ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา เราได้แบกเป้ตะลุยเดี่ยวเที่ยวอีสาน 4 จังหวัด (บึงกาฬ นครพนม อุดรธานี และขอนแก่น) เป็นเวลา 9 วัน โดยเราเน้นเที่ยวที่บึงกาฬ กับขอนแก่นเป็นหลัก วันนี้เลยจะมารีวิวเรื่องการเดินทาง การเช่ารถ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่เราได้ไปมา เผื่อเป็นแนวทางให้ใครที่กำลังสนใจอยู่ ตอนแรกนี้จะเน้นไปที่บึงกาฬ ส่วนที่นครพนมเราขับรถมอเตอร์ไซต์จากบึงกาฬไป จึงจะมีข้อมูลด้านการเดินทางด้วยรถสาธารณะค่ะ
บึงกาฬ:
หลายคนอาจสงสัยว่าที่บึงกาฬมีอะไรน่าสนใจบ้างเหรอ บอกเลยว่า บึงกาฬเป็นเป้าหมายหลักของเราในทริปนี้เลย สถานที่ที่เราอยากไปที่บึงกาฬก็คือ ถ้ำนาคา หินสามวาฬ และวัดภูทอก ซึ่งตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว เราลองเหล่ๆ กรุ๊ปทัวร์จากกรุงเทพที่พาไปเที่ยวบึงกาฬ แต่ไม่มีกรุ๊ปไหนที่จัดครอบคลุมสถานที่พวกนี้เลย หรือถ้าครบก็จะใช้วันเที่ยวนานไป ดูเป็นทริปกิน ทริปช้อล์มากกว่า ซึ่งไม่ใช่สไตล์เรา บวกกับหลังจากนั้นเราอยากไปดูซากฟอสซิลไดโนเสาร์ที่อุทยานแห่งชาติภูเวียง ในจังหวัดขอนแก่นขึ้นมา เราเลยรวบทั้งสองจังหวัดนี้เข้าเป็นทริปใหญ๋ทริปเดียว แล้วเดินทางไปเองคนเดียวแบบไม่ง้อทัวร์
การเดินทางไปบึงกาฬ:
การเดินทางไปบึงกาฬค่อนข้างจะลำบาก ถ้าไม่ลำบากนั่งรถนานๆ ก็ลำบากต่อขนส่งหลายต่อค่ะ
- รถบขส – ถ้าจากกรุงเทพ คือ นั่งรถทัวร์ข้ามคืน นั่งตอนเย็น แล้วจะถึงปากทางถ้ำนาคาในตอนเช้าวันต่อมา วิธีนี้จะประหยัดเวลาและราคาถูกกว่าเดินทางด้วยเครื่องบิน เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องหลัง เพราะต้องนั่งรถนานๆ
- เครื่องบิน – บึงกาฬไม่มีสนามบินของตัวเอง แต่เราสามารถนั่งเครื่องบินไปลงจังหวัดใกล้เคียงได้หลายจังหวัดเช่นอุดรธานี นครพนม ฯลฯ
o คนที่ต้องการเช่ารถส่วนตัวขับเมื่อถึงสนามบินปลายทาง แนะนำให้นั่งเครื่องบินไปลงที่จังหวัดนครพนมค่ะ จะใกล้กับบึงกาฬมาก ไม่ก็เช่ารถขับจากอุดรธานีไปก็ได้ แต่จะขับนานกว่าหน่อย
o ใครที่ขับรถไม่เป็น หรือไม่อยากเช่ารถขับ แนะนำให้นั่งเครื่องบินไปลงที่อุดร แล้วต่อรถตู้หรือบขสไปบึงกาฬ
จากสนามบิน ปกติจะมีรถลิมูซีน (รถตู้) แบบแชร์ราคาคนละ 80 บาท แต่เพราะโควิดทำให้ปัจจุบันไม่มีรถนี้ค่ะ แต่จะมีรถเก๋งเหมาคันละ 200 บาท ไปส่งที่ไหนก้ได้ในตัวเมืองแทน ซึ่งเราสามารถรอแชร์รถกับคนอื่นได้ค่ะ เคาเตอร์ของรถนี้คือเคาเตอร์เดียวกับรถลิมูซีน รับกระเป๋าแล้วเดินออกมาปุ๊บ จะอยู่ซุ้มแรกด้านขวาค่ะ
ใครที่อยากประหยัดขึ้นมาหน่อย ก็เดินไปเรียกรถตุ๊กๆ ด้านนอก หรือเดินออกจากสนามบินแล้วขึ้นรถสองแถวก้ได้ค่ะ ค่ารถสองแถวคนละ 10 บาท
จุดขึ้นรถบัส/รถตู้ไปบึงกาฬจะมีอยู่สองจุด คือ
1. หน้าห้างเซ็นทรัล รถตู้สาย 224 อุดร - รถตู้อุดร-บ้านแพง (มุมขวาของรูปคือซุ้มขายตั๋ว)
เราจำรอบช่วงเช้าไม่ได้ จำได้แค่ว่าช่วงบ่ายจะมีรอบตอนบ่ายสองและบ่ายสี่ อย่างละคันค่ะ ค่ารถคนละ 230 บาท
ที่หลักๆ ที่จะลงรถกันก็คือ ที่บขส บึงกาฬ กับที่สี่แยกดงบัง สี่แยกดงบังจะอยู่ที่อ.บึงโขงหลง อ.สุดท้ายของบึงกาฬ ใกล้กับถ้ำนาคาที่สุด
จากอุดรไปบขสบึงกาฬ จะใช้เวลาประมาณ 3 ชม. จากอุดรไปสี่แยกดงบัง จะใช้เวลาประมาณ 4 ชม.ค่ะ
ส่วนตอนขากลับ ก็มาขึ้นรถตู้ที่สี่แยกดงบังเช่นกัน ร้านขายของชำข้างตู้เอทีเอ็มเป็นจุดซื้อตั๋วรถตู้ค่ะ ขากลับไปอุดรตอนนี้จะมีรอบ 6.30 7.30 9.00 10.30 และ 12.30 เท่านั้น แนะนำให้ก่อนไปโทรเช็กกับทางที่ขายตั๋วอีกรอบเพื่อความชัวร์ค่ะ เพราะรอบรถอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์
ที่นี่มีขายตั๋วรถไปกรุงเทพด้วยนะคะ ใครที่สนใจลองโทรไปสอบถามรายละเอียดได้เลยค่ะ
2. สถานีขนส่งอุดร (อยู่ใกล้ๆ กับเซ็นทรัล เดินไปไม่ถึงห้านาทีก็ถึง) ที่นี่จะมีรถบขสไปบึงกาฬเช่นกัน แต่เราไม่รู้ค่ารถและรอบรถค่ะ
ตอนแรกเราแพลนไว้ว่าจะเดินทางด้วยรถบขสข้ามคืน เพราะประหยัดเวลาและราคาไม่แพง แต่เพราะสถานการณ์โควิด ทำให้บขสจะเปิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นจะเปิดวิ่งสักที ช่วงนั้นสายการบินมีปล่อยตั๋วโปรราคาย่อมเยาว์ออกมา เราเลยจองตั๋วเครื่องบินแทน ซึ่งค่าใช้จ่ายจะสูงกว่า และจะเสียเวลาเที่ยวไปเลยประมาณหนึ่งวันค่ะ
ที่พัก:
ถ้าต้องการพักใกล้ๆ ถ้ำนาคา ควรหาที่พักแถวอ..บึงโขงหลงค่ะ หากนั่งรถตู้มา ให้บอกรถตู้ว่าจะลงที่สี่แยกดงบัง แล้วให้รถจากที่พักมารับ (อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แล้วแต่ที่พัก)
อ.บึงโขงหลงจะใกล้กับถ้ำนาคา ถ้ำนาคี แต่จะไกลจากหินสามวาฬ แต่ถ้าเราพักในอ.เมืองก็จะใกล้กับหินสามวาฬ แต่ไกลจากถ้ำนาคา สลับกันค่ะ หากไม่แน่ใจว่าควรพักแถวไหนดี ให้ลองดูจากแพลนทริปของตัวเอง ว่าอยู่ใกล้บริเวณไหนมากที่สุดค่ะ
เราพักโฮมสเตย์ตีนภูลังกา เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ ที่อยู่ห่างจากถ้ำนาคาแค่ 2 กม. เจ้าของเป็นไกด์อาสาที่ถ้ำภูลังกาด้วย ใครที่จองคิวเข้าถ้ำนาคาได้ สามารถให้พี่เขาเป็นไกด์พาขึ้นไปได้ หรือจะให้เขาเป็นไกด์พาเที่ยวก็ได้ค่ะ
ลักษณะโฮมสเตย์ของที่นี่คือจะมีห้องส่วนตัว และมีส่วนกลางคือห้องครัว ห้องทานข้าว และห้องนั่งเล่นค่ะ อุปกรณ์ค่อนข้างครบครันอยู่ค่ะ เจ้าของที่นี่ใจดีและเป็นกันเอง ด้วยความที่อยู่หลังเขา สัญญาณมือถือในบ้านก็เลยจะขาดๆ หายๆ แล้วแต่จังหวะค่ะ
เพจเฟสบุ๊ก: โฮมสเตย์ตีนภูลังกา
รถมอเตอร์ไซด์เช่า
บอกตรงๆ ว่าใช้เวลาอยู่นานมาก กว่าเราจะรู้ว่าที่อ.บึงโขงหลงมีรถมอเตอร์ไซต์ให้เช่าด้วย เพราะในเน็ตแทบไม่มีข้อมูลเลย ตอนที่เรากำลังคิดจะเปลี่ยนแพลนเป็นไปค้างที่อ.บึงโขงหลงแทน เราก็ปวดหัวอยู่ว่า แล้วจะรถมอเตอร์ไซต์เช่าที่ไหนได้บ้างจนกระทั่งหาเจอ เรามีโอกาสได้คุยกับทั้งสองเพจตั้งแต่ช่วงที่ทำแพลนเดินทาง ทั้งสองเพจให้คำแนะนำและความช่วยเหลือดีมากเลยค่ะ แต่ลงท้าย เราก็เช่ารถมอเตอร์ไซต์กับที่พักค่ะ เลยไม่ได้ใช้บริการของทั้งสองเจ้าเลย
อ.บึงกาฬ – เพจเฟสบุ๊ก: บึงกาฬรถเช่า
อ.บึงโขงหลง – เพจเฟสบุ๊ก: ภูลังการถเช่า ถ้ำนาคา จังหวัดบึงกาฬ – อยู่หน้าถ้ำนาคาเลย คนที่นั่งรถทัวร์ข้ามคืนมา พอลงจากรถทัวร์แล้วก็จะเจอเจ้านี้ทันที สามารถเช่ารถไปเที่ยวต่อได้เลย
สถานที่เที่ยว
เราใช้เวลาอยู่ที่บึงกาฬ 5 วัน 4 คืน วันแรกเป็นวันเดินทาง วันที่ 5 เรารีบออกเดินทางไปอุดรแต่เช้า เพื่อไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียงในตอนบ่าย เท่ากับว่าเราจะมีวันเที่ยวทั้งหมด 3 วัน ซึ่งก็ถือว่าเหลือเฟือค่ะ เราแพลนไว้สบายๆ ไม่เร่งรีบมาก
แพลนเที่ยวในแต่ละวัน
1. ถ้ำนาคา
2. หินสามวาฬ และวัดภูทอก
3. ถ้ำนาคี และแหล่งเรียนรู้รอยเท้าไดโนเสาร์ ท่าอุเทน
1.ถ้ำนาคา
ถ้ำนาคานี้จะอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ฝั่งบึงกาฬ ปัจจุบันจะขึ้นได้เฉพาะคนที่จองคิวผ่านแอป QueQ ได้เท่านั้น เริ่มจองได้ตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป จองได้ล่วงหน้า 15 วันก่อนวันที่เราจะไปจริง คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่คือ ให้ต่างคนต่างกดจองของตัวเอง จะมีโอกาสจองได้มากกว่าจองทีละหลายๆ คนค่ะ
ตอนจองจะมีรอบให้เลือก แต่ตอนไปจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องไปตามรอบที่เราจองได้ค่ะ เราสามารถไปแต่เช้าได้เลย เจ้าหน้าที่เขาเช็กแค่ว่า เราจองคิวได้จริงๆ ใช่ไหม หากเราขึ้นไปตั้งแต่เช้าๆ ประมาณ 7 โมง คนจะไม่ค่อยเยอะ และแดดจะไม่ค่อยร้อน หากเราขึ้นไปตอนประมาณ 9 โมง 10 โมง คนจะเริ่มเยอะแล้วค่ะ
ทางเดินขึ้นไปข้างบนจะค่อนข้างชัน จึงมีการทำบันไดเหล็กให้เป็นระยะๆ ทางเดินไม่ยาก แต่อาจจะเหนื่อยหน่อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายค่ะ ส่วนจะใช้เวลากันคนละกี่ชั่วโมงนั้น ก็แล้วแต่ความถึก เอ๊ย สภาพร่างกายของแต่ละคน
ภาพนี้คือรอต่อแถวเดินเข้าไปในส่วนที่เรียกกันว่าถ้ำนาคา แต่จริงๆ แล้วมันคือจุดที่ดินโดนกัดเซาะจนเป็นรูโหว่คล้ายถ้ำเฉยๆ ค่ะ ไม่ใช่ถ้ำจริงๆ โซนนี้คือมาถ่ายรูปกันค่ะ
เราเดาว่าคนที่มาส่วนใหญ๋ มาที่ถ้ำนาคาเพื่อบนค่ะ 5555 เราผู้กะจะไปเดินชมธรรมชาติหาความสงบจึงหน้าเหวอไปเลยจ้า เพิ่งรู้ว่าอ้าววว นี่ชั้นมาผิดที่หรือเปล่านี่ 555 นึกว่าทุกคนอยากมากันเพราะมันสวย มันน่าตื่นตาตื่นใจ ปรากฏทุกคนพร้อมใจกันมาต่อแถวตามจุดต่างๆ เพื่อบนตามจุดต่างๆ อุต๊ะ เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย
เพราะฉะนั้น พอได้ไปที่นี่แล้วเราค่อนข้างจะผิดหวังค่ะ แอบเบื่อด้วยซ้ำ 555 อาจเพราะที่นี่ดูไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อมีการทำบันได และการทำที่กั้นตามจุดต่างๆ ทำให้สายธรรมชาติอย่างเราไม่อินค่ะ บวกกับคนไปกันค่อนข้างเยอะ ผิดกับเวลาไปเดินในอุทยานแห่งชาติอื่นๆ จึงกลายเป็นว่าเราต้องไปยืนติดแหงกตรงจุดโน้นบ้าง จุดนี้บ้างเพื่อรอให้คนเดินไปมา
คนที่รอบนก็จะมีต่อแถวรออยู่มุมโน้น
ส่วนใกล้ๆ นี่คือบางคนที่ขี้เกียจไปต่อแถว ไม่ก็คนที่มานั่งรอตรงนี้ บางคนก็นั่งสมาธิรอไปยาวๆ เลยค่ะ
ในตอนบ่าย ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ เราเลยขับรถมอเตอร์ไซต์ไปยังบึงโขงหลงค่ะ แล้วจึงพบว่า มันเป็นอำเภอเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีร้านอาหาร หรือของกินมากนัก ตอนที่เราขับวนไปนั่น เรายังไม่เจอเซเว่นสักร้านเลยนะ ท้ายสุดเราเลยแวะซื้อของกินประทังชีวิตที่ร้านขายของชำใหญ๋ๆ ข้างทางค่ะ ใครที่ต้องการหาของกินอร่อยๆ แนะนำให้ขับไปที่อ.เซกาดีกว่าค่ะ แถวนั้นจะมีร้านอาหารหลากหลายกว่า
วิวระหว่างทาง
จุดสูงสุดที่ขึ้นไปได้ ต้องเดินขึ้นบันไดมาอีกประมาณ 100 ขั้นจะได้วิวนี้
วิวระหว่างเดินลงเขาค่ะ
ค่าจอดรถ คันละ 20 บาท
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติภูลังกา คนละ 20 บาท + ค่าประกันภัย 10 บาท
(หากเราเข้าถ้ำนาคาและนาคีในวันเดียวกัน เราจะจ่ายค่าเข้าอุทยานแค่รอบเดียว แต่ถ้าทำบัตรหาย หรือเข้าคนละวัน ต้องเสียค่าเข้าสองรอบค่ะ)
2.ถ้ำนาคี
ถ้ำนาคีจะอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูลังกา ฝั่งนครพนม ห่างจากถ้ำนาคาประมาณ 20 กม.ซึ่งบอกเลยว่า เราชอบถ้ำนาคีมากกกกก เดินสนุกก เป็นธรรมชาติ บรรยากาศดี หากใครได้ไปทั้งสองที่ จะสังเกตได้เลยว่าฝั่งนครพนมจะมีต้นไม้สูงใหญ่มากกว่า ทั้งยังร่มรื่นกว่าด้วย นั่นก็เพราะฝั่งบึงกาฬเป็นหลังอุทยาน ต้นไม้ใหญ่ๆ จึงถูกลักลอบตัดไปสร้างบ้านบ้าง ตัดไปขายบ้าง ทำจนแทบไม่มีต้นไม้ใหญ๋เหลืออยู่เลยค่ะ
ป้ายอธิบายการเกิดหินรูปร่างตะปุ่มตะป่ำในอุทยานนี้ รวมถึงหินบริิเวณถ้ำนาคี และถ้ำนาคาด้วย สรุปความได้ว่า บริเวณนี้เคยอยู่ใต้น้ำ กระแสน้ำพัดพาเอาหินมาขูดขีดจนทำให้เป็นหลุมบ่อ หรือนูนๆ ไม่เรียบ ตอนหลังพื้นดินยกตัวขึ้น กลายเป็นภูเขา หินจึงโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
เส้นทางของถ้ำนาคีจะอยู่ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เดินไปจนเกือบสุดทาง จะเจอทางแยกดิบๆ หน่อย มีป้ายชี้ว่าไปถ้ำนาคี ผานาคี ให้เดินเข้าไปตามทางนั้นได้เลยค่ะ ถึงเส้นทางจะดูดิบๆ (แบบที่เราชอบ) แต่ก็มีราวกั้น ที่มีจับอะไรไว้ให้พร้อม ค่อนข้างปลอดภัยค่ะ
ขณะเดินเราก็สังเกตว่า เรากำลังเดินอยู่บนทางน้ำที่แห้งแล้ว เพราะไม่ใช่หน้าฝน จึงลองถามไกด์อาสาแถวนั้นดูเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ความว่า เส้นทางปัจจุบันนี้สร้างบนทางน้ำจริงๆ เพราะฉะนั้นพอเข้าหน้าฝนอาจต้องปิดไม่ให้เข้าชมถ้ำนาคี หรือว่าต้องทำเส้นทางใหม่ เพราะในหน้าฝนนั้นน้ำจะไหลแรงมาก ในปีที่ผ่านมา บันไดเหล็กที่ตั้งไว้ระหว่างทางยังถูกน้ำซัดลงมาพังยับเยินอยู่ปลายน้ำเลย
หากเดินแบบเรื่อยๆ ไม่รีบมาก จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชม.ค่ะ
วิวจากจุดชมวิว
วิวทางลง เส้นทางเป็นแบบนี้ไประยะหนึ่งค่ะ จับเชือกแล้วค่อยๆ เดินลงไป หรือใครอยากสไลเดอร์ลงไปก็ได้เช่นกันนน
ค่าที่จอดรถ – ฟรี
ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติภูลังกา คนละ 20 บาท (ไม่มีค่าประกัน)
3.แหล่งเรียนรู้รอยเท้าไดโนเสาร์ ท่าอุเทน
อยู่ห่างจากถ้ำนาคีไปประมาณ 40 กม. เราไปที่นี่ต่อ เพราะเสร็จจากถ้ำนาคีประมาณเที่ยง แล้วไม่รู้จะไปไหนต่อดี ที่เที่ยวในนครพนมก็มีแต่วัด ซึ่งไม่ค่อยถูกโฉลกกับเราเท่าไหร่ เข้าไปแล้วรู้สึกร้อน เอ๊ย ไม่ช่ายยย เราเลยตัดสินใจไปดูรอยเท้าไดโนเสาร์ค่ะ ที่นี่ไม่ค่อยมีรีวิวในเน็ตเท่าไหร่ แต่เห็นมีหลายคนบ่นว่า ที่นี่เหมือนไม่ค่อยมีใครเอาใจใส่มากนัก
โรงเรือนยาวๆ ที่เห็นคือจุดเดินดูรอยเท้าไดโนเสาร์ค่ะ
ทางเข้าที่นี่จะอยู่ตีนสะพานถนนเส้นที่มุ่งตรงไปยังบึงกาฬค่ะ เราขับจากบึงกาฬไป เลยต้องกลับรถ แล้วก็เลี้ยวเข้าซอย ผิดแล้วผิดอีกไปสองสามรอบ 555 กว่าจะเจอทางเข้าที่ถูกต้อง
พอเราไปถึง นิยามแรกที่เรานึกออกคือ ”ร้าง” ค่ะ ไม่มีใครเลยไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่หรือร้านค้า แต่ห้องน้ำที่นี่เปิดอยู่นะคะ โชคดีไป เพราะดันปวดท้องกะทันหันขึ้นมาพอดีเลย 555
ที่นี่จะมีรอยเท้าไดโนเสาร์ประมาณ 200 รอยจากไดโนเสาร์ 4 สายพันธุ์ มีทั้งรอยเดิน วิ่ง และไถล คาดว่าที่นี่ในอดีตเคยเป็นแหล่งน้ำที่มีไดโนเสาร์มาหากินค่ะ แต่เราก็มองออกบ้าง ไม่ออกบ้าง ป้ายแนะนำที่มีบางอันก็มัวแล้ว มองไม่ค่อยชัด จึงได้แต่ต้องเดินดูเอาเอง อันไหนที่เห็นชัดหน่อยก็ดีไป บางอันไม่แน่ใจ ก็ต้องใช้เวิร์บทูเดากันไปค่ะ 55
ค่าที่จอดรถ – ฟรี
ค่าเข้า – ฟรี (หรือตอนที่เราไปไม่มีคนขายตั๋วอยู่ก็ไม่รู้สินะ)
4.หินสามวาฬ
นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เราอยากไปมาก เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะมันเป็นหินที่มีอายุหลายล้านปีน่ะสิ 5555
ที่ได้ชื่อว่าหินสามวาฬ เพราะที่นี่มีก้อนหินรูปร่างคล้ายปลาวาฬ สามก้อน เรียกว่า วาฬพ่อ วาฬแม่ และวาฬลูก การจะถ่ายให้ครบทั้ง 3 ตัว ต้องใช้โดรนถ่ายเท่านั้น ซึ่งเราไม่มี 55 เลยได้ฟิลแค่ไปเดินบนหินสามวาฬแล้วถ่ายรูปเอาค่ะ
การขึ้นชมหินสามวาฬ เราจะต้องนั่งรถกระบะขึ้นไปค่ะ รอบละ 500 บาท ปกตินั่งได้สูงสุด 10 คน แต่ช่วงโควิดจะนั่งได้แค่ 8 คนค่ะ หากมากันน้อยๆ สามารถนั่งรอ เพื่อขึ้นไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวที่มาถึงทีหลังได้ค่ะ ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง เราเดินทางไปคนเดียว พอเจ้าหน้าที่ถามว่า จะนั่งรอไหม หรือว่าจะขึ้นไปเลย เราก็ตอบโดยไม่คิดว่า รอค่ะ 55 หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็มีนักท่องเที่ยวหญิงอีกสองคนมา เราจึงขึ้นไปพร้อมกัน จากที่จะต้องเสียค่ารถ 500 บาท จึงตกคนละ 166 บาทแทนค่ะ
นอกจากหินสามวาฬ ที่นี่ยังมีจุดแวะอีกหลายจุด ซึ่งคนขับรถจะถามเราว่าเราอยากลงไปดูไหม ถ้าอยากเขาก็จะจอดให้เราลงไปดูตามจุดต่างๆ ค่ะ
ค่าที่จอดรถ – ฟรี
ค่าเข้า – ไม่มี มีแต่ค่ารถกระบะขับขึ้นไปข้างบน รอบละ 500 บาท ช่วงโควิดนั่งได้สูงสุด 8 คน ในสถานการณ์ปกตินั่งได้สูงสุด 10 คน
5.วัดภูทอก
เราเป็นคนกลัวความสูง แต่ก็ชอบไปเที่ยวอะไรที่สูงๆ ค่ะ หนึ่งในนั้นก็คือวัดภูทอก วัดภูทอกจะอยู่ห่างจากหินสามวาฬไปประมาณ 30 กม. เป็นวัดที่สร้างเส้นทางเดินรอบภูเขา และสร้างสูงขึ้นไป 7 ชั้น แต่ละชั้นก็๗ะมีพระพุทธรูปอยู่บ้างประปรายให้กราบไหว้ระหว่างพักเหนื่อย บางชั้นเป็นทางเดินไม้ (บางช่วงร่องไม้กว้างมากกกกกกจนเสียวเลย) บางช่วงเป็นทางเดินปูน
การเดินในวัดภูทอกค่อนข้างใช้ทักษะอยู่บ้าง เพราะป้ายบอกทางไม่ค่อยชัดเจน ลงท้าย เลยเดินไปหลงไปค่ะ กร๊ากกกกกกกก หลงตั้งแต่ก่อนขึ้นล่ะ หาทางเดินไม่เจอ ต้องถามทางคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ เสี่ยงเดินไปเองมั่งไรมั่ง
วัดภูทอกมีทั้งหมด 7 ชั้น แต่เราขึ้นไปได้ถึงแค่ชั้น 6 หาทางขึ้นไปชั้น 7 ไม่เจอ พอเดินชึ้นบันไดไปแล้ว มักจะเจอแต่ทางป่าดิบๆ ริมหน้าผา มองไปรอบตัวไม่เห็นใครเดินผ่านไปมาเลย แต่มีรอยทางเดินชัดเจน แต่ถ้าเดินไปจนสุดแล้วจะเจอกับอะไรนี่เราไม่รู้เลย 555 ตอนแรกๆ ก็ยอมเดินไปตามทางสักพัก ก่อนจะถอยหลังกลับลงมาตามเดิม พอลุยป่าไปได้รอบสองรอบ หลังจากนั้นพอขึ้นบันไดไปแล้วเจอป่า เราจะหันหลังกลับเลย กลัวไปแล้วหาทางกลับไม่ได้ ไปเดินคนเดียวด้วย ถ้าหลงขึ้นมานี่ต้องพึ่งตัวเองลูกเดียวเลย เลยไม่เสี่ยงดีกว่า
เดินไปเดินมา ปรากฏเดินวนครบรอบแล้วแต่ก็ยังหาทางขึ้นไปชั้น 7 ไม่ได้ เลยขับรถกลับ ไม่ขงไม่ขึ้นมันล่ะ 555
ค่าที่จอดรถ – ฟรี
ค่าเข้า – ฟรี
จบการรีวิวในตอนแรกค่า
Duck's journey
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.02 น.