(วันที่ 3) บ้านสวนวินเทจ - แม่ฮ่องสอน Boondee House (ระยะทาง212 กม./เส้นทาง 105-108) 26 ธันวา 65

:: 06.00 น.เสียงนาฬิกาปลุกเตือนครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง สามและเรื่อย ๆ ตื่นจริง ๆ ก็ปาไปเจ็ดโมงเช้า อุณหภูมิค่อยข้างหนาวเหมือนคืนแรกที่อุทยานฯตากสิน (ราว14-15องศา) ผมตื่นมาพบว่ายังคงปวดคอและหลังน่าจะเกินจากที่ผมหนาวและนอนขดตัว และเกร็งคอ บรรยากาศโดยรอบที่พักที่บ้านสวนวินเทจมันบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยจริง ๆ การเดินทางบางครั้งเราก็มาเพื่อฟังเสียงจากข้างในว่าต้องการอะไร และคุ้มกับที่เราเหนื่อยมา การเดินทางที่ไม่ได้เปรียบเทียบกับคนอื่นโดยเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด การเดินทางที่ใจรีบร้อน แต่รถไม่เอื้ออำนวย ทำให้ข้างทาง ระหว่างทางมีเรื่องราวให้หยุดฟัง

:: และเป็นเช้าแรกที่ผมพบหมอกจากการเดินทางสองวัน คุณลุงที่ดูแลที่พักมารดน้ำแต่เช้า กระฉับกระเฉงด้วยความเคยชินแต่ดูไม่ได้ขาดความเอาใจใส่กับต้นไม้และผักเหล่านั้นเลย ผมขอถ่ายวิดีโอคุณลุงด้วยความนอบน้อมกับรอยย่นบนใบหน้าที่บอกประสบการณ์หลายอย่างในชีวิต ก่อนจะเดินไปถ่ายบริเวณรอบ ๆ ที่พักสลับกับโยนสายตามองไปรอบ ๆ ที่นานครั้งจะได้เห็น สิ่งที่แตกต่างไปจากเมืองมอบให้

:: ผักต้นจิ๋วกำลังเติบโต สะเก็ดน้ำที่เพิ่มความชุ่มชื่นกระทบใบทำให้ต้นไม้น้อยดั่งมีชีวิตกระโดดโลดเต้น ชโลมด้วยแสงทาบอ่อนของดวงอาทิตย์ในเช้าวันใหม่ ผมนั่งมองผักน้อยในแปรงผักพร้อมรูมากมายที่เกิดจากหนอน ไร้สารแค่มี ไร้สิ่งเจือปน บริสุทธิ์พอที่จะหยิบเด็ดเข้าปากได้ทันที

:: หมอกดูจะขี้เกียจ และไม่เคลื่อนตัวไปไหน ดั่งรอนักท่องเที่ยวขาจรที่แวะเข้ามาถ่ายรูป น้องที่เราเจอกันเมื่อวานเข้ามาทักทายด้วยคำถามง่าย ๆ ว่าหลับสบายไหม ผมยิ้มก่อนตอบไปว่าเกือบ ๆ เพราะเมื่อคืนได้ยินเสียงแมว เช่นเดียวกับที่น้องได้ยิน และเสียงไม้ลั่นตลอดทั้งคืน รวมถึงลมที่พัดประตูดังเอี๊ยดอ๊าดตลอดคืนจนหลับไปไม่รู้ตอนไหน แต่กลับพบว่าตัวเองสดชื่นกว่าวันแรก

:: น้องผู้หญิงมาร่ำลาผมด้วยคำว่า..ขอให้พระเจ้าอวยพร ผมก็ขอให้พระเจ้าอวยพรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้น้องถึงจุดหมายปลายทางเช่นกัน ผมเก็บสัมภาระล้างหน้าแปรงฟันโดยไม่ได้อาบน้ำเป็นครั้งที่สองของเช้าวันใหม่ พี่เจ้าของที่พักนำอาหารมาเสิร์ฟหน้าที่พักกินท่ามกลางสายหมอกเบื้องหน้า ล้อมไปด้วยภูเขา และต้นไม้ที่ภัตตาคารในเมืองไม่สามารถมอบให้ได้ ซึ่งมีทั้งไข่ต้มกับน้ำพริกมะเขือ และต้มปลา รวมถึงผักต้มที่น่าทานมาก ๆ ผมเห็นเมนูถึงกับตกใจเพราะมันเยอะมาก ยังคิดในใจว่ามื้อนี้มีร้อยห้าสิบถึงสองร้อยแน่ ๆ จนจะไปจ่ายเงินเท่านั้นแหละ พี่เขาถึงบอกว่ารวมไปกับค่าที่พักแล้ว หลังจากอิ่มและกำลังเก็บของขึ้นท้ายมอร์เตอร์ไซค์ ก็เห็นคุณยายสองท่านกับชุดชาวเขาจึงเดินตามไปขอถ่ายรูป โดยเลือกกดชัดเตอร์เพียงสองครั้งและได้รูปคุณยายที่น่ารักมาทั้งสองรูป

7nnvpqr3r1tv

7dg4oka3hofx

dzvnkp60pt34

f3ja4syaerv2

irqn2w3y4ff0

on6z461pr7z1

0z3p2r9vsxyy

pqm4zpep53ri

dmfx8bhns7ya

0xcfyrnfi9qt

:: หลังจากลาพี่เจ้าของที่พักผมขับออกมาได้ราว 20 กม.ก็เจอสะพานข้ามแม่น้ำเล็ก ๆ จากที่ตั้งใจจะไม่จอดแวะแต่ก็อดใจกับความงามเบื้องหน้าไม่ได้ การเดินทางนอกจะได้ประสบการณ์มันเหมือนมีบางอย่างเติมเต็มให้เราอย่างไม่รู้ตัว ละลายความกังวลไปในขณะที่เราขับรถ หรือหยุดพักเหนื่อยสักที่ บางครั้งก็เหมือนเป็นเครื่องไทม์แมชชีนให้เราได้ย้อนคิดถึงอดีตอย่างห้ามไม่ได้ ในวัยยี่สิบกว่าเราเที่ยวอย่างนึง สามสิบเราเที่ยวอย่างนึง จนถึงที่ผมสามสิบห้าก็เที่ยวอีกอย่างนึง แต่จุดบรรจบก็คือความอยาก และความสุข

:: เมื่ออิ่มเอมทางใจและอิ่มเอมกับเสียงชัตเตอร์ ที่เมมโมรี่ในหัวดูจะเต็มไวกว่าเมมโมรี่ของกล้อง ก็ถึงเวลาที่ล้อควรหมุนออกจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งตามเส้นทางหมายเลข108 เสียงยางที่กรีดถนนและท้ายที่ดูไม่มั่นคงทำให้ต้องจอดดูถึงอาการของรถและพบว่าลมอ่อน ผมฝืนขับไปอีกราว15-20 กม. ก่อนมาเจอบ้านคนที่ตอนแรกผมคิดว่าเป็นอู่แต่ไม่ใช่ จึงยกมือไหว้ขอพี่เขาเติมลมยาง แถมพี่เขาเดินมาเติมให้ด้วยผมยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง ก่อนที่จะลากยาว ๆ จนมาถึงสบเมยและแวะร้านซ่อมมอไซด์ที่สบเมยเพื่อเช็ครถ ซึ่งช่างก็น่ารักอีกตั้งโซ่กับหยอดน้ำมันให้ผมโดยไม่คิดเงิน ผมจึงยื่นเสื้อ (ที่ผมทำขายและตั้งใจนำมาแจกเด็กระหว่างทางที่ผมเจอ) ให้ช่าง 1 ตัว ปล.ใครอยากอุดหนุนก็สั่งได้นะครับราคา250บาท หักกำไรครึ่งนึงบริจาคเป็นค่าอาหารสุนัขจร หมดช่วง Tie-in ได้เวลาเดินทางต่อรอบนี้ผมตั้งใจจะขับยาวจริง ๆ เพราะเวลาบีบผมเหลือเกิน

84kns87hje3e

32pp8m0iu02t

nhcqzjd2h1k8

mivil23ihoob

:: ยาวจนมาถึงขุนยวม 117 กม. ที่ขับลากมากโดยแวะเพียงเข้าห้องน้ำและดื่มน้ำ จนรู้สึกว่าหิวจนแสบท้องจึงแวะร้านก๊วยเตี๋ยวคุณยายข้างวัดโพธาราม ตำบลขุนยวม และผมอยากให้คนอื่นที่มีโอกาสผ่านมาแวะเช่นกัน เพราะยาย ๆ มีน้ำใจกับผมมาก ๆ เห็นผมดูอาหารแย่ ๆ บอกผมว่าค่อย ๆ กินนะ ขับรถไกลมาใช่ไหม ผมได้แต่พยักหน้าก่อนที่ยายจะหยิบเกี๊ยวมาให้กระปุกใหญ่มากพอสำหรับหลายคน และบอกกับผมว่า “หยิบเท่าที่อยากกินเลยหนู” กินไปซักพักยายก็หยิบส้มมาให้ผมอีก เรียกได้ว่าผมได้รับน้ำใจจากคนรอบข้างและระหว่างทางมากมาย ทั้งความเอ็นดู และรอยยิ้ม พูดคุยกับคุณยายเรื่อยเปื่อยสักพักใหญ่ และก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่เพียงสามสิบบาทลดลงไปถึงครึ่งเพราะกินต่อไม่ไหว ผมไหว้ลาคุณยายเตรียมตัวเดิมทางต่อ..

f9nsf224l81i

o2wxd9vauqv3

:: อาการปวดก้นยังคงอยู่ในทุกโมเม้นต์ของการเดินทาง มันเป็นความทรมานอย่างหนึ่งเลยเวลาขับรถไกล ๆ หลังจากนี้ผมไม่ได้เร่งความเร็วมาก ยังคงรักษาระดับการขับที่ 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บ้างก็นั่งเอียงซ้ายเอียงขวาเพื่อไม่ให้ก้นระบมไปมากกว่านี้ และแวะพักตามศาลาจนมาถึงศาลาหนึ่งที่ผมเสียใจมากที่ไม่ได้ติดอาหารเม็ดสุนัขมาด้วย ผมเรียกเขา(สุนัขผมโซตัวหนึ่ง)เข้ามาใกล้ ๆ แต่เขาดูกลัว ผมจึงเทน้ำใส่ถ้วยไว้ให้และขับจากไปโดยแอบมองว่าเขาจะมากินไหม แต่เขายังคงจ้องผมอยู่ ผมจึงตัดสินใจขับออกไปเลย และยังคงเสียดายที่ไม่ได้ซื้ออาหารเม็ดติดรถไว้

:: ตัดภาพอีกทีผมก็มาถึงที่พักชื่อว่า BOONDEE HOUSE แม่ฮ่องสอน ห้องธรรมดาพัดลมสี่ร้อยบาท สภาพห้องสะอาดมีตู้เย็นเย็นเจี๊ยบและทีวี มีสบู่และสองเตียงนอน ผมจัดแจงสัมภาระแยกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเพื่อนำไปซัก หยอดเหรียญสิบสี่เหรียญโดยคุณป้าให้แฟ๊บฟรี ผมปั่นแบบ MIX รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก่อนกลับเข้าห้องมาล้างหน้าเพราะแสบตา และก็พบว่าเส้นเลือดฝอยในตาคงแตกเพราะมันแดงกว่าทุกวัน มีเลือดออกจมูกนิดๆ น่าจะเพราะอากาศหนาวจัด ซึ่งผมชินเพราะเป็นทุกหน้าหนาว เดินไปบอกคุณป้าเจ้าของเครื่องซักผ้าว่าผมจะออกไปข้างนอก รบกวนคุณป้าวางไว้หน้าที่พักได้เลยนะครับ (ผมกลับมาถึงห้องและพบว่าคุณป้าใส่ตระกร้าไว้ให้อย่างดี)

benp7eyokvt0

:: มือหยิบแผนที่ที่เจ้าของที่พักให้ และเลือกจุดที่จะไปชมพระอาทิตย์ตกที่วัดพระธาตุดอยกองมู ก่อนจะไม่ได้ชมพระอาทิตย์ตก เพราะคนเยอะบวกกับความหิวที่ทำให้นึกถึงแต่ถนนคนเดินแม่ฮ่องสอน ก่อนนั่งเล่นสักพักมองฝรั่งอายุมากสองคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสพร้อมไม้เท้าในมือ อีกไม่นานเราก็จะหนีสิ่งเหล่านี้ไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงนิดเดียวอาจเป็นความทรงจำยาวให้ได้ย้อนนึกถึง จนถึงวันที่หลับไม่ตื่นแต่โลกยังคงหมุนไป

:: หกโมงเย็นตรงดิ่งมาหาของกินที่ถนนคนเดินซึ่งผมมาเป็นครั้งที่สองแล้ว มองหาร้านที่เคยมานั่งจิบเบียร์แต่พบว่าปิดตัวลงไปแล้ว มื้อนี้ผมได้ทั้งผัดไทย ไข่นกกระทาและทอดมัน

:: ความสุขของวันที่สามจบลงที่ผมคิดอะไรไม่ออกเลย อาจจะเพราะเบลอ ๆ หรือล้า จากการขับมอเตอร์ไซค์ ในหัวหยุดมือที่จ่อที่แป้นพิมพ์ก็หยุด เหลือเพียงความว่างเปล่าปนเหงาอย่างบอกไม่ถูก จนผมนึกถึงตอนที่มาถึงที่พักใหม่ ๆ แล้วพบว่าหากล้องโกโปรไม่เจอตอนนั้นรู้สึกดิ่งมาก ไม่อยากไปเที่ยวต่อ ไม่อยากย้อนกลับไปร้านก๋วยเตี๋ยวคุณยายที่ขุนยวม เพราะผมเหนื่อย และหงุดหงิดกับความสัพเพร่าของตัวเอง ผมเริ่มรื้อหาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ทำใจว่ายังไงรุ่งขึ้นก็ต้องย้อนไปเอากับระยะทาง 80 กม.เหมือนไม่ไกลแต่ผมรู้สึกว่ามันไกลและมันเหนื่อยมากกับเส้นทางแบบนี้ ณ ตอนนั้นผมไม่อยากออกไปไหนแล้วที่แม่ฮ่องสอน จนผมหยิบกระเป๋าออกก็พบว่าเป้ของผมทับอยู่ ผมเต้นอยู่ในห้อง ก่อนออกไปเที่ยววัดพระธาตุดอยกองมูอย่างรื่นเริง

:: มือหยิบแผนที่ที่เจ้าของที่พักให้ และเลือกจุดที่จะไปชมพระอาทิตย์ตกที่วัดพระธาตุดอยกองมู ก่อนจะไม่ได้ชมพระอาทิตย์ตก เพราะคนเยอะบวกกับความหิวที่ทำให้นึกถึงแต่ถนนคนเดินแม่ฮ่องสอน ก่อนนั่งเล่นสักพักมองฝรั่งอายุมากสองคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรสพร้อมไม้เท้าในมือ อีกไม่นานเราก็จะหนีสิ่งเหล่านี้ไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงนิดเดียวอาจเป็นความทรงจำยาวให้ได้ย้อนนึกถึง จนถึงวันที่หลับไม่ตื่นแต่โลกยังคงหมุนไป (เพราะเมมโมรี่นั้นสำคัญมากไม่ว่าจะเมมโมรี่ในหัวหรือกล้องของเรา)

wretb2d46fb9

3hhkgi0dkq66

3amqefqhnpk6

5ud3zrnh3b4u

lro79jtrojqa

digx9x3a1vdw

urwk5v3624vm

p5cfv9ea4dbs

fbt88rhv7maj

3zdvoo0nz8jn

ค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ค่าที่พัก 400

กาแฟ 45

ก๋วยเตี๋ยวคุณยายข้างวัดโพธาราม ตำบลขุนยวม 30 บาทเยอะมาก

น้ำมัน 60

น้ำเปล่า 10 บาท

ผัดไทย 40 บาท

ทอดมัน 50 บาท

ไข่นกกระทา 20 บาท

รวม 655 บาท

ความคิดเห็น