Part3: The way to the top called 'Khardungla' & my 'Shambhala'
วันนี้เราออกเดินทางกันแต่6โมงเช้าตรู่ ไปทางทิศเหนือๆของเมืองเลห์
(ทุกคนNo lateกันตามคำขู่ของกันเอง555)
ตามroute tripด้านล่าง และคืนนี้เราจะไปค้างอ้างเเรมกันที่Nubra valleyหมู่บ้านกลางทะเลทราย
และขุนเขาอันเคว้งคว้างเพราะฉะนั้นข้าวของเอาไปแต่จำเป็นทีเหลือเก็บไว้รร.
DAY3:
Leh - Kardung La Pass - Turtuk - Hunder(Camel ride)
โดยวันนี้เราขอเสนอ3พีคพอยท์ดังนี้
1) Khardungla pass: ถนนที่สูงที่สุดในโลก(ที่รถสามารถวิ่งได้) มีความสูงจากระดับน้ำทะเล5,602ม.(signboard claim) แต่จริงๆแล้วที่ถูกต้องเขาว่ามันสูงเเค่5,359ม.เองงงงง เองเหรอ!!!
นี่สูงกว่าเอาอินทนนท์ต่อกัน2ชั้นอีกนะ ทางขึ้นก็ตามรูปเลยจ๊ะ พร้อมจะเเตะขอบฟ้าทุกวินาทีดี๊ดี
และความสูงระดับนี้มนุษย์ท้องช้างอย่างเราๆอาจจะถูกAMS(Acute mountain sickness)
หรือโรคเเพ้ความสูงเล่นงานเอาได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ตรงนี้ต้องเทคเเคร์ตัวเองกันนิดนึงนะคะทุกคน
ก็ไม่ต้องซ่ามาก เดินช้าๆ ทำไรช้าช้าา(ไม่ต้องช้าขนาดต่อนยอนเนอะลบซัก1-2สเต็ปจากปกติพอ)
ไม่ใช่ไรนะแต่วิวมันดีมากอยากให้ได้ชมอยู่นานๆเพราะถ้าAMSเข้าเล่นงานเมื่อไหร่ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องลงจากจุดนั้นมาสู่ระดับต่ำให้เร็วที่สุด เวลาทำความรู้จักชื่นชมกันก็จะน้อยลง ..พูดเยอะอะไม่พูดเยอะ ไปดูๆ
และฮีก็น่ารักคือบนนั้นมันหนาวมากไง แล้วมันเป็นช่องเขาลมเอยอะไรเอยอีกพอพวกเรารื่นรมย์กันได้พักใหญ่ๆฮีก็มีน้ำชา กาแฟร้อนๆไว้บริการอยู่หลังรถ พร้อมบิสกิตอร่อยๆให้คลายความหนาวเหน็บ โอ๊ยดียิ่งกว่าได้ทองเพราะตอนนั้นความรู้สึกเหมือนนิ้วได้อันตรธานหายไป เจออะไรร้อนๆเลยดีใจที่รู้สึกได้นิดนึงว่า
เอ่อออนิ้งกูยังอยู่ครบ (ครบมั้ยวะ)>.<
เอาจริงหลายคนเห็นรูปอาจมีนึกในใจว่าไม่เห็นมีไรเลย ไปประเทศแถบยุโรปเยอะเเยะ เออก็คงเยอะเเยะ
แหละเเต่มันไม่รู้เหมือนกันมั้ยไงไอเราก็ไม่เคยไป แต่เท่าที่เห็นคือมันดีอารมณ์มันได้โอคะม่ะ555
มันไม่ใช่เเค่วิวหรือไรที่สวยไง แต่แบบกว่าจะขึ้นมาถึงเนี่ยยยยโอกาสเหินฟ้ามีให้คว้าทุกๆ50-100ม.
คือต้องกราบแทบอกBrother Jimงามๆที่ไม่พาเราไปค้นฟ้าคว้าดาวกัน
ทำให้เราได้เซย์ไฮกับThe top of the world พอได้กลับเอาไปโม้กับเพื่อนได้บ้า
เราอยู่ที่Khardungla น่าจะประมาน30นาทีหรืออาจจะนานกว่านั้น(เห็นมีคนเเนะนำเยอะว่าอย่าอยู่นานเกิน30นาทีไม่งั้นAMSก็จะชอบมาsay hi!)แต่ทำไมเรารู้สึกว่าเหมือนเราอยู่นานมากกกก แล้วก็โชคดีที่ไม่มีใครได้say hi!กับคุณลุงAMS แต่แล้วก็ได้เวลาลงจ๊ะ
ลงมาได้นิดนึง(นิดนึงจริงๆ)วิวสวยมากอย่าลืมบอกให้คนขับจอดนะ
เห็นMarmotมั้ยชะเง่อชะเเง้อยู่หน่ะ(เลนส์ซูมต้องเข้าใจ555)
ออ..เเละจะไม่พูดถึงคงไม่ได้เพราะเจอตลอดทางเวลาขึ้นเขาตั้งเเต่วันไปmoonlandก็คือ "นกท๊อป" ใช่นกท็อป!! จะเป็นไก่ก็ไม่ใช่นกก็ไม่เชิง BrotherJimบอกชื่อเเล้วเเต่จำไม่ได้เพื่อนก็เลยตั้งชื่อให้ว่านกท็อปเพราะเรานั่งหน้าเเล้วก็ทักมันทุกครั้งที่เห็นรูปก็ไม่ได้ถ่ายมา เอาเป็นว่าใครไปคือเจอเเน่อย่าลืมทักทายนางๆวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนถนนอะเเหละ นางเป็นholy animalนะเขาว่า(เขาไหน!?!??)
จะมีช่วงที่เราวิ่งเลียบShyok riverจากไหล่เขาซึ่งมองลงไปเเม่น้ำสีmilky turquoise
สวยเหนือคำบรรยาย(คือถ่ายออกมายังไงก็ไม่ได้อย่างตาเห็นอะไปดูเองเถอะ)
จริงๆจากเมืองเลห์ขึ้นมาบนkhardunglaระยะทางเเค่30กิโลกว่าๆเอง แต่ด้วยต้องขึ้นเขาและทางบางช่วงเป็นลูกรังบวกกับต้องขับระวังเพราะลื่นหิมะเลยใช้เวลาหลายชม. หลังจากเราผ่านถนนคดเคี้ยวลงสู่พื้นราบเพื่อไปยังจุดหมายถัดไประหว่างทางก็อย่าหลับเพราะวิวระหว่างทางเปลี่ยนทุก3นาที(อันนี้เว่ออไป) เราจะเจอฝูงYakหรือจามารี แพะ แกะ วัว ปาร์ตี้เริงร่ากันอยู่บนเนินเขาหรือเเม้เเต่Marmotก็อาจจะโผล่ออกมาภูเขาหินมาโบกมือให้เราก็เป็นได้เหมือนเห็นสัตว์ป่าในธรรมชาติอย่างกะซาฟารีเวิร์ลในแอฟริกา(เว่อม่ะ5555)
2) Turtuk village:
เรามุ่งหน้าไปความพีคที่2ของวันซึ่งเป็นความพีคที่เรียบง่าย สบายๆและเป็นตัวของตัวเองอย่างที่สุด
สะพานเเลนด์มาร์คแห่งหุบเขาTurtuk
Turtuk villageเป็นหมู่บ้านหนึ่งในหุบเขานูบร้าซึ่งเป็นเขตรอยต่อกับประเทศปากีสถาน Brother Jimเล่าว่าเมื่อประมานปีคศ.19xxอะไรซักอย่าง(จำไม่ได้เเฮะๆ) Turtukเป็นของปากีฯ ก่อนเปลี่ยนมาอยู่ภายใต้การปกครองของอินเดียหลังจากนั้นมาจนถึงวันที่เราไป ชาวบ้านส่วนมากของที่นี่เลยมีเค้าโครงหน้าตาไม่เหมือนคนอินเดียหรือลาดักกี้เลยซักนิด แต่จะออกแนวเเขกขาวกึ่งๆฝรั่งแบบชาวปากีฯมากกว่า
และนับถือศาสนาอิสาลามเป็นหลัก **และที่สำคัญคนที่นี่เขาไม่ชอบให้ถ่ายรูปนะ**
จริงๆก่อนถึงTurtukเราผ่านหมู่บ้านอิสลามอีก1หมู่บ้านระหว่างทาง เหมือนเป็นอีกเมืองที่อยู่ห่างไกล
และมีเด็กๆเยอะไปหมด Brother Jimบอกว่าเป็นวิถีของคนที่นี่ที่ใน1ครอบครัวจะมีลูกเยอะๆ
เเบบ7-8คนกันเลยทีเดียว
หมู่บ้านTurtukทำเกษตรเป็นหลัก ที่เห็นชัดๆเลยก็คือทุ่งข้าวบาร์เล่กลางหมู่บ้าน ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามมาก ทุ่งบาร์เล่กลางหุบเขา
ส่วนบ้านเรือนจะสร้างจากหินที่ทำเป็นอิฐมาเรียงต่อๆกัน มีธารน้ำไหลผ่านทั้งหมู่บ้านคล้ายๆกับเป็นกาวชลประทานเพราะเห็นเด็กๆมารองน้ำดื่มจากธารน้ำอยู่เป็นระยะและทุกบ้านจะมีการเลี้ยงสัตว์ไว้หน้าบ้านที่ปิดมิดชิดไม่ว่าจะเป็นวัวหรือลาทำให้บางช่วงก็จะได้กลิ่นขี้วัวปลิวมาตามสายลมอ่อนๆ55555
เราเดินผ่านหมู่บ้านไปยังจุดชมวิวท้ายหมู่บ้านที่เขามาสวยเหลือเกิน ระหว่างทางเมื่อเลยหมู่บ้านมาจะเป็นป่าไม้เล็กๆร่มรื่นสวยงาม ระยะทางเดินประมาน1กิโล
คือสำหรับที่นี่เราจะไม่ค่อยเจอนักท่องเที่ยวเยอะ ยิ่งเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยยิ่งไม่ค่อยเจอ เพราะTurtuk
คือหมู่บ้านที่ค่อนข้างไกลออกมาจากหุบเขาnubra ใช้เวลาเดินทางประมาน3-4ชม.
มีเพื่อนคนนึงถามขึ้นมาระหว่างทางอันยาวไกลว่าที่นั่นมันมีอะไรเหรอ เราถึงต้องไป!!!
ในตอนนั้นเราก็ไม่มีคำตอบให้มันหรอก เพราะก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีไรแต่เราว่าพอไปถึงเพื่อนน่าจะได้คำตอบว่ามันไม่มีอะไร มีเเต่หมู่บ้านเล็กๆห่างไกลซึ่งไม่สนใจใครเลยแต่โครตมีเสน่
สำหรับเราเลยรู้สึกว่าที่นี่มันpeacefulมาก ทำให้เราใกล้กับตัวเองมากที่สุด ได้ใช้สายตามองออกไปไกลๆ เห็นวิถีชิวิตที่แสนจะธรรมดาไม่มีการประดิษรับใช้ใครต่อใครที่มาเยือน
มันเป็นความธรรมดาที่โครตtouching
Turtuk villageเลยกลายShambhalaของเราในทริปนี้
"ซัมบาลา"คือดินเเดนในอุดมคติ(จะว่าอย่างนั้นก็ได้ให้เข้าใจง่าย) เป็นดินเเดนในเรื่องเล่าปะรำปะราของ
นิทานพุทธศาสนาไม่มีคำตอบว่าดินเเดนแห่งนี้เคยมีอยู่จริงหรือยังมีอยู่จริงหรือไม่
หลายคนเลยเปรียบเปรยให้ซัมบาลาเป็นดินเเดนขุมทรัพย์เเห่งพลัง เเห่งเเรงบันดาลใจ
แห่งความสุขสงบในจิตใจของตัวบุคคลนั้นๆ ใครเจอที่ไหนที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแบบนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่า
คุณได้พบกับซัมบาลาของคุณเองเเล้ว เหมือนเราทริปนี้^^
(ย้ำอีกทีว่าtuetukนี่ไม่มีอะไรจริงๆโครตธรรมดา เผื่อใครมาอ่านแล้วไปตามอาจจะเฮ้ยหลอกให้กูนั่งรถมานานขนาดนี้ทำไม5555 เเต่ไปเถอะไหนๆก็มาแล้ว)
เย็นวันนั้นเราออกจากTurtukย้อนกลับมานอนnubra และจะเเวะขี่อูฐที่ทะเลทรายซ่าฮาร่า(ไม่น่าใช่)
3) Hundar sand dunes :
และนี่คือความพีคสุดท้ายของวันนี้
เรามาถึงHundar sandค่อยข้างเย็นแต่คนก็ยังเยอะอยู่
อากาศเย็นและลมแรงมากกกกก ทรายนี่ปลิวว่อนมากทักทายกันตามสายลม
และมิชชั่นของเราที่นี่ก็คือการขี่หลังพี่อูฐวนไปวนมาในทะเลทราย55555
วิวเวิวอะไรเด๋วค่อยชมไปเริ่มมิทชั่นก่อนเลย เราเลือกแบบรอบ15นาทีพอหอมปากหอมคอ
ก็ครั้งเเรกเนอะลองก่อนเผื่อขอลง สนนราคา200รูปี
ซื้อตั๋วเสร็จก็พุ่งตรงไปดงพี่อูฐที่นอนเรียงรายอยู่ได้เลย คนเลี้ยงจะจัดอูฐให้ตามไซส์คนขี่ ได้กันไปคนละตัว
ขึ้นซิจ๊ะทีนี่รออะไร มันก็จะเสียวๆหน่อยตอนพี่เขาลุกยืนและมอบให้เราลอง
แต่ระหว่างนั่งแล้วเดินอ่ะเหรอ โครตตตตตตตเสียว!!! ก็มันแบบโยกๆแล้วมีวิงไปหยอกล้อกันเอง
เห็นใจหนูบ้างงงพี่อูฐจ้า(ตอนนั้นรู้สึกคิดถูกที่เลือกเเค่15นาที) แต่ก็สนุกดีได้รูปสวยๆ ต้องขอบคุณBrother Jimอีกเช่นเคยที่วิ่งตามพวกเราไปในทะเลทรายถ่ายรูปให้อย่างสวยงาม
เมื่อมิชชั่นคอมพลีทก็ได้เวลากลับที่พักกันแล้ว
ที่พักคืนนี้ของเราชื่อ "Sonam guest house" ซึ่งเราให้Brother Jimจัดการให้ ก่อนตรงไปTurtukก็เเวะดูห้องพอใจอะไรกันดี มีอาหารเย็นเเละเช้าให้ด้วยและที่สำคัญเจ้าของน่ารักมากกกสุดๆ
มื้อเย็นเราขอข้าวเขาก็หุงข้าวไว้ให้ส่วนตอนเช้าก็เป็นไข่เจียวกับแป้งคล้ายๆนานที่เป็น
traditional braedของที่นี่ทานคู่กับชาอร่อยสุดๆ
**เเนะนำใครไปนอนnubraสะอาด เจ้าของน่ารักใจดี คือดีอะไปนอนเถอะ**
นี่วิวจากระเบียงห้องเป็นไงหล่ะ ไม่ต้องคิดไรละซื้อตั๋วเดี๋ยวนี้เลย!!
Ps.เเละที่ไม่พูดถึงเป็นไม่ได้ก็คือโถส้วมในร้านอาหารที่Turtukมีความผสมผสานดู ร้านไหนไปหาเอา!!
_____________________________________________________________________
Part4: The way to make tear drop
หลังจากผ่านการเดินทางอันแสนยาวไกลกว่า12ชม.ของเมื่อวานมา อย่าเพิ่งคิดว่าวันนี้จะสบาย
เพราะวันนี้เราจะจัดอีก12ชม.
ต้องเล่าก่อนสำหรับทริป2วันนี้คือเมื่อวานเราออกจากเลห์ไปTurtuk ถ้าวิ่งแบบยาวๆถนนปกติจะใช้เวลาประมาณ6ชั่วโมง แต่เมื่อวานเรามีแวะบวกกับถนนก็ไม่ค่อยดีเลยกินเวลาไปค่อนข้างเยอะ
แล้วจากTurtukเรากลับมานอนที่nubra ซึ่งก็ใช้เวลากลับอีกเกือบ3ชั่วโมง
Brother Jimทรหดมากสำหรับทริปเมื่อวานตั้งแต่ 6 โมงเช้ายันน่าจะประมาณสองทุ่ม
ส่วนวันนี้เราจะออกจากNubraไปPangong lakeระยะเวลาปกติก็ประมาณ6ชั่วโมง แต่ก็เหมือนกันทางมันไม่ได้ลาดยางตลอดหินบ้างไรบ้างอยู่เป็นระยะแต่ว่าระหว่างทางสวยนะวิ่งเลียบShyok riverไปเรื่อยๆจนสุดแล้วขึ้นเขานิดหน่อยเข้าสู่เขตทุ่งหญ้าก็จะใกล้ถึงPangogngเเล้ว
จากPangong เราก็จะกลับเลห์วันนั้นเลยซึ่งใช้เวลาอีกประมาณ4-5ชั่วโมง(รวมๆจะ10ละนะวันนี้)
นั่นหมายความว่าBrother Jimต้องขับรถอีกร่วม12ชั่วโมงอีก1วัน
ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าทำทริปแบบนี้เขาจะมาแวะนอนที่Pangong 1คืนก่อนวิ่งกลับเข้าเลห์
แต่เราอยากกลับไปนอนในเมืองเพราะตอนเช้าอยากไปเดินlocal market
คุยกับเขาตั้งแต่ที่ไทยว่าพอจะเป็นไปได้ไหมซึ่งฮีก็น่ารักมาก ฮีบอกมันlong driveมากกกก
but possible It’s up to youก็ตกลงกันไว้ก่อนให้เขาบวกเพิ่มไป(ซึ่งบอกเลยว่าสุดท้ายไม่ได้เดินคะ
เพราะตลาดเช้าเปิด10โมงมันเสียเวลาไปที่จะต้องเเวะจิมมี่คงด่าในใจแหะๆ)
»เราไม่แนะนำเลยนะให้ทำทริปแบบเรา สงสารคนขับมากกกก อันตรายตัวเราเองด้วยคือถนนมันไม่ดี มันเหนื่อย ต้องขึ้นเขาลงเขาเจอหิมะอะไรเงี้ย นอนPangongไปเถอะเห็นเขาว่าตอนเช้าสวยมากเเต่เตรียมอุปกรณ์กันตัวเองเเข็งตอนกลางคืนไปด้วยเพราะเห็นว่าหนาวมากเช่นกัน แต่คือจิมมี่ยังขับดีมากกกกราบแทบอก100ครั้ง วันกลับคือextraไม่อั้นอะ«
งั้นมาดูroute tripโหดๆของวันนี้อีกวัน
DAY4:
Diskitb - Pangong Lake - Changla - Leh
เราออกจากที่พัก6โมงเช้าแวะ Diskitb monasteryเป็นmonasteryที่ใหญ่ที่สุดในnubra valley
ถ่ายรูปไหว้พระเป็นศิริมงคลแล้วรีบเดินทางต่อ
ระหว่างทางวันนี้นอกจากจะเห็นShyok riverสะท้อนแสงเช้าสวยงามตลอดทาง
อันนี้ห้องน้ำท่ามกลางธรรมชาติ
แล้วเดี๋ยวเราจะไปแวะหาMarmotกันด้วยย อ้วนปุ๊ก0oO
ระหว่างทางวันนี้แปลกหูแปลกตาแล้วก็เปลี่ยนไปพอสมควรเราจะเจอทุ่งหญ้าที่มีธารน้ำเล็กๆไหลผ่าน
มีม้าแกะลายืนเล็มหญ้าเหมือนในนิทานเด็กเลย น่ารักมาก
หลังจากเลี้ยวลดคดเคี้ยวขึ้นเขาลงเขามาได้หลายชั่วโมงเราก็ใกล้ถึงจุดหมายของวันนี้กันแล้ว
จะมองเห็นสีฟ้าๆกลางหุบเขาไกลลิปๆนั่นแหละPangong lake
Brother Jimแวะให้เราถ่ายรูปจากมุมสูงก่อนลงไปสัมผัสใกล้ๆ แค่นี้ก็สวยมากแล้ว
Pangong lakeเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลกพื้นที่70%ของทะเลสาบอยู่ในเขตประเทศจีน
ที่เรามองเห็นนี่แค่30% ซึ่งก็โคตรใหญ่มากแล้วอ่ะ
และที่นี่ก็ทำให้เพื่อนร่วมทางของเราคนหนึ่งเสียน้ำตาไม่ใช่ว่าเสียใจหรือเกิดอะไรไม่ดีนะแต่คือนางตื้นตัน
ตื้นตันปลาบปลื้มอิ่มเอิบอะไรของนางซักอย่างหรือจริงๆแล้วนางน้ำตาใหลเพราะเชี่ยยยถึงสักที!!!
คือที่นี่ก็ไม่ควรพูดเยอะไงไปดูๆ
คืออากาศดีทุกอย่างดีเย็นหนาวลมคือมันดีไปหมด ไม่รู้จะบอกยังไง ถ่ายออกมาไม่ได้ซักเปอร์เซ็นที่ตาเห็น
ไปดูเองไปสูดเอาเอง ไปจองตั๋วเลย!!555
จริงๆที่นี่มีเหตุการณ์เล็กๆประทับใจเกิดขึ้นด้วยแต่ไว้ค่อยมาเล่าอีกทีดีกว่า
เสร็จจากชื่นชมบรรยากาศพักใหญ่ก็กลับมาจิบน้ำชา กาเเฟร้อนๆที่รถก่อนไปหาข้าวเที่ยง(ตอนบ่ายกว่าละ)กินร้านแถวริมทะเลสาบอะแหละ
อาหารเที่ยงร้านริมทะเลสาบริมสุดเลย โอเคนะทานได้หายหิว
เสร็จแล้วมุ่งหน้ากลับเลห์กันแต่เดี๋ยวระหว่างทางเราจะผ่านChangla passถนนที่สูงอันดับสอง
รองจากKhardungla passที่เราไปมาเมื่อวานก็แวะซะหน่อยเนอะไหนก็ผ่านเเล้ว
วิวจากในห้องน้ำที่Changla(เราต้องมองไปข้างหน้าอย่ามองเท้า วิวดี>.<)
จากนั้นก็มุ่งตรงกลับเลห์ไม่แวะที่ไหนอีกเลยอยากถึงแล้วเมื่อยตูดดดด ระหว่างทางลงจากChangla
หิมะเยอะกว่าตอนKhardungอีกอ่ะเป็นกำแพงหิมะเลย เจอหิมะตกด้วยก็ค่อยๆไปไม่รีบ มารอบนี้..เอ่อเพิ่งเคยมารอบเเรกรอบเดียวจะมาๆรอบนี้ทำไม!! เเค่จะบอกว่าเจอครบทุกสภาพอากาศทั้งแดดที่เเรงโครตต
(กันเเดดสำคัญสุดอย่าลืมเอามา) ฝนตก หิมะตก ลมแรง พายุทรายคือครบอ่ะ สุด!!!
เกือบ2ทุ่มเราก็ถึงเลห์โดยสวัสดิภาพ วันนี้เราจะทำอะไรกินกันที่ๆพักเพราะอยากให้Brother Jimกลับไป
พักผ่อน(ตอนนั้นคือสรุปกันแล้วว่าพรุ่งนี้ไม่ไปตลาดเช้าแล้วนะยูววว)บอกเขาว่าให้รีบกลับไปนอนเลย
นอนเยอะๆ พรุ่งนี้เจอกันสายๆก็ได้ซัก10โมงเพราะพรุ่งนี้เราออกไปmonasteryใกล้ๆเองใช้เวลาไม่นาน
แล้วตอนเย็นค่อยกลับมาเดินซื้อของฝากที่main bazaarทีเดียว
และอาหารของค่ำคืนนี้ก็จบที่มาม่า ปลากระป๋องที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยกัน
อิ่มอร่อยแล้วไปนอนจ้ะเหนื่อยกันมาทั้งวัน
_______________________________________________________________________
End Part: The way back home
DAY5:Last day here
Shey palace - Thiksey monastery -Hemis monastery - Leh Market
วันนี้เป็นทัวร์อาม่าไหว้พระขอพร เราโชคดีมาตรงกับวันวิสาขบูชาที่เลห์ก็มีงานเหมือนไทย
เป็นวันหยุดทางศาสนา
Shey palace&monastery:
วันที่เราไปโซนpalaceไม่เปิดให้เข้าน่าจะกำลังบูรณะอยู่หรืออะไรซักอย่าง Brother Jimพาแวะทำบุญกันที่นี่มีคนมาทำบุญคล้ายๆบ้านเรา มีทำบุญน้ำมัน ผ้าแพร เดินวนรอบพระประธานอะไรประมาณนี้แต่ดูเรียบง่ายมาก พระประธานที่นี่จะเป็นFuture buddhaหรือพระศรีอริยเมตไตรย เห็นชาวเมืองส่วนใหญ่สักการะด้วยวิธีการไหว้แบบทิเบตที่ลุกขึ้นสุดแล้วก็นอนราบลงไปทั้งตัว มีลามะสวดมนต์ตลอดทั้งวัน บางคนเอาขนม น้ำ ผลไม้มาแจก เราหยิบกล้วยที่เค้าแจกมากินกันอร่อยมากสมใจเพื่อนในทริปคนนึงนางอยากกินกล้วยตั้งแต่วันแรกที่มาถึงแต่โคตรแพงสุดท้ายได้กินฟรี สบายยย555
Thiksey monastery:
ที่นี่มีความคล้ายคลึงกับพระราชวังโปตาลา(Potala palace)ในทิเบต
บ้างเลยขนานนามที่นี่เป็นโปตาลาแห่งเมืองลาดัก
ประดิษฐานองค์พระศรีอริยเมตไตรย์ขนาดใหญ่และเป็นอนุสรณ์แสดงการมาเยือนขององค์ดาไลลามะที่ 14 ที่นี้ก็มีคนมาทำบุญเยอะเหมือนกัน
Hemis monastery:
จุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ ปกติประมาณเดือนมิถุนายนของทุกปีที่นี่จะมีเทศกาลระบำหน้ากากเขาจะใช้
ลานโล่งโหญ่กลางวัดเป็นที่ทำการแสดง
ที่นี่Brother Jimไม่ได้ลงมาด้วยเพราะไม่มีที่จอดรถแต่บอกเราไว้ว่าอย่าลืมเดินเข้าไปดูMuseumสวยมากแต่ตอนเราไปใกล้จะปิดพักเที่ยงแล้วเราเลยเดินเล่นบริเวณmonasteryรอและระหว่างนั้นก็ได้เจอหิมะตก
อีกครั้งหนึ่ง หนักด้วยรอบนี้
ซักบ่ายๆMuseumก็เปิด ด้านนายจะมีขายของที่ระลึก เดินเข้าไปด้านในถึงจะเป็นMuseum แต่ก่อนเข้าจะมีล็อกเกอร์ให้ฝากของโทรศัพท์ กระเป๋า กล้องห้ามเอาเข้าไปจ้ะ ด้านในจะมีจัดแสดงโบราณวัตถุทางศาสนาและราชวงศ์คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับจุดกำเนิดของเมืองลาดักอะไรประมาณนั้นเราอ่านโน้ตบางอันพูดถึงความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับทิเบตจีนหรือตำนานที่เล่าต่อกันมา
หลังจากเดินชมจนรอบก็ออกมาซื้อของฝากเล็กๆน้อยๆราคาไม่แพงนะลองดูกันได้
บางอย่างถูกกว่าในตลาดอีก
เสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่รถกะว่ากลับไปหาอะไรกินที่main bazaarเลยแต่Brother Jimแนะนำร้านนึง
ที่เราจะผ่านขากลับชื่อ Cafe cloud เราก็ตกลงเพราะมื้อนี้กะthank you partyเขาอยู่แล้วตามใจหน่อย
ร้านบรรยากาศดีเลยเหมือนร้านอาหารดีๆแบบopen air อาหารที่ขายก็มีครบทั้งอินเดียน อิตาเลียน ลาดัก แต่มื้อนี้ขอเจริญอาหารหน่อยและอยากได้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เข้าร่างกายมากกกกก ขอเป็นอิตาเลียนแล้วกัน แต่แล้วโชคก็ไม่เข้าข้างคนจะได้บุญอะเนอะวันนี้วิสาขบูชาทั้งเมืองเป็นมังสวิรัติจ้ะNo meat!!!T^T
เอาค่ะอิตาเลียนแบบมังสวิรัตินั่นแหละพิซซ่า พาสต้า สปาเกตตี้จัดมา!!
โชคยังดีที่อาหารร้านนี้อร่อยคือดีเลย เเละอากาศขนาดนี้ต้องตบท้ายด้วยไอศกรีมจัดไป!!
ใครมาแนะนำให้ไป ราคาก็แพง..แพงแหละแต่คือดีไง แล้วอีกอย่างที่คุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียมากเลยคือห้องน้ำ ห้องน้ำดีมากกกกกอย่างกะโรงแรมดีๆ ดีกว่าที่พักเราอี๊ก555 ถือว่าเสียค่าเข้าห้องน้ำคุ้มเชื่อเรา
(ไม่ได้ถ่ายรูปมาปลื้มปริ่มอยู่55)
พุงกางกันแล้วก็มุ่งหน้าShoppingไม่หยั่งเป้าหมายหลักก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากHimalaya shopเชื่อเลยว่าคนไทยมาเยอะจริงหน้าร้านเขียนป้ายภาษาไทยแปะเต็มไปหมด และราคาถูกมากกกก
ถูกแค่ไหนให้ไปดูเอง ไปซื้อตั๋วเลย5555
ร้านนี้ยาดีมาก เขาบอก!
ใครอยากได้ธงมนต์แบบพิเศษเป็นของฝาก เเนะนำร้านนี้เขาขายผ้าเเต่มีธงมนต์ขายเป็นเเบบปัก
สัญลักษณ์เเละตัวอักษร(ที่เจอส่วนมากเป็นสกรีน)
วันนี้เราก็จะกลับไปทำกับข้าวที่ที่พักเหมือนเดิมเพราะอยากกลับไปเก็บของอะไรกันด้วย Shopping
ถึงช่วงเย็นๆก็กลับ สำหรับของที่ซื้อนั้นไม่ต้องพูดถึงกระเป๋าขยายได้เท่าไหร่ขยายไปจ๊ะ
พรุ่งนี้เช้าไฟล์11โมงนัดBrother Jimมารับตอน8โมง
และอาหารเย็นมื้อนี้ต้องขอบคุณอภินันทนาการผักใบเขียวจากพี่ๆคนไทยกรุ๊ปก่อนหน้าที่ทิ้งไว้ให้
วันนี้เลยได้ผัดผักแม็กกี้และกะหล่ำปลีใส่มาม่า ดี>.<
คืนนี้เจอMs.sumita(เจ้าของที่พัก)พอดี ถือโอกาสเคลียร์ค่าใช้จ่ายซะเลยพรุ่งนี้จะได้ไม่รีบ
แล้วแกก็น่ารักมีลดให้ด้วยบอกกลับไปรีวิวให้ไอด้วยนะ จัดให้แล้วนะคะป้า555
แล้วก็เป็นประเพณี เขาจะขอถ่ายรูปคนที่มาพักเก็บไว้เป็นประวัติ ถ่ายกันหน้าลอยๆเลยจ้า
ถ่ายจากคอมป้าอะแหละ ป้าก็นั่งขำพวกเราใหญ่555 เก็บภาพครบทุกคนก็ถึงเวลาGood night
คืนสุดท้ายแล้วJulley Julley(ยังไม่อยากกลับเล๊ยยยยย)
LAST DAY:Julley for say goodbye
คุณป้าSumitaเจ้าของที่พัก
Brother Jimมารับไปส่งเเอร์พอร์ตตอน8โมงไปถึงได้รออยู่ด้านนอกเป็นชั่วโมงเลย คือใกล้ไงแล้วรถ
ไม่ติด(ไอเราก็คิดว่าเหมือนบางกอกต้องไปก่อนเป็นชม.) เขายังไม่ให้เข้าเพราะด้านในมันเล็กไฟล์ไหน
ยังไม่ใกล้เวลาก็ให้อาบเเดดรอข้างนอกก่อน5555
ซักประมาณ 9 โมงครึ่งพี่แกถึงปล่อยเข้า ที่นี่ค่อนข้างซีเรียสเรื่องการตรวจกระเป๋ากระเป๋าเล็กที่เราจะcarryขึ้นต้องได้tagห้อยตอนตรวจเข้าประตูเลย แล้วเขาจะตรวจอีก2รอบคือก่อนเข้าไปในเกทกับก่อนออกจากเกทไปขึ้นเครื่อง รอบนี้เห็นว่าถ้ากระเป๋าใบไหนไม่ห้อยtagเขาจะไม่ให้เอาขึ้นไป ยังไงก็ดูกันดีๆเน่อออ
แล้วก็ถึงเวลาเอ่ยคำลาJulleyให้แก่หิมาลัยเป็นครั้งสุดท้าย(ของทริปนี้)แล้วจริงๆ Julleyเป็นคำแสดงไมตรีในภาษาลาดักใช้แทนคำว่าสวัสดี ขอบคุณ ลาก่อนและอีกมากมาย ตลอดทริปมาไม่ค่อยได้พูดถึงคำนี้เลย
เเต่ชีวิตจริงก็ใช้กันบ่อย
ออแล้วก็ได้มาอีกคำJalo Jaloเป็นภาษาฮินดีเเปลว่าgo goไรเทือกนั้น เเอบได้มาตอนกลับจากPangongแล้วมีอุบัติเหตุรถเฉี่ยวได้ยินเขาตะโกนกันตอนเคลียร์เสร็จเลยถามจิมมี่ว่าคือไร Jalo jalo!
ไฟล์เลห์-เดลีไม่มีเบียร์เเจกนะมีเเต่น้ำมะม่วง เซ็ตนี้ของว่างไฟล์BKK-Delhi(ถั่วที่บอกว่าเค็มกัดปาก)
สุดท้ายก็ไม่รู้ต้องพูดไรเพราะขึ้นเครื่องปุ๊บล้อยังไม่ทันหมุนก็น็อคไปเลยเหมือนโดนรมยา วิวเวิวอะไรลืมสิ้นมาตื่นตอนเขาเสิร์ฟของว่าง(หิวไงประเด็น)อีกทีก็ตอนกัปตันบอกแลนด์ละ หลับเก่งงงงZzzZ
ก็คงต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทริปครั้งนี้ที่ไม่มีบ่นกันซักคำรู้ว่าเพื่อนน่าจะเหนื่อยเเต่ก็รู้อีกเเหละว่าเพื่อนสัมผัสได้ว่ามันก็คุ้ม!(คิดเองเออเองไม่ต้องถามมัน) ขอบคุณที่ยังเชื่อใจในแพลนทริปโหดๆของเราเสมอ55555
ใครจะไปคิดว่าวันนึงหิมาลัยที่ไม่รู้มีจริงในวัยเด็ก วันนี้ได้พากันมาเจอมาทักทายกันในที่สุด
ขอบคุณมากมายจริงๆ<3
และไม่ลืมนะจ๊ะ สรุปค่าใช้จ่ายให้รู้ๆกันไปตามนี้
Mongkud
วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 11.55 น.