ສະບາຍດີ ประเทศลาว

ห่างหายจากการเดินทางท่องเที่ยวมาหลายปี ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว ทริปนี้เป็นทริปใกล้ๆ ที่กำลังเป็นประเทศจุดหมายปลายทางของคนไทยในช่วงนี้ ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านเรานั่นเอง การเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศนี้ยังไม่ค่อยอยู่ในแพลนของผมสักเท่าไหร่ หลายคนอาจจะมีความรู้สึกเหมือนผมว่ามันไม่ค่อยมีอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมากมาย หลายสถานที่ไม่ได้แตกต่างกับประเทศไทยมากนักทั้งวิถีชีวิต ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ วิถีชีวิต แต่เมื่อได้ศึกษาดูรีวิวของสถานที่ต่างๆ ทำให้ผมเปลี่ยนใจและเลือกประเทศนี้เป็นจุดหมายปลายทาง กับ 5 วัน 4 คืน

🇱🇦 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 🇱🇦
เมืองเฟือง - วังเวียง - หลวงพระบาง - เวียงจันทน์


Day 1 สุราษฎร์ธานี - ดอนเมือง - อุดรธานี - เมืองเฟือง

เริ่มออกเดินทางยากท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี 07.30 น. ถึงท่าอากาศยานดอนเมือง 08.30 น. เพื่อต่อเครื่องไปยังท่าอากาศยานอุดรธานี ถึงท่าอากาศยานอุดรธานีเวลาประมา 12.00 น. จากท่าอากาศยานอุดรธานี จะต้องนั่งรถตู้ไปยังด่านจังหวัดหนองคาย ประมาณ 1 ชั่วโมง สามารถซื้อตั๋วรถได้ที่สนามบินได้เลย คนละ 200 บาท หลังจากที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทยแล้ว จะต้องนั่งรถบัสจากฝั่งไทย คนละ 30 บาท ผ่านสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว ไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศลาว ตรงด่านจะมีจุดให้แลกเงิน และสามารถหาซื้อซิมโทรศัพท์ได้ (ถ้าใครจะแลกเงินเช็คเรทราคามาด้วยนะ และส่วนซิมโทรศัพท์ไม่แนะนำให้ซื้อที่ด่าน ให้ไปซื้อในตลาดหรือร้านขายโทรศัพท์มีขายเยอะแยะเลย) 


จากด่านตรวจคนเข้าเมือง เดินทางต่อไปยังจุดหมายแรกของวันนี้คือเมืองเฟือง เมืองที่หลายคนอาจจะเพิ่งรู้จัก เป็นเมืองที่สงบ การเดินทางจากนครหลวงเวียงจันทน์ขึ้นทางด่วน ประมาณ 1 ชั่วโมง ถนนวิ่งสบายมาก มีผ่านอุโมงค์ด้วยเป็นเส้นทางที่สวยงามมาก

หลังจากที่เดินทางมาได้สักประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายแรกของวันนี้ 

อ่างน้ำตง วิว รีสอร์ต |  ອ່າງນ້ຳຕົງ ວິວ ຣີສອດ

ตั้งอยู่ที่เมืองเฟือง แขวงเวียงจันทน์ เป็นที่พักริมน้ำ อยู่ในอ่างเก็บน้ำ บรรยากาศครั้งแรกที่เห็นคือต้องร้อง ว้าว ! คือคุ้มค่ากับการจองและการเดินทางเข้ามาที่ยากพอสมควร มีร้านอาหาร เครื่องดื่ม มีแพไม้ไผ่ให้เดินเล่นด้วย ซึ่งที่นี่จะมีห้องพักอยู่ริมน้ำ บนเนินเขา และยังแพไม้ไผ่สำหรับกางเต้นท์ด้วย บรรยากาศดี ราคาถูก กลางคืนอากาศดีมากเปิดประตูนอนรับลมเย็นๆแทนเครื่องปรับอากาศได้เลย ใครที่ผ่านมาเวียงจันทน์ต้องไม่พลาดที่จะแวะเข้าพักที่เมืองเฟืองสักคืน 

ตื่นเช้ามาพร้อมกับ อากาศที่เย็นสบาย และหมอกขาวๆ บนทิวเขาและผิวน้ำ  ทำให้รู้สึกอยากอยู่ต่ออีกสักคืน เริ่มหลงรักที่นี่ซะแล้ว ต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน 
สนใจจองที่พัก ได้ที่ >>> https://www.facebook.com/profi...


Day 2 วัดสินไชยาราม - วังเวียง

เช้าวันที่ 2 จากที่พักอ่างน้ำตง เดินทางไปยังวัดสินไชยาราม ใช้เวลาไม่นานนัก 

วัดสินไชยาราม | ວັດສິນໄຊຍະຣາມ

วัดนี้เป็นวัดขนาดใหญ่โอบล้อมไปด้วยภูเขา วัดนี้ถูกสร้างพร้อมกับการอนุรักษ์ป่าไม้ เป็นพุทธอุทยาน  ใช้ปฎิบัติธรรม ศึกษาพระพุทธศาสนาของคนใน สปป.ลาว ภายในวัดจะมีพญานาคให้สักการะบูชา

สำหรับวัดนี้ผู้หญิงจะต้องนุ่งซิ่นไม่อนุญาตให้ใส่กางเกง และต้องมัดรวบผมให้เรียบร้อย โดยซิ่นจะมีให้เปลี่ยนที่ทางเข้าวัด เครื่องสักการะบูชาจะมีบริการที่ทางเข้าวัดเช่นกัน

พิกัด วัดสินไชยราม >> https://goo.gl/maps/Yd2vUtactd... <<

จากวัดสินไชยราม เดินทางต่อไปยังวังเวียง ใช้ทางด่วน ประมาณ 1 ชั่วโมง สภาะภูมิประเทศของวังเวียงจะมีภูเขาเยอะ ถึงวังเวียงก็แวะพักหาคาเฟ่สักที ได้ไปเจอรีวิวมาวังเวียงจะต้องไป Pull Mine cafe Bar ถือว่าเป็นคาเฟ่ที่บรรยากาศและวิวใช้ได้เลย ด้านหน้าเป็นภูเขา พักหายเหนื่อยแล้วไปต่อกันที่

บลูลากูล 1 | Blue Lagoon 1

จุดหมายสำคัญของทุกคนเมื่อได้ไปเที่ยวยังวังเวียง สระน้ำสีฟ้าอมเขียว ใสแจ๋ว นักท่องเที่ยวจะนิยมมากระโดดน้ำคลายร้อนกัน ริมขอบสระมีคนให้กำลังใจเยอะเยะมากมายจนผมเขิลที่ไม่กล้าจะกระโดดเลย

มื้อเที่ยงนี้เราจะฝากท้องไว้ที่นี่ มีร้านอาหารหลายร้านให้เลือก ริมสระน้ำ เมนูของเราวันนี้คงไม่ต่างจากมื้ออื่นๆ เมื่อมาประเทศลาว ตำบักหุ่ง เป็นเมนูที่เราสั่งกันทุกมื้อคงจะไม่แปลก และอีกเมนูที่ต้องลองคือ ตำหมี่ขาว ปลาปิ้ง อิ่มท้องตึงกันเลยทีเดียว แอบงีบกันสักพักได้เวลาเดินทางต่อ

ค่าเข้าสถานที่ 10,000 กีบ

พิกัด Blue Lagoon >> https://maps.app.goo.gl/sBA9xX...<<

สถานที่ต่อไปเป็นจุดที่ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่ามาวังเวียงครั้งนี้จต้องไปถึงให้ได้ นั้นคือ

ผาหนามไซ

ผาหนามไซเป็นจุดชมวิวที่มาถึงวังเวียงจะต้องมาให้ได้ ภาพที่ทุกคนได้เห็นตามรีวิวที่มีจุดไฮไลต์ มีมอเตอร์ไซค์กับธงชาติลาว อยู่บนยอดเขา ภาพนี้ทำให้ผมตั้งใจที่จะไปถึงให้ได้ แต่ทางขึ้นค่อยข้างโหด ระยะทาง 350 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง แล้วแต่ความคล่องตัวของแต่ละคน แต่ที่สำคัญจะต้องใช้ความระมัดระวังมากเพราะลักษณะเส้นทางในช่วงแรกจะเป็นดินมีหินปะปน ช่วยก่อนถึงสัก 30 เมตรสุดท้ายจะไม่มีทางดินเป็นหินจะต้องปีนนิดหน่อย 

หลังจากที่เดินมาได้สักประมาณ 40 นาที แวะมาพักมาประมาณ 10 รอบ ก็ถึงจุดเป้าหมาย ภาพแรกที่เห็นคือมันหายเหนื่อยเลย ภาพที่เราเห็นในรีวิว วันนี้เรามาเจอด้วยตัวเองแล้ว ด้านบนจัมีจุดถ่ายรูปที่เป็นไฮไลต์ 2 จุด มีรถมอเตอร์ไซค์เหมือนกัน มุนนคงด้านหลังจะเป็นวิวท้องนา อีกมุมจะเป็นวิวภูเขาซึ่งจุดนี้คนรอคิวลงไปถ่ายถาพจะเยอะหน่อย ต้องรีบถ่าย 

สิ่งที่อยากแนะนำในการเที่ยวจุดนี้ แนะนำให้ใส่รองเท้าผ้าใบเพื่อป้องกันการบาดเจ็บได้ (ส่วนผมลืมเปลี่ยนรองเท้า รองเท้าแตะแอบลื่นหน่อยๆ) ที่สำคัญอย่าลืมน้ำและผ้า พอไปถึงด้านบนเหงื่อท่วมตัวเลย และช่วงเวลาที่น่าจะเหมาะกับการถ่ายรูปต้องป็นช่วงเช้า แสง และอากาศน่าจะดีกว่าช่วงบ่ายที่ผมขึ้นไป

ค่าเข้าสถานที่ 10,000 กีบ
พิกัด ผาหนามไซ >> https://maps.app.goo.gl/JXAVg2... <<


หลังจากลงจากผาหนามไซ เดินทางเข้าเมืองวังเวียงเพื่อพาคายัค ล่องแม่น้ำซอง ประมาณ 3 กิโลเมตร จุดนี้ผมไม่ได้เอารูปมาฝากนะเนื่องจากกลัวกล้องตกน้ำ ระหว่างทางก็ได้ไม่มีอะไรมาก พายชมวิวเมืองวังเวียง แอบมีจุดที่น้ำเชี่ยวพอให้ได้ตื่นเต้นอยู่ แม่น้ำซองไม่ได้มีแค่พายคายัคมีการล่องห่วงยางด้วยซึ่งเป็นที่นิยมมากของนักท่องเที่ยว

จุดปล่อยเรือ ( สะพานฟ้า หรือ ถ้ำนางฟ้า )

** ขออนุญาตภาพจากเพจบริษัททัวร์ Namthiptours vangvienglaos **

ค่าทริปพาคายัค คนละ 70,000 กีบ ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่เราเลือกด้วยนะ ใครสนใจผมแนะนำที่นี่ 

>> https://www.facebook.com/profi... <<

วันนี้เหนื่อยพอสมควร เข้าที่พักพักผ่อนกัน คืนนี้เราพักกันที่ โรงแรมไซมอน ริเวอร์ไซด์ สามารถเดินเล่นกลางคืนได้ไม่ห่างจากจุดท่องเที่ยวมากนัก มาวังเวียงแล้วต้องแอบไปสำรวจที่ผ่อนคลายหน่อย ต้องไม่พลาดซากุระ บาร์ 


Day 3 นั่งรถไฟความเร็วสูงไปหลวงพระบางกัน

ส้มตำป้าติ๋ม - วัดเชียงทอง - พระธาตุพูสี - ตลาดมืด


วันนี้เราเดินทางต่อจากวังเวียงไปยังหลวงพระบาง ด้วยรถไฟความเร็วสูง ลาว-จีน จากสถานีวังเวียงไปสถานีหลวงพระบาง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง วิ่งเร็วมาก สำหรับคนที่คิดว่าจะนั่งชิงล์ๆ ชมวิวข้างทาง นอนไปเลยครับ เพราะรถไฟจะวิ่งลอดอุโมงค์เป็นส่วนใหญ่ จะเห็นวิวบ้างเป็นช่วงๆ สถานีรถไฟใหญ่โตมาก

ก่อนเข้าสถานีจะต้องผ่านการตรวจตั๋ว หนังสือเดินทาง และจะถูกตรวจค้นทั้งกระเป๋าและตัว ข้อห้ามที่เขาจริงจังมากคือสเปรย์ที่มีสัญลักษณ์ไวไฟข้างขวด ไม่ว่าขวดจะเล็กหรือใหญ่เขาจะไม่อนุญาตให้ผ่านไปบนรถไฟ และอีกอย่างคือสเปรย์แอลกอฮอล์ล้างมือถ้าแอลกอฮอล์เกิน 75% ก็ไม่ได้นะครับ

ผู้โดยสารรถไฟเขาจะปล่อยให้ไปที่ชานชลาก่อนรถจะมาแค่ 5 นาที ไม่สามารถเข้าไปรอถ่ายรูปสวยๆเหมือนบ้านเรา รถไฟมาคือต้องขึ้นรถไฟเลยทันที รถไฟเขาตรงเวลาตามตั๋วเลยนะ

ภายในรถไฟสบายมาก โล่งสบาย รถไฟจะมา 3 ระดับ คือชั้น 2 ชั้น 1 และชั้นธุรกิจ แนะนำว่าชั้น 1 ก็เพียงพอแล้ว ราคาตั๋วไม่ได้สูงมาก เพราะราคาชั้น 1 กับชั้นธุรกิจค่อยข้างห่างกันเยอะ

ผมเอาภาพภายในรถไฟมาฝากด้วย แอบหลบไปถ่ายในห้องน้ำมาด้วย สะอาดมาก 


การจองตั๋วรถไฟค่อนข้างจะจองยากเพราะเขาจะเปิดให้เราจองได้ล่วงหน้าไม่เกิน 3 วัน จะเปิดจองเป็นรอบเวลา ไม่ได้เปิดจองทั้งวัน และ 1 คนสามารถจองได้แค่ 3 ใบเท่านั้น หากใครไม่มีเวลาหรือกลัวเสียเวลาลองหาตามเพจที่เขารับจองตั๋วดูสะดวกและประหยัดเวลาทริปของเราได้เยอะเลย 

จากสถานีวังเวียงมายังหลวงพระบาง ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง จากสถานีรถไฟจะต้องจะรถต่อเข้าเมือง ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร สามารถนั่งรถตู้หรือรถเหมาได้ที่หน้าสถานีเลย รถตู้จะไปส่งถึงที่พัก คืนนี้เราจะพักกันที่ Apple 2 Guesthouse อยู่ใกล้กับ Joma cafe ที่พักที่นี่ในช่วงเดือนหยุดยาวหรือช่วง พฤศจิกายน-ธันวาคม ที่พักค่อนข้างจะจองยากหน่อย ที่พักขอบเราคืนนี้อยู่ไม่ไกลจากริมโขง ตลาดมืด และพระธาตุพูสีมากนัก สามารถเดินเล่นไปเรื่อยๆ ได้เลย 


เข้าที่พักเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ไปเดินเล่นริมโขงกัน บรรยากาศริมโขงมีร้านอาหารตลอดริมฝั่ง คืนนี้คงต้องหาเวลามาริมโขงซะแล้ว เดินไปเดินมาเริ่มหิว ตามแพลนจุดหมายแรกที่เราจะไปเมื่อมาถึงหลวงพระบางนั่นคือ ร้านส้มตำป้าติ๋ม แห่งหลวงพระบาง ร้านส้มตำเจ้าดังที่ทุกรีวิว ทุกเพจจะต้องมารีวิว จะต้องมาชินให้ได้เมื่อมาหลวงพระบาง เมนูเด็ดที่แซ่บที่สุด นั่นคือ ตำหลวงพระบาง เป็นส้มตำที่ต่างจากบ้านเรา ลักษณะของเส้นมะละกอจะเป็นเส้นใหญ่ และที่เป็นเอกลักษณ์เลยคือรสชาติ ทีผสมกะปิในส้มตำด้วย ฟังดูอาจจะดูว่ารสชาติคงแปลกๆ แต่เมื่อลองชิมแล้ว หื้มมม อร่อย นัว มากกกกกก 

ตำหลวงพระบาง

มื้อนี้โดนไป 350,000 กีบ (ประมาณ 700 บาทไทย) เดินกันต่อจากร้านประมาณ 1 กิโลเมตร ถึงจุดหมายต่อไปคือ 

วัดเชียงทอง

วัดเชียงทอง เป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของพลวงพระบาง เป็นวัดเก่าแก่ มีอุโบสถหลังเก่าแก่ของหลวงพระบางด้านในมีพระประธาน ภายในของอุโบสถเป็นสีของอร่าม ด้านนอกจะเป็นภาพต้นทองหรือต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ และรูปสัตว์ในวรรณคดีที่ทำขึ้นจากกระจกสีตัด สะท้องแสงสวยงามมาก

จุดถ่ายรูปของวัดเชียงทองที่เห็นตามรีวิว เป็นพนังของ หอพระม่าน ตั้งอยู่หลังพระอุโบสถ เป็นจุดที่ใครมาหลวงพระบางจะต้องมาที่นี่ สามารถขึ้นไปบนหอพระม่านแล้วโผล่หน้าทางหน้าต่างได้

ค่าเข้าสถานที่ 20,000 กีบ
พิกัด วัดเชียงทอง >> https://www.google.com/maps/pl... <<

จากวัดเชียงทองได้เวลาพอดีที่จะไปชมเมืองมุมสูงของหลวงพระบาง และชมพระอาทิตย์ตก

จุดชมวิวพระธาตุพูสี

พระธาตุพูสี ตั้งอยู่กลางเมืองหลวงพระบาง อยู่ระหว่างแม่น้ำคานและแม่น้ำโขง อยู่บนยอดเขาสูง 150เมตร พระธาตุเป็นทรงดอกบัวเหลี่ยม สีทองอร่าม  การขึ้นพระธาตุพูสี จะต้องเดินเท้าขึ้นไปเป็นบันได 328 ขั้น

นอกจากขึ้นไปสักการะพระธาตุแล้ว ยังเป็นจุดที่สามารถชมเมืองหลวงพระบาง แบบ 360 องศา

แต่ไฮไลต์ช่วงเย็นเป็นที่รวมตัวของนักท่องเที่ยวเพื่อชมพระอาทิตย์จากจุดนี้บนพระธาตุพูสี เป็นวิวแม่น้ำโขงและแม่น้ำคานกับแสงสีทอง ของช่วงเวลาสั้นๆที่สวยงามมาก ก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า

ลงจากพระธาตุพูสีด้านล่างจะเป็นตลาดมืด คล้ายๆกับถนนคนเดินบ้านเรา ตลาดจะมีทุกวัน มีทั้งสินค้าพื้นเมือง อาหารพื้นเมือง ตั้งอยู่บนถนนหน้าพิพิธภัณฑ์พระราชวังหลวงพระบาง

ตลาดมืด

ก่อนจะเข้าที่พักคืนนี้ขอแดบแวะไปผ่อนคลายริมโขง ชิมเบียร์หลวงพระบาง สักหน่อย เบียร์ที่นี่ถูกมาก ยกได้ทั้งลัง ดูเหมือนจะขี้เมาหน่อยๆ แต่เบียร์หลวงพระบางถือว่าไช้ได้เลย


Day 4 หลวงพระบาง - เวียงจันทน์

ตักบาตรข้าวเหนียว - ตลาดเช้า - วัดวิชุนราช

พระธาตุโพนเพา - Fomula.B cafe’ - น้ำตกตาดกวางสี

เช้าวันนี้ที่หลวงพระบางเราตื่นกันตั้งแต่ ตี 5 เพื่อตักบาตรข้าวเหนียวเป็นกิจกรรมสิ่งที่ทุกคนต้องทำเมื่อมาถึงหลวงพระบาง เป็นการตักบาตรโดยการปั้นข้าวเหนียว ใส่ในบาตรพระ ซึ่งของตักบาตรจะมีขายอยู่เยอะหรือสามารถสั่งได้จากที่พักได้เลย ตอนเช้าจะมีเสื่อมาปูบนฟุตบาทตลอดแนวที่พระสงฆ์เดินผ่าน

หลังจากตักบาตรเสร็จ มื้อเช้าวันนี้มีอยู่ร้านนึงที่จะต้องไปเมื่อมาหลวงพระบาง เป็นร้านอาหารเช้า มีกาแฟโบราณ ชา ปาท่องโก๋ โจ๊ก ร้านตั้งอยู่ริมโขง ใกล้กับตลาดเช้า มื้อเช้าของเราวันนี้ขอฝากท้องไว้ที่นี่ละกันนะ

ร้านกาแฟประชานิยม

อิ่มแล้วเดินเล่มริมโขงกันซะหน่อยไปเจอร้านกาแฟร้านนึงเป็นคาเฟ่และมีโรงคั่วเมล็ดกาแฟด้วย กลิ่นกาแฟหอมมาแต่ไกล ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะไม่แวะชิมกาแฟสักแก้ว “ ดาดา คาเฟ่ “ ตั้งอยู่ริมโขง มีกาแฟ เบเกอรี่

ไปต่อกันที่ตลาดเช้า เป็นตลาดคล้ายๆทั่วไป มีของกิน ของใช้ มากมาย ลองไปเดินเล่นดูให้ได้รับรู้ถึงวิถีชีวิตของคนในหลวงพระบาง ของกินบางอย่างก็แอบแปลกๆอยู่นะ

วันสุดท้ายที่หลวงพระบาง วันนี้ต้องเดินทางกลับเวียงจันทน์ จองรถไฟรอบ 18.30 น. ยังพอมีเวลาให้ได้เที่ยวหลวงพระบางอีกครึ่งวัน ที่แรกของวันนี้คือ “วัดวิชุนราศ” วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระบางภายในวัดวิชุนราชมีปทุมเจดีย์หรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ ด้วยรูปทรงของเจดีย์มีลักษณะคล้ายแตงโมผ่าครึ่งทำให้ชาวเมือง เรียกว่า พระธาตุหมากโม เป็นทรงโอคว่ำ ยอดพระธาตุมีลักษณะคล้ายรัศมีแบบเปลวไฟของพระพุทธรูปแบบลังกาหรือสุโขทัย บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบนมีเจดีย์ทิศทรงบัวตูมทั่งสี่มุม

พระธาตุโพนเพา

พระธาตุโพนเพา หลวงพระบาง พระธาตุโพนเพา เป็นพระธาตุที่อยู่นอกเมืองหลวงพระบางประมาณ 3 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนเชิงเขาทางไปบ้านผานม แขวงหลวงพระบาง ประเทศลาว เป็นวัดสร้างใหม่เพื่อเป็นที่วิปัสสนาธรรม และเป็นสถานที่จำพรรษาของภิกษุสงฆ์และสามเณรในช่วงเข้าพรรษา พระธาตุโพนเพา มีความแตกต่างจากเจดีย์องค์อื่น ๆ ในเมืองหลวงพระบาง ภายในพระธาตุนั้นสามารถเดินขึ้นไปชมความสวยงามในเจดีย์ ทั้ง 4 ชั้น และสามารถมองเห็นวิวของเมืองหลวงพระบางโดยรอบ

Fomula.B cafe’

ระหว่างที่รอเวลาเพื่อไปน้ำตกตาดกวางสี เปิดรีวิวหาคาเฟ่ในหลวงพระบาง ไปเจอร้านนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์พระราชวังหลวงพระบาง น่าเป็นคาเฟ่ลับๆ ซึ่งคาเฟ่อยู่ชั้น 2 ของร้าน มาดามบุบผา ด้านหน้าร้านจะเป็นร้านสีฟ้าเขียว มีทั้งเมนู ชา กาแฟ และเบเกอรี่ เมนู Signature ของร้านมีหลากหายเมนู

น้ำตกตาดกวางสี

น้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง เป็นน้ำตกหินปูน จึงทำให้น้ำมีสีเขียวฟ้า ใสมากๆ มีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นสุดท้ายชั้นที่ 4 เป็นจุดที่เห็นน้ำตกไหลลงจากหน้าผาสูง มีสะพานข้าม เป็นจุดแลนด์มาร์คของน้ำตกตาดกวางสี การเดินทางจะต้องจอดรถไว้ด้านล่างและนั่งรถรางไฟฟ้าขึ้นไปยังน้ำตก ด้านหน้าทางเข้าน้ำตกมีร้านอาหาร ด้วย จากทางเข้าไปยังน้ำตกแต่ละชั้น ก่อนถึงน้ำตกลชั้นแรกระหว่างทางจะผ่านศูนย์อนุรักษ์หมี มีหมีให้เราได้ชมกันด้วย เขาเล่าว่าหมีเหล่านี้เป็นหมีที่ถูกช่วยเหลือจากการค้าสัตว์ป่าในประเทศลาว ได้นำหมีมาอนุรักษ์และบำรุงดูแลไว้ที่นี่

ระหว่างทางขึ้นไปน้ำตกชั้นที่ 4 ก็จะมีน้ำตกเล็กๆตลอดทาง มีจุดให้ลงเล่นน้ำได้

น้ำตกชั้นสุดท้าย เป็นจุดที่น้ำตกสวยที่สุด และคนเยอะมากที่สุดเหมือนกัน จุดนี้เป็นภาพที่เห็นกันในรีวิวทั่วไป มีน้ำตกไหลลงจากหน้าผาสูง มีสะพานข้างฝั่งที่เป็นจุดถ่ายภาพที่เป็นแลนด์มาร์คของน้ำตกตาดกวางสีแห่งนี้

ออกจากน้ำตกตาดกวางสี ตามรีวิวระหว่างทางจะมีร้านไอศกรีมนมควาย ต้องแวะลองสักหน่อย หลังจากได้ลองขอบอกว่า ไม่ใช่ทางของผม 55 แต่บางคนอาจจะชอบก็ได้ ผมว่ามันยังมีกลิ่นคาวๆอยู่ เอาเป็นว่าผ่านไปน้ำตกตาดกวางสี ลองแวะชิมดูนะ


เดินทางต่อไปยังสถานีรถไฟหลวงพระบาง เพื่อเดินทางกลับไปนครหลวงเวียงจันทน์ รอบรถไฟ 18.30 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง

จากสถานีรถไฟเวียงจันทน์ จะต้องต่อรถเพื่อเข้าไปยังในนครหลวงเวียงจันทน์ ประมาณ 1 ชั่วโมง หน้าสถานีมีรถตู้ สามารถซื้อตั่วและขึ้นรถได้เลย เขาจะไปส่งถึงที่พักเลย คืนนี้เราจะพักกันที่ริมโขง ก่อนพักผ่อนคืนนี้ขอปิดทริปวันนี้กับร้าน สามแยกปากป่าสัก


Day 5 นครหลวงเวียงจันทน์ - อุดรธานี

ประตูไซ - พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ - วัดสีสะเกด

วัดศรีเมือง - Maysa Cafe’ - The Mystery Cafe’

เช้าวันสุดท้ายของทริปที่นครหลวงเวียงจันทน์ ออกจากที่พัก วันนี้เหมารถตู้เที่ยวนครหลวงเวียงจันทน์

ประตูไซ

สถานที่แห่งนี้เป็นประตูที่สร้างขึ้นเพื่อประกาศชัยชนะจากฝรั่งเศส ครั้งปลดปล่อยเอกราชในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งคนลาวจะเรียกที่นี่ว่า อนุสาวรีย์ ช่วงกลางคืนจะมีการโชว์แสดงน้ำพุ


พระธาตุหลวงเวียงจันทน์

วัดสีสะเกด

วัดศรีเมือง

Maysa Cafe’

The Mystery Cafe’

สำหรับทริปลาว 4 คืน 5 วัน กับ 4 เมืองของประเทศลาว ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับการเดินทางท่องเที่ยวประเทศลาวครั้งแรก ผมว่าการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ผมแนะนำให้เหมารถดีกว่าที่จะหารถประจำทาง ประหยัดเวลาได้เยอะเลย ส่วนราคาก็ไม่ได้แรงมาก บางสถานที่ที่ไปลำบาก เช่น ผาหนามไซ บลูลากูล เหมารถจะดีกว่าเยอะ ส่วนจุดที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้ยกให้ ผาหนามไซ ถึงเส้นทางขึ้นจะค่อนข้างลำบาก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เรารอเราอยู่ด้านบนทำให้หายเหนื่อยและคุ้มค่ามาก และเมืองที่จะกลับไปอีกแน่นอนคือ เมืองเฟือง อ่าวน้ำตง วิว รีสอร์ท เป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีเลย เงียบสงบ ท่ามกลางบรรยากาศที่เห็นอ่างน้ำและท้องฟ้าไกลสุดสายตา เป็นภาพที่สวยที่สุดอีกภาพอีกภาพนึงในชีวิตที่ได้เจอ

เจอกันใหม่ ทริปหน้าครับ :)

รีวิวยาวมาก จะมาเพิ่มเนื้อหาข้อมูลให้เรื่อยๆ นะครับ

FB : PARANCHAI kRAIBUT

**ขอสงวนสิทธิ์การนำภาพในรีวิวไปให้โดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ **









ออกเดินทาง Step out journey

 วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.40 น.

ความคิดเห็น