกับใครเท่าไหร่นัก สัมภาระบนหลังก็ดูเหมือนทรยศ ค่อยๆกดน้ำหนักลงบนบ่า จนอยากจะวางมันลงทุกครั้งที่เริ่มออกเดิน

เราพักกันบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเดินแยกจากกันตามความเร็วฝีเท้าและความเหนื่อยอ่อนของแต่ละคน จนสุดท้ายผมก็เหลือเดินลำพังเพียงคนเดียว ด้วยความเร็วการเดินที่แตกต่างจากคนในทีม ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่วัดใจกับตัวเองที่สุด ว่าจะพักหรือจะเดินต่อ บรรยากาศรอบตัวมีเพียงแค่ป่า กับการสังเกตว่าเราจะต้องไปทางไหนต่อไป จนเริ่มเข้าโซนหมู่บ้าน ถึงเริ่มรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น 

แต่เปล่าเลย!!! การเข้าหมู่บ้านนี่แหละที่ท้อที่สุด เพราะเดินอยู่ในหมู่บ้านนานมาก เห็นป้ายบอกทางว่าจุดพักแรมไปทางไหน แต่ก็ไปไม่ถึงซักที แต่ก็มีกำลังใจขึ้นบ้างที่ระหว่างทางเดิน เราก็จะเจอกับชาวบ้านที่ทักเราระหว่างทาง ผมเหลือขนมอยู่นิดหน่อย ก็ยกให้เด็กๆไปแบ่งกัน เด็กๆก็ดูดีใจแต่ผมไม่มีอารมณ์ไปคุยเล่นต่อด้วยก็ได้แต่ก้มหน้าเดินต่อเพื่อให้ถึงจุดหมาย จนสุดท้ายก็ถึงเสียทีเป้าหมายของวันนี้ โรงเรียนบ้านแม่หาด

"บ้านแม่หาด" เป็นชุมชนที่ได้ชื่อว่าอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและเป็นดินแดนอาทิตย์อัสดง ตามชื่อเรียกภาษากะเหรี่ยงที่ชื่อว่า "หมื่อหะคี" ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมถึงเป็นชื่อนี้ แต่พอมาเดินมาถึงที่นี่ถึงพึ่งได้เข้าใจว่าว่าการที่จะมาถึงที่หมู่บ้านนี้ได้ ก็ต้องใช้เวลาเดินมาตามระยะทางที่ยาวไกลจนกว่าจะถึงก็บ่ายแก่ๆ จนพระอาทิตย์เริ่มที่จะตกเป็นแสงสีมส้มนั่นเอง นักเดินป่าบางคนที่อาจจะจังหวะเดินช้ากว่าคนอื่นไปบ้างหรือหยุดพักบ่อยๆก็จะเดินมาถึงที่นี่ไม่ทันได้ดูพระอาทิตย์ตก ก็ถือว่าน่าเสียดายเพราะว่าพระอาทิตย์ตกที่นี่สวยสมชื่อดินแดนอาทิตย์อัสดงจริงๆ ส่วนตอนเย็นเราก็สามารถซื้ออาหารการกินจากชาวบ้านที่นี่ได้ เป็นการสนับสนุนเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กๆอีกด้วย

ตอนเย็นดูพระอาทิตย์ตก ตอนเช้าดูทะเลหมอก โรงเรียนบ้านแม่หาด ผมนับให้เป็นโรงเรียนที่วิวสวยและใกล้ชิดธรรมชาติสุดๆแห่งนึงจริงๆ เพียงแค่เปิดเต๊นท์ออกมาก็ฟินจนอยากนอนต่ออีกซักคืน แต่จุดหมายของเราไม่ใช่ที่นี่ เราจึงจำเป็นต้องเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวออกเดินไปยังเป้าหมายสุดท้ายของเราที่ "สบโขง" กับระยะทางอีกประมาณ 14กิโลเมตร

8โมงเช้า เด็กๆเข้าแถวร้องเพลงเคารพธงชาติ เป็นภาพน่ารักๆก่อนที่จะสะพายเป้ออกเดินทางไปพร้อมรอยยิ้มพร้อมลุยกับเส้นทางวันนี้ต่อไป

เส้นทางวันนี้เริ่มต้นจากการเดินตัดป่า ทุ่งนา และหมู่บ้าน จากระดับความสูง 930เมตร ลดระดับความสูงลงมายังสบโขงที่เป็นจุดหมายปลายทาง ระหว่างทางในป่าจะชุ่มชื้นเพราะเป็นการเดินตัดลำธาร สามารถล้างหน้าล้างตาให้หายคลายเหนื่อยได้ 

แต่เมื่อพอผ่านป่าออกมาเข้าสู่เขตของหมู่บ้าน สิ่งที่สัมผัสได้ก่อนสิ่งอื่นคือความร้อนของแสงแดด ที่กินพลังงานจนทำให้เหนื่อยไวขึ้นมาก และหาที่ร่มได้ยากมากๆ เพราะต้องเดินลัดเลาะตัดผ่านคันนาของชาวบ้านไปเรื่อยๆ 

สิ่งที่เจอถัดไปก็คือ ขยะ ยิ่งเข้าใกล้หมู่บ้านมากเท่าไหร่ ขยะก็ยิ่งเจอง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งดีๆก็มีอยู่นะ ชาวบ้านที่นี่น่ารักโดยเฉพาะเด็กๆต่างทักทายเราตลอดทางเหมือนเคย แต่ขนมเราหมดแล้ว ทำได้แค่ยิ้มและทักทายโบกไม้โบกมือไปตามประสา

เดินผ่านหมู่บ้าน ข้ามลำห้วย จนประมาณบ่าย3โมง เราก็ได้มาถึงเป้าหมายสุดท้ายที่เป็นเหมือนเส้นชัยของการเดินทางอันยาวนานตลอด 4วัน "บ้านสบโขง" หมู่บ้านริมแม่น้ำเงา ที่มีน้ำใสสะอาดไหลริน สามารถลงไปเล่นน้ำชำระร่างกายได้ แต่เตือนไว้ก่อนนะว่าน้ำเย็นมาก ขนาดมีแดดน้ำยังเย็นเจี๊ยบอยู่เลย อย่ารอไปเล่นตอนมืดๆเย็นๆเชียว จะอดเล่นไม่รู้ด้วย 

ตอนค่ำคืนก็มีปาตี้เล็กๆที่แสนอบอุ่นที่จัดโดยชาวบ้าน อารมณ์แคมป์ปิ้งรอบกองไฟลูกเสือ ทั้งดนตรีที่บรรเลงโดยเด็กนักเรียนบ้านสบโขง การแสดงพื้นเมือง และปิดท้ายลงด้วยบายศรีสู่ขวัญโดยคนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้านเป็นการเรียกขวัญให้กับนักเดินทางทุกคน ก็เป็นอันจบทริปโดยสมบูรณ์ ซึ่งตอนเช้าผมก็ได้เดินทางกลับแยกออกจากกลุ่มที่ไปล่องแพแม่น้ำเงา เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ประทับใจตลอดการเดินทางในครั้งนี้และหวังว่าเส้นทางเส้นนี้จะยังคงสวยเช่นเดิมตลอดไป ไม่ถูกทำลายลงเหมือนเส้นทางหลายเส้นที่สวยงามลดลง เพราะจำนวนคนที่เดินทางเข้าไป 

ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบถึงตรงนี้ หากเพื่อนๆอยากพูดคุยหรือติดตามเรื่องราวอื่นๆ สามารถกดติดตามได้ที่  https://www.facebook.com/Backpacktime/

หรือชอบดูแบบเคลื่อนไหวแบบวีดีโอก็ตาม Link นี้เลย https://www.youtube.com/backpacktime

Samakida Somkid

 วันพฤหัสที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 19.03 น.

ความคิดเห็น