+++ ครั้งหนึ่งในชีวิต . . . . . . คือผู้พิชิตภูกระดึง +++
นี่ไม่ใช่แค่ >>ครั้งหนึ่ง (คลิกอ่าน)<< แต่เป็นครั้งสอง ซึ่งครั้งนี้เรามีสมาชิกเพิ่มมาเป็นแก๊งส์ถึง 8 คนเลย
ก่อนจะไปตะลุย ภูกระดึง 3 วัน 2 คืน ระหว่าง 10 - 12 ธันวา 63
ขอฝากคลิปและเพจ กานต์•เดิน•ทาง ด้วยจ้า
สำหรับการเดินทางมาเที่ยวภูกระดึง มีด้วยกันหลายแบบมากตามรูปเลย ซึ่งพวกเราเลือกนั่งรถทัวร์ Sunbus จากหมอชิต2 รอบ 22.00 น. มาถึงผานกเค้าประมาณตี 5 ราคาคนละ 633 บาท
จองล่วงหน้า 2 เดือน เนื่องจากจะไปช่วงวันหยุดยาวเลยเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ
แน่นอนว่ามาช่วงวันหยุดยาวคนจะต้องเยอะมาก จากประสบการณ์ที่มาปีที่แล้ว
ครั้งนี้เราเลยเลือก วิธีการจองบ้านพัก (คลิกอ่านรายละเอียด) จนได้บ้าน 103 กุหลาบขาว
เป็นบ้านส่วนตัวมีน้ำอุ่น ราคา 1,800/คืน พักได้ 6 คน แต่เราไป 8 คนก็นอนได้สบายๆ
อย่างที่ทราบผานกเค้าจะมีร้านเจ้กิม ที่ใครไปภูกระดึงต้องแวะกินข้าว ล้างหน้า แปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่
แต่เพราะเราจะใช้บริการลูกหาบ เราเลยไม่แวะทำธุระที่ร้าน
พอลงรถก็รีบไปต่อคิวขึ้นสองแถว มุ่งตรงไปสู่ที่ทำการ อีกประมาณ 15-20 นาที
จะบอกว่า นทท.เยอะมาก โชคดีที่เรามากันเยอะเลยแบ่งคนไปต่อคิวซื้อป้ายติดกระเป๋า (สำคัญมาก)
ใบละ 5 บาท นับตามจำนวนใบที่จะให้ลูกหาบ ถ้าไม่มีป้ายนี้ ก็ให้ลูกหาบไม่ได้
จากนั้นจะได้บัตรคิวมาด้วยไว้รอเรียกคิวชั่งน้ำหนักกระเป๋า กิโลละ 30 บาท
มีเพื่อนในกลุ่ม 2 คนแยกตัวไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องซื้อประกันคนละ 10 บาท ยื่นเอกสารตรวจสอบการจองที่พัก และไปลงชื่อเข้าอุทยาน ซึ่งจองผ่านแอพ QueQ มาแล้ว ให้ จนท.ดู
จากนั้นก็สลับกันไปล้างหน้า แปรงฟัน หาข้าวเช้าทาน ใครที่จะมาเที่ยวช่วงหยุดยาวและจะใช้ลูกหาบ แนะนำให้ทำแบบนี้นะคะ อย่าไปเสียเวลาที่ร้านเจ้กิม เพราะไปสืบมาคิวแรกที่มาต่อซื้อป้ายติดกระเป๋า ตี3 !!
เรารอคิวเรียกอยู่นานมาก จน จนท.แนะนำว่า ให้เอาของจำเป็นติดตัวไป ถ้าลูกหาบมีพอของจะถึงเย็นนี้ ถ้าไม่พอของจะถึง พน.เช้า แต่ถ้าใครไหวถือไปเองเลย เราใจสู้ค่ะ ยังคงฝากลูกหาบเพราะแบกไม่ไหว 55+
เลยเริ่มเดินจริง 9.30 น. ใครมาเที่ยวช่วงหยุดยาว เผื่อเวลา และเอามาให้น้อยที่สุดเผื่อแบกเองด้วยนะคะ
เดินไปมองลูกหาบไปกระเป๋าเรารึป่าวนะ 55 ตื่นเต้นดีค่ะ ยิ่งช่วงนี้นักท่องเที่ยวมาเยอะมาก
ทำให้ลูกหาบมีอาการล้า ต้องหยุดพัก ลูกหาบเลยไม่พอให้บริการ
ลำพังเราเดินแบกของนิดเดียว ยังพักบ่อยเลยค่ะ กว่าจะถึงซำแฮก ปาไปเกือบชั่วโมง 55
ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม พักทุกที่ กินทุกซฎ โดยเฉพาะแตงโม ไม่ต้องเชื่อเรานะว่าหวานมาก อยากให้มาชิมเอง
ครั้งนี้เรามากันหลายคน เลยใช้เวลาพักค่อนข้างเยอะ ใครไม่ไหวก็หยุดรอกัน หิวก็กินส้มตำมื้อเที่ยง
แต่ไม่ต้องกลัวเหงาเลยค่ะ เพื่อนร่วมทางเยอะมาก
เดินไปกินไป ส้มตำก็อร่อย แตงโมก็หวาน 555+ มาภูกระดึง จริงๆพกแค่ตังค์มาก็พอ เพราะของอร่อยเยอะมากๆ เราเดินมาถึงหลังแปช่วงบ่ายสามครึ่ง (ใช้เวลา 6 ชม.รวมพัก) เจอเมเปิ้ลแดงต้นแรกก..
ถ่ายรูปกับป้ายซะหน่อย ก่อนเดินทางราบอีก 3 กิโลไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ใครมาก็ต้องถ่ายกับสนเดี่ยว ผู้เดียวดายย
และในที่สุดเราก็มาถึงที่ทำการ ด้วยเวลาเกือบๆจะห้าโมงเย็น เป็นการเดินที่ยาวนานมาก 555+
แต่โชคดีที่เราจองบ้านพักไว้ก่อนแล้ว เลยไม่ต้องกลัวจะไม่มีที่นอน วันนั้นของทุกอย่างหมดทั้งเต้นท์ หมอน ผ้าห่ม ถุงนอน ไม่แน่ใจว่าเต้นท์ร้านค้ามีพอมั้ย ใครที่หวังไปหาที่นอนดาบหน้าไม่เตรียมตัวมาให้ดีช่วงหยุดยาวถือว่าเสี่ยงพอสมควร เพราะน้ำเปล่าวันนั้นก็หมดเช่นกัน ส่วนเราไปรับกุญแจและเข้าบ้านกันค่ะ
บ้านหลังนี้มี 3 ห้องนอนนะคะ คิดว่านอนบ้านจะหนาวลมเข้าตามรูไม้ แต่ปรากฎว่าหลังนี้อุ่นมาก
ในห้องไม่มีรูเลย ถึงเตียงจะแข็งไปหน่อย แต่รู้สึกโชคดีมากที่จองบ้านนี้ทัน
ที่สำคัญที่เราเลือกจองบ้านก็เพราะว่า อยากได้น้ำอุ่นนั่นเอง ตอนกลางวันอากาศร้อน เพราะมีแดด แต่พอพระอาทิตย์ตกไปแล้ว อยากจะบอกว่าหนาวมากค่ะคู๊ณณณ ได้น้ำอุ่นไปคือดี ไม่งั้นได้ซักแห้งแน่ๆ
วันแรกหมดไปกับการเดินขึ้นภู เราเลยไม่ได้ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ไหน แค่ไปหาร้านกินข้าวเย็น ไปติดต่อจักรยานที่โทรมาจองไว้ ลุ้นกระเป๋าจากลูกหาบก็หมดวันแล้วค่ะ
วันแรกบนภูเราจบที่หมูกระทะ 555+ ชุดใหญ่ไปเลย ชุดละ 500 บาท ทานได้ 2-3 คนอิ่ม
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สอง...เราตื่นตีห้าเพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ผานกแอ่น โดยมี จนท.เดินนำทางมาอรุณเช้านี้มี นทท. มาดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมเราเยอะมากค่ะ
วันนี้เราโทรจองจักรยานล้อโตไว้ล่วงหน้าแล้วนะคะ ไม่ต้องเดินแบบปีที่แล้ว เย้ๆ
ราคาล้อโตคันละ 410 บาท ถือว่าช่วยทุ่นเวลาในการเดินรอบภูไปได้เยอะมากค่ะ
ที่แรกที่ปั่นไปก็คือ บริเวณพระพุทธเมตตา ไหว้พระ ขอพรกันสะหน่อย
จากนั้นเราก็ปั่นไปล่าใบเมเปิ้งแดงกันที่น้ำตกถ้ำใหญ่ค่ะ
ที่น้ำตกถ้ำใหญ่ น่าจะเป็นบริเวณที่มีเมเปิ้ลแดงเยอะที่สุดแล้วสำหรับทริปนี้
จากนั้นเราก็ปั่นจักรยานกันต่อค่ะ ไปที่สระอโนดาต
จากสระอโนดาต เนื่องจากเราปั่นจักรยานจึงต้องปั่นมาทางซ้ายมือตามเส้นทางจักรยาน ไม่อนุญาตให้ตรงไปเนื่องจากเป็นเส้นทางสำหรับเดินเท่านั้น เมื่อปั่นมาเรื่อยๆก็จะมาทะลุกับผาเหยียบเมฆเลยได้รูปหมู่..
เราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่นี่ ก่อนที่เพื่อน 2 คนจะขอตัวกลับที่พักเนื่องจากปั่นต่อไม่ไหว
ส่วนที่เหลืออีก 6 คนปั่นรถต่อไปยังผาหล่มสัก ไฮไลท์ที่มียอดสนยื่นไปกับหน้าผา
และใช่ค่ะ คนเยอะมาก ต่อคิวยาวเหยียด เราเลยถ่ายกับป้ายก็พอ 555+
ใครมาผาหล่มสัก ไม่ชิมกาแฟร้านชมพู่มะเหมี่ยว เหมือนมาไม่ถึง ครั้งนี้เราเลยสั่งจองบราวนี่ชิ้นละ 30 ลวงหน้าจากเพจร้านกาแฟชมหมู่มะเหมี่ยว กินคู่เครื่องดื่มเย็นๆอร่อยมากค่ะ แต่แนะนำให้สั่งหวานน้อยนะคะ
จากผาหล่มสักเราปั่นจักรยานย้อนมาเรื่อยๆ เพราะเดาว่าคนจะรอดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักเยอะเราอาจปั่นจักรยานกลับลำบาก เพราะติดคนเดิน เราเลยปั่นย้อนมาให้ใกล้ที่พักที่สุด
ระหว่างทางก็ผ่านหินที่เป็นเหมือนรูปเต่า มีเหรอจะไม่แวะถ่ายรูป 555+
ระหว่างทาง ฟิลแบบทุ่งหญ้าแอฟริกา (คิดเอาเอง))) 555+
พวกเราปั่นจักรยานกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงผาจำศีลช่วงห้าโมงกว่า
มีสมาชิกในกลุ่มขาเจ็บ ต้องรอ จนท.มารับ สมาชิกที่เหลือเลยตัดสินใจดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ค่ะ
พอพระอาทิตย์ตกดินเราก็ปั่นจักรยานกลับไปคืนที่ร้าน และไปกินหมูกระทะเหมือนเดิม นี่คือวิวระหว่างทาง
เช้าวันสุดท้ายก่อนลงจากภู มีเพื่อนบางส่วนตื่นเช้าจัดการเรื่องลูกหาบเสร็จก็เดินลงเลย แต่เราเลือกจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อ่างเก็บน้ำกันก่อน เพราะครั้งที่แล้วก็พลาดไม่ได้ไปดู ซึ่งดีต่อใจมากเพราะหมอกหนามากๆ
ใครที่ตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นไม่ทัน แนะนำมาดูที่อ่างเก็บน้ำเลยค่ะ สวยไม่แพ้กัน
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น เราก็มาหาข้าวเช้าเติมพลัง ไปแวะเขียนโปสการ์ดให้ตัวเอง คืนกุญแจบ้านพักให้อุทยาน แล้วก็เตรียมตัวเดินลงภูเพื่อไปเที่ยวต่อที่เชียงคานอีก 2 วัน 1 คืน ขอส่งท้ายทริปด้วยรูปดงสนค่ะ
กานต์เดินทาง
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.16 น.