. ณ บันทึกเก็บยิ้ม .
เริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
เรียกว่านี่เป็นครั้งแรกของเราและเพื่อนซี้เลยก็ว่าได้ กับการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก และเราก็เลือกประเทศที่เราอยากไปมากที่สุด นั่นคือ ‘สิงคโปร์’
เอาล่ะทุกคนรีวิวนี้เราจะรวมทุกเรื่องราวการเดินทางของพวกเราสองคน พร้อมแล้วไปกันเลยยย
เราเตรียมตัวล่วงหน้ากันประมาณเดือนนิดๆ เริ่มจากเล็งตั๋วเครื่องบินมาสักพัก ก่อนจะเจอตั๋วในราคากลางๆ หลังจากนั้นทำการจองที่พัก แพลนการเที่ยวฉบับ 3 วัน 2 คืน ตั้งงบไม่เกิน 16,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆ แบบประมาณการจะอยู่ในช่วงท้ายของรีวิวนะ
8.45 น. (Boarding time)
“ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์กับสายการบินสกู๊ด โปรดขึ้นเครื่องด่วน~~”
โอ้โห! พอได้ยินประโยคนี้เท่านั้นแหละ รีบวิ่ง 100x100 จากห้องน้ำมาเลยจ้า คิดในใจอย่างเดียวว่ากำลังจะได้ไปแล้ว อย่านะ อย่ามาตกเครื่องนะ ฮ่าๆๆ
และพวกเราก็ขึ้นเครื่องทัน แบบหอบกันมาเลยทีเดียว เอาล่ะ มองไปมองมาทั้งลำมีแต่ชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ เรานั่งริมทางเดิน ส่วนเพื่อนนั่งตรงกลาง ส่วนบุคคลผู้นั่งริมหน้าต่างเป็นผู้ชายท่านหนึ่ง จุดพีคที่ทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นคนชาติไหนก็ช็อตที่เขาขอลุกไปเข้าห้องน้ำเนี่ยแหละจ้า เขาฝากเพื่อนเราถือแก้วน้ำเขาเอาไว้ และหายไปเข้าห้องน้ำสักครู่หนึ่ง พอเขากลับมาบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นเล็กน้อย จึงรู้ว่าเขาเป็นคนภูฏาน มีความใจดีจะให้ลูกอมพวกเราด้วยนะ เราก็ขอบคุณแต่ไม่ได้รับมา
ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพไปสิงคโปร์ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง
พวกเราก็หลับๆ ตื่นๆ วนกันไป
และเราก็มาถึง Changi Airport กันแล้วในเวลา 13.00 น. (เวลาท้องถิ่น) ต้องเกริ่นก่อนว่าเวลาของสิงคโปร์จะไวกว่าไทย 1 ชั่วโมง ลงมาแล้วนาฬิกาบนโทรศัพท์มือถือก็จะปรับเวลาให้ทุกท่านอัตโนมัติ
เราถูกปล่อยให้ลงที่ Terminal 3 แอบงงๆ อยู่ว่าตาม Booking ขึ้นว่า Terminal 1 เราเลยจองซิมการ์ดไว้ที่ Terminal 1 เพื่อความสะดวก แต่โอเค ไม่เป็นไร พวกเรามองหาป้าย Skytrain to T1 ซึ่งเราอยากจะบอกว่าไม่ยากเลยทุกคน เพียงแค่สังเกตป้ายว่าจะไปไหน หรือใครเปลี่ยนซิมหรือเลือกเปิดโรมมิ่งมาแล้วยิ่งง่ายใหญ่ สามารถเดินตามป้าย Arrival เพื่อไปผ่าน ตม. ได้เลย
อีกอย่างหนึ่งที่เราชอบคือมีตู้กดน้ำตามมุมต่างๆ หลายจุดเลย เราไม่แน่ใจว่าสนามบินประเทศอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ (ความพึ่งออกเดินทางประเทศแรกจะตื่นตาประมาณหนึ่ง) และเราพกกระติกน้ำเล็กๆ ติดตัวไปด้วย เผื่อใครลงมาแล้วยังไม่อยากเดินไปไหนไกลเพื่อซื้อน้ำ เราว่าการพกไปเป็นสิ่งที่ดีเลยล่ะ
การไปเที่ยวสิงคโปร์สำหรับคนไทยง่ายมากๆ ผ่านช่องทาง Automated Immigration สะดวกและไว เพียงวาง passport สแกนใบหน้า และสแกนลายนิ้วมือ (แม้จะง่ายแต่เราก็ปริ้นเอกสารเตรียมไปทุกอย่างเลย เผื่อไม่ฟลุ๊ค ตม. เรียกถาม ก็พร้อมหยิบขึ้นมาเลย)
ได้เวลาเข้าเมืองกันแล้ววววว
สังเกตป้าย 'Train to City' จากแต่ละ Terminal ที่แต่ละคนอยู่กันนะ
การเดินทางเข้าเมืองมีหลักๆ 2 วิธี คือ MRT กับ Bus ส่วนตัวเราใช้วิธีขึ้น MRT เข้าเมือง สังเกตจากป้ายที่จะบอกเราว่า MRT ไปทางไหน เมื่อถึงแล้วก็ซื้อตั๋วเดินทางกันได้เลย
บัตรโดยสารมีให้ทุกคนเลือก 3 แบบ
1.บัตร EZ Link ข้อดีคือนอกจากจะใช้ขึ้น MRT Bus ได้แล้ว ยังสามารถใช้ชำระสินค้าตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ ได้ (ที่รับบัตร EZ Link) เราเองเลือกใช้บัตรนี้ ตอนซื้อที่ MRT สนามบิน เราจ่ายไป 10 SGD ซึ่งเป็นค่าบัตร 5 SGD และจะเหลือเงินในบัตรที่เราใช้ได้อีก 5 SGD เราสามารถเติมเงินได้ที่ 7-11 จำนวนเงินขั้นต่ำในการเติมเงินแต่ละครั้งอยู่ที่ 10 SGD สูงสุดที่ 100 SGD บัตรนี้มีอายุการใช้งานที่ 5 ปี เก็บไว้ใช้รอบหน้าได้อีกสบายๆ เลย (ตอนเราเติมเงินที่ 7-11 เสียค่าเติม 50 เซ็น)
2.บัตร STP (Singapore Tourist Pass) จะเป็นบัตรแบบเหมาวันสามารถใช้ขึ้นรถ MRT กับ Bus ได้เท่านั้น ใช้ได้แบบไม่จำกัดครั้ง มีให้เลือกเหมาแบบ 1 วัน ราคา 20 SGD 2 วัน ราคา 26 SGD และ 3 วัน 30 SGD โดยจะมีค่ามัดจำบัตรเพิ่มอีก 10 SGD ซึ่งบัตรนี้จะต้องเอาไปคืนภายใน 5 วัน หลังจากที่ซื้อถึงจะได้เงินมัดจำคืน
3.บัตร Standard Ticket หรือบัตรโดยสารทั่วไป เดินทางแบบเที่ยวต่อเที่ยว ซึ่งหลังจากเดินทางออกจากสถานีเครื่องจะคืนบัตรกลับมาให้ ซึ่งบัตรนี้สามารถใช้งานได้ 6 ครั้ง ภายใน 3 วัน สามารถซื้อบัตรได้ที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติเองได้
เอาล่ะ! หลังจากที่เราได้ตั๋ว EZ Link กันแล้ว ได้เวลาที่เราจะเดินทางเข้าเมืองกัน
ใครพักย่านเกลังตามเรามาได้เลย เราเลือกพักที่ ‘Hotel 81 Premier Star’ ส่วนใครพักย่านอื่น สามารถศึกษาเส้นทางได้ง่ายๆ ผ่าน Google Map โดยเราจะต่อสถานีกัน 1 ครั้ง
Changi Airport -> (2 stations) Tanah Merah
Tanah Merah -> (5 stations) Aljunied
เดิน เดิน (ประมาณ 600 เมตร)
เช็คอิน ‘Hotel 81 Premier Star’
สำหรับเราห้องพักโอเคเลยทุกคน สะอาด อย่างที่รู้กันว่าห้องพักในประเทศสิงคโปร์จะไม่ได้กว้างขวาง ด้วยขนาดพื้นที่ที่มีจำกัด อีกวันก่อนจะออกไปเที่ยวเราก็บอกเจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์ให้แม่บ้านมาทำความสะอาดได้ เราเลยถ่ายรูปภาพห้องพักมาให้ทุกคน (อาจจะเดินไกลจาก MRT แต่ใกล้กับป้ายรถเมล์เพียงออกจากโรมแรม เลี้ยวขวา เดินประมาณ 160 เมตร)
ล้างหน้าล้างตากันให้ชื่นใจสักครู่ พร้อมแล้ว เราก็ไปลั้นลาตอนเย็นกันเถอะ
Day 1
Merlion
Helix Bridge
Wonder Full at Marina Bay Sands (รอบ 20.00 น.)
กรี๊ดมาก ฉันมาเห็นสิงโตพ่นน้ำแล้ว และข้างหลังฉันคือตึก Marina Bay Sands
อาหารเย็นสำหรับวันแรก เรามาเจอ food restaurant ข้างๆ ตึก Esplanade เราว่าอารมณ์คล้ายๆ street food เล็กๆ บ้านเรา
และมื้อแรกที่สิงคโปร์ ก็คือ บัก กุ๊ด เต๋ ทานคู่กับเต้าหู้ ที่คาดว่าจะต้มในน้ำพะโล้ ทานคู่กับปาท่องโก๋ และข้าวสวยร้อนๆ
ร้านนี้เลย 'BALESTIER BAK KUT TEH'
ตบท้ายด้วย ลอดช่องสิงคโปร์ (มาสิงคโปร์ต้องขอลองซะหน่อย ฮ่าๆ) หน้าตาคือใช่น้ำแข็งใสบ้านเราเลย รสชาติน้ำเชื่อมคล้ายๆ กับน้ำลำไย แปลกตาที่เส้นลอดช่องสีจะเขียวเข้มกว่าบ้านเรา โรยท็อปปิ้งด้วยถั่วแดง
บรรยากาศช่วงท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
หลังจากอิ่มท้อง เราสองคนก็ค่อยๆ เดินย่อยมาที่สะพาน Helix Bridge
โชคดีม๊ากกก แอบหวังลึกๆ ว่าจะได้ทานไอศกรีมคุณลุงหลังจากดูรีวิวมา แถมตอนไปเจอไม่มีคนเลยด้วย พอหลังเราซื้อเสร็จเท่านั้นแหละ คนเพียบ!
2 ทุ่มแล้ว มาชมไฟ Wonder Full at Marina Bay Sands กันเถอะ
หลังจากการแสดงไฟจบลง วงดนตรีประจำวันได้เริ่มบรรเลงเพลงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางผู้คนที่ชมไฟเสร็จแล้วเดินวนกลับมาฟังมินิคอนเสิร์ตของวันนี้กันต่อ
Day 2
Fort Canning Park Tree Tunnel
China Town
Potato Head - Buddha Tooth Relic Temple - Maxwell Food Center
Garden by the Bay
Flower Dome - Supertree Observatory
Marina Barrage Green Roof
Garden by the Bay - Supertree Observatory
(ชมการแสดงไฟต้นไม้ รอบเวลา 19.45 น.)
8.00 น. เริ่มเดินทางท่องเที่ยวกันต่อ ด้วยจุดเริ่มต้น ป้ายรถเมล์หน้าซอยที่พักของเรา
กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง ใครพักย่านเกลังเราขอแนะนำร้านอาหารเช้าร้านนี้เลย ‘Mongkok dimsum’
รสชาติติ่มซำคือดีเลยทีเดียว ส่วนเราติดใจข้าวผัดมาก ติดใจในความผัดแบบไหม้ติดกระทะ
ก่อนจะไปสถานีต่อไป เราก็เดินผ่านร้านกาแฟที่ทำให้เราต้องเดินย้อนกลับเข้าไปสั่ง สายดาร์กต้องชอบแน่ๆ แถมพี่ๆ ในร้านทั้ง 2 คน ยังใจดีสุดๆ ที่ยอมรับเงินสดของเรา แทนการจ่ายผ่านบัตรเครดิต รู้สึกคุ้มค่ากับกาแฟแก้วนี้เหลือเกินที่ทำให้เรามีพลังเดินได้ทั้งวัน เพื่อนๆ คนไหนสนใจปักหมุดมาที่ ‘GEYLANG DRIP CITY’ กันได้เลย
เอาล่ะ กินข้าวอิ่ม ดื่มคาเฟอีนพร้อม นั่งรถไป ‘Fort Canning Park Tree Tunnel’ กัน
เป็นการรอคอยที่นานเหลือเกิน ฮ่าๆ เกือบ 2 ชั่วโมงเต็มๆ กว่าจะถึงคิวของคู่เรา โชคดีมากที่เราทั้งคู่เจอพี่ๆ คนไทยที่รอคิวอยู่ข้างหน้าและข้างหลังเรา เครดิตสองรูปนี้ต้องขอบคุณพี่ๆ ที่ถ่ายภาพให้เราทั้งคู่ด้วยค่ะ ชอบมากกกก
ได้เวลาไปย่าน CHINA TOWN กันต่อ ลุย!
ใครอยากเดินตามรอยแบบใช้เวลาไม่นาน เดินตามเรากันได้เลย (ปล.ด้วยความใช้เวลาที่ Fort Canning Park Tree Tunnel นานไปหน่อย เราเลยต้องทำเวลาในย่านนี้)
Potato Head - Buddha Tooth Relic Temple - Maxwell Food Center
จังหวะที่เราเข้าไป Buddha Tooth Relic Temple หรือ วัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว เป็นจังหวะที่พระสวดมนต์อยู่พอดี ใครตั้งใจจะเข้าไปข้างในขอให้ใส่ชุดสุภาพมานะคะ แต่หากใส่ขาสั้นมาที่นี่ก็มีผ้าให้นุ่งค่ะ
ได้เวลาอาหารกลางวันกันที่ Maxwell Food Center อยู่ตรงข้ามกับวัดพระธาตุเขี้ยวแก้ว
มาถึงสิงคโปร์ก็ต้องมากินข้าวมันไก่สิงคโปร์ ตอนแรกตั้งใจว่าจะกินร้าน TIAN TIAN งื้ออ คิวยาวมาก ผ่านไป เปลี่ยนมาทานร้าน HENG HENG เห้ย เราว่าไก่ที่นี่คือนุ่มมาก (นี่ฉันคิดไปเองรึเปล่า ฮ่าๆๆ) น้ำจิ้มเขาจะไม่เหมือนบ้านเรานะ เป็นน้ำจิ้มคล้ายๆ น้ำจิ้มพริกเหลืองบ้านเรา ราดซอสดำนิดหน่อย คือดีทีเดียว
อิ่มท้องแล้ว พร้อมเดิน สถานีต่อไป Garden by the Bay
การเดินทางไป Garden by the Bay เราเดินทางกันต่อด้วย MRT ซึ่งก็ไม่ต้องเดินไปไหนไกล สถานีอยู่ข้างๆ Maxwell Food Center เลย
เพียงไม่กี่นาที พวกเราก็ถึงสถานี Garden by the Bay
ระหว่างเส้นทางที่พวกเรานั่งไป เราก็ได้เจอคนไทยอีกแล้วทุกคน คุยกันไปคุยกันมาก็มาถึงจุดหมายแล้ว
ขึ้นมาจากสถานีแล้ว เดินกันต่อนิดหน่อย และเราก็มาถึง Garden by the Bay พร้อมๆ กับเจ้าฝนที่มาครึ้มอีกแล้วววว
ในโซน Garden by the Bay เราจองตั๋วเข้าชม Flower Dome และ Supertree Observatory ผ่าน Trip.com ซึ่งตอนที่เราเลือกจะมีแพ็คเกจให้เลือกอยู่ประมาณ 3-4 แพ็คเกจ (ใครสนใจลองเข้าไปเลือกสรรกันได้เลย นอกจาก Trip.com ก็ยังมี Klook Agoda ด้วย)
ได้เวลาตามเราเข้ามาข้างใน Flower Dome กันได้เลย
ธีมตรุษจีนมาแล้วจ้า
หลังจากที่เราเดินกันจนทั่ว Flower Dome ใช้เวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า พวกเราก็เดินออกมาชมวิวมุมสูงกันที่ Supertree Observatory
ว้าววว ขึ้นมาแบบใกล้ชิด
ใครกลัวความสูงแบบเราทั้งคู่ ได้โปรดอย่ามองลงไป ฮ่าๆๆ เสียวสุดๆ
ขณะนี้เวลา 17.00 น. แม้ฝนจะตกจนหยุดไปพักใหญ่แล้ว แต่เจ้าท้องฟ้าก็ยังคงไม่มีแสงแดดปรากฏแต่อย่างใด เอาล่ะ ได้เวลาเดินไปนั่งรับลม ชมวิวเหมือนนั่งอยู่บนดาดฟ้ากันที่ Marina Barrage Green Roof ไปอย่างไรอ่ะหรอ เดินสิจ้ะ รออะไร
ใกล้แล้ว ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว เดินไปพักไป พักด้วยการถ่ายรูป วิวดีมากกก กอไก่ล้านตัว
ที่นี่ถือเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจตอนแดดร่มลมตก กิจกรรมส่วนใหญ่บนนี้ก็คือการเล่นว่าว มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเวลานี้จะเห็นว่าวรูปต่างๆ เต็มท้องฟ้าเลย
บอกได้คำเดียวว่าเรา 'หลงรักที่นี่ไปเลย'
Singapore Flyer จากบน Marina Barrage Green Roof
เวลาผ่านไปจนเกือบ 19.00 น. เอาจริงๆ เห็นว่าเวลาจะหนึ่งทุ่มแล้ว แต่ท้องฟ้าที่นี่กลับเหมือนบ้านเราตอนเวลาหกโมงเย็น ซึ่งเวลานี้เราสองคนหิวข้าวก็คือ หิวข้าวแล้วนั่นเอง
ใครที่กำลังรอชมการแสดงไฟต้นไม้ตรง Supertree Observatory รอบเวลา 19.45 น. แบบเรา แนะนำให้ทานข้าวกันก่อนที่ 'Satay by the Bay' หาไม่ยากเลยทุกคน พอเดินลงมาจาก Marina Barrage Green Roof จะเจอป้ายบอกทาง ซึ่งเป็นทางผ่านในการเดินกลับไป Garden by the Bay ในนี้มีอาหารให้เลือกหลากหลายเลย เมนูแนะนำคือ 'หมูสะเต๊ะ'
อิ่มท้องแล้ว พวกเราก็รีบเดินกลับไปที่ Garden by the Bay อย่างไว ขณะเดินๆ อยู่ ตาก็หันไปเห็น Singapore Flyer มุมนี้พอดี สะดุดตาจนต้องสะกิดเพื่อนซี้ให้รีบถ่ายอย่างไว
มาถึงแล้ววว และการแสดงไฟต้นไม้ตรงโซน Supertree Observatory จะมีอยู่ 2 รอบด้วยกัน คือ 19.45 น. และ 20.45 น.
การแสดงไฟจะใช้เวลา 15 นาที ซึ่งเรารู้สึกว่าเป็นเวลาที่ผ่านไปไวมาก เพราะ ไฟ สวย มาก เพลินตาสุดๆ
นับเป็นวันที่เที่ยวกันแบบจุกๆ ไปเลย จัดเต็มตั้งแต่เช้าจนมืดเลยทีเดียว พรุ่งนี้จะต้องเตรียมตัวกลับกรุงเทพกันแล้ว เรียกว่าเดินจนคุ้มกันมาก วันละ 2 หมื่นกว่าก้าว
Day 3
Jewel Changi Airport
เตรียมตัวกลับบ้านได้ สถานที่เที่ยวของพวกเราในวันนี้ก็คือ Jewel Changi Airport มาสิงคโปร์ทั้งทีถ้าไม่ได้รอดูน้ำพุในสนามบินเดี๋ยวเหมือนมาไม่ถึง
ก่อนอื่นเมื่อถึงสนามบิน เราหามื้อเช้าที่แสนอร่อยทานกันเถอะ
และนี่คือมื้อเช้าของเรา 'Ya Kun Kaya Toast' มื้อนี้ต้องขอขอบคุณเพื่อนสิงคโปร์ของเราที่พามาทานมื้อเช้าที่อร่อยมาก (อร่อยจนกลับมาจะต้องไปหาทานอีกให้ได้ ฮ่าๆ)
พอกินอิ่ม พวกเราก็เดินวนหามุมถ่ายรูปน้ำพุแบบเห็นชัดๆ เอาล่ะ ได้มุมแล้ว กล้องพร้อม
ได้รูปปุ๊ป พวกเราก็รีบวิ่งข้ามกลับไปอาคาร Terminal 1 เพื่อให้ทันขึ้นเครื่องรอบเที่ยงกันเลยทีเดียว เรียกว่าทั้งทริปคือปุ๊ปปั๊ปทัวร์มาก
ได้เวลาเดินทางกลับประเทศไทย
เป็นการเดินทางที่สนุกมาก และเราหลงรักสิงคโปร์ตั้งแต่ยังไม่ได้มา จนได้เดินทางมาถึงแล้ว
ขอบคุณการเดินทางในครั้งนี้ ผู้คนที่พบ สถานที่ระหว่างทาง แม้บางอย่างจะไม่เป็นไปตามแผน แต่เรากลับรู้สึกว่า บางทีอะไรที่ไม่ได้อยู่ในแผน กลับเป็นเรื่องราวความประทับใจที่เราอาจจะไม่มีวันลืมก็เป็นได้
ณ สิงคโปร์
สรุปค่าใช้จ่ายต่อคน
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 5,588 บาท : (booking via Traveloka)
- ค่าโรงแรม 2,386 บาท (2 คืน) : (booking via Trip.com)
- ค่า Sim Card StarHub 241 บาท : (booking via Klook)
- ค่าตั๋วเข้าชม Garden by the Bay โซน Flower Dome และ Supertree Observatory 633.32 บาท : (booking via Trip.com)
- ค่าประกันการเดินทาง 189 บาท
- เงินสดที่ใช้ไป ประมาณ 4,000 บาท (แลกเงินไป 240 SGD = 6,043.50 บาท (คำนวณจากเรทวันที่แลกเงิน))
รวมค่าใช้จ่ายต่อคนแบบประมาณการ 13,037.32 บาท
แล้วตามเราไปเที่ยวกันต่อทริปหน้านะ
พบกันได้ในโลกโซเชียล ณ เฟสบุ๊ค : บั น ทึ ก เ ก็ บ ยิ้ ม
https://www.facebook.com/keptyoursmile/
เ ขี ย น : มนุษย์ตัวเล็ก
มนุษย์ตัวเล็ก
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 21.59 น.