ช่วงนี้เมืองไทยเข้าสู่ฤดูฝนกันแล้ว กรุงเทพฯ วันนี้ฝนก็ตกทั้งเช้า เย็น

ทำให้คิดถึงทริปไต้หวันเมื่อปลายปี 58 ที่ผ่านมา

เราเดินทางไปไต้หวัน เมื่อวันที่ 5-11 ธันวาคม 2558
ช่วงนั้นคงเป็นรอยต่อระหว่างฤดูฝน กับ ฤดูหนาวมั้งคะ หนาวๆ เปียกๆ
ถึงได้เจอฝนตกและท้องฟ้าอึมครึมตลอด ยกเว้นวันที่จะกลับ แดดแรงมากกก 5555
บางทีเสน่ห์ของไต้หวันที่ทำให้เราหลงรัก อาจเพราะสายฝนก็เป็นไปได้นะ


(เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 59)

ฝนตกเมื่อไหร่ คิดว่ายังอยู่ไต้หวันอยู่เลย ภาพนี่ลอยมาค่ะ 55555 เวอร์มากกกกก
จริงๆ เราก็เขียนรีวิวไว้ส่วนหนึ่งแล้วค่ะ แต่เขียนไม่จบสักที
อาจเพราะไม่ค่อยไม่มีเวลา พอมีเวลาก็ขี้เกียจ พอนานๆ เข้าก็เริ่มลืม ความจำเสื่อม ฟิลลิ่งหายยย!!
ผ่านมา 1 เดือน 2 เดือน 3,4 เดือน จนถึงวันนี้..

แต่พอช่วงนี้บ้านเราฝนตกบ่อย จุดประกายความคิดถึงไต้หวันจนล้นออกมา
ทำให้เราอยากเล่ามันให้จบสวยงาม
บางทีสายฝนที่ตกลงมาในวันนี้ อาจเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากเล่าเรื่องไต้หวันก็เป็นได้ :X



ตอนช่วงนั้นไต้หวันกำลังบูมมาก เห็นได้จากการรีวิวในหลายๆ เว็บ หลายๆ กระทู้


และเริ่มมีคนสนใจเดินทางไปเที่ยวไต้หวันเยอะมากขึ้น

แถมราคาเครื่องก็แสนจะถู้กกก ถูกกกก โปรเยอะแยะมากก

แต่เราไม่ได้ตั๋วโปรมานะคะ เรารีบ กลัวไม่ได้ไป

จึงได้ตั๋ว V Air มาในราคา ไป-กลับ 6400 กว่าบาท

หลังจากจองไปปุ๊ป ตั๋วโปรออกมาถล่มทลายค่ะ บินคู่ บินไปกลับ ราคาไม่กี่พัน TT_TT



ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณข้อมูลจาก

กลุ่มท่องเที่ยวไต้หวันด้วยตัวเอง , TAIWANหว่อไหลเลอะ! อย่างเยอะ "เที่ยว" "กิน" "ช็อป"

Facebook Fanpage : I Work For Travel , 1000MilesJourney.com ,

Facebook คุณ Sarinee Cheng และหนังสือ เซียนไต้หวัน




ในเรื่องของที่พัก เราเลือกนอน Hostel ค่ะ
พักที่ 1983 Second Hostel วันที่ 5-9 คืนวันที่ 10 นอนสนามบิน
ตัดสินใจกันว่าจะนอน Hostel กันเพราะเน้นราคาถูกไว้ก่อน



โดยจองผ่านเว็บ Hostelworld 5 คืน 6 วัน ราคา 4400 TWD
คิดเป็นเงินไทยคนละประมาณคนละ 2 พันกว่าบาทค่ะ
หลังจากจอง จ่ายค่ามัดจำ ทางที่พักก็ส่งแผนที่ รายละเอียดการเดินทางมาให้
ห้องที่เราเลือกจะเป็น Standard 4 Bed Female ลักษณะเหมือนบ้านหลังนึงเลย
มีทุกอย่าง เครื่องเป่าผม ที่หนีบผม บริการซักเสื้อผ้าให้ด้วย มาแต่ตัวก็ยังได้
คนที่มาพักที่นี่ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นคนเกาหลี ญี่ปุ่น ซะส่วนใหญ่ มีคนไทยแค่ 2 เราเท่านั้น
และไม่ต้องห่วง Staff ที่นี่ภาษาอังกฤษคล่องมากก




มาเริ่มเดินทางกันเล้ยยยยยยยย!



DAY1
BANGKOK - TAIWAN




วันแรกของการเดินทาง ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองตอน 10 โมงกว่าๆ
ไปถึงสนามบิน Taoyuan ตอน 15.20 น. เวลาเร็วกว่าไทย 1 ชม. ถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง
ด้วยความที่ไม่รีบก็เลยไปเปิดซิมกันก่อน เหมา 7 วัน 500 TWD
เปิดซิมเสร็จก็มาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองต่อ จากตอนที่คนโล่งๆ กลับมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก
ทั้งไทย เกาหลี ญี่ปุ่น กว่าจะผ่านไปได้รอคิวนานมากค่ะ เพราะเค้าเปิดแค่ไม่กี่ช่องเท่านั้น



สถานีต่อไปนั่งรถบัสเข้าไทเป
เดินตามป้ายที่เขียนว่า Bus to City ไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอกับ Airport Bus
ซื้อตั๋วรถบัสสาย 1961 เข้าไทเป ปกติใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า
แต่เราขึ้นตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึงไทเปตอนทุ่มกว่าๆ เพราะรถติดมากกกกกกกกค่ะ



รถบัสจะไปส่งเราที่ Taipei Main Station แล้วนั่ง MRT สายสีแดง มาลงที่ สถานี Chiang Kai-Shek
ต่อ MRT สายทีเขียวมาลงที่ Taipower Building Station
ตามลายแทงที่ทางที่พักส่งเมล์มาให้ บอกเดินต่อ 500 เมตร ก็จะถึง Shi-Da Night Market
แล้วก็เดินต่อเข้าซอยไปอีกประมาณ 200 เมตร




ยัง ยัง ยังไม่ถึงที่พักอีก

อารมณ์ ณ ตอนนั้นคือเหนื่อยมากกก เมื่อไหร่จะถึงที่พัก
หิวมากกก ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่บนเครื่อง กระเป๋าก็หนัก
แถมหลงทางเดินอ้อมโลกไปที่พักอีก ขนาดมีแผนที่แล้วนะ
แต่พอเราเดินทางผ่าน Shi-Da Night Market เท่านั้นแหละค่ะ
ความเหนื่อยก็หายไป รีบเดินเข้าที่พักอย่างเร็วไว มีแรงฮึดขึ้นมาเป็นพิเศษ
ไม่คิดว่าที่พักเราจะอยู่ใกล้กับตลาดขนาดนี้ ฟินละคะ
วัยรุ่นแต่งตัวแนวๆ เสื้อผ้าแนวๆ เยอะมากกก ราคาก็ใกล้เคียงกับบ้านเราด้วยค่ะ
ไม่ต้องขนเสื้อผ้ามาให้หนัก มาซื้อที่นี้แล้วใส่เลยดีกว่า



ความรู้สึกตอนนั้น : มีแสนจ่ายแสน มีล้านจ่ายล้าน 55555


"แป้ง... ถ้าเราตังค์ไม่พอ เราไม่ต้องไปปั่นจักรยานที่ฮวาเหลียนก็ได้นะ"
พี่อีกคนที่เดินทางมาด้วยกล่าวไว้ เมื่อเจอกับตลาดแห่งนี้


คิดถึง Shi-da Night Market


ตลาดเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับ National Taiwan Normal University

เสื้อผ้าและสินค้าที่นี่จึงเป็นแนววัยรุ่น ราคาไม่แพง ต่อรองได้ ค่ะ

ใครที่ชอบเสื้อผ้าแนวๆ มาอัพเดตแฟชั่นกันได้ที่นี่ บอกเลยห้ามพลาดค่ะ

ส่วนอาหารการกินนี่ที่ก็มีทุกเชื้อชาติค่ะ ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น อาหารไทยก็มีนะเออ



เจอ Totoro กับ คาโอนาชิ เจ้าผีไร้หน้า จากเรื่อง Spirited Away ด้วย


ส่วนมื้อเย็นมื้อแรกของวันนี้ มาถึงถิ่นก็อยากลองชิมอาหารของคนที่นี่ดูสักครั้ง


แต่พอเห็นเมนูแล้วก็เจ็บหัว ภาษาจีนทั้งเพ!

เลยเลือกเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนี้แทน เพราะมีเมนูอังกฤษแยกให้ด้วย จัดไปเบาๆ

ข้าวหน้าเนื้อ ราคา 90 TWD เกี๊ยวทอด 60 TWD เรทเงินตอนนั้น 1.12 ค่ะ



DAY2


คิดถึง TAIPEI ART AND CULTURE และ TORORO เพื่อนรัก



วันที่สองของการเดินทาง วันนี้เราวางแผนกันไว้ว่าจะเก็บ landmark สำคัญๆ ในไทเปทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็น Chiang Kai-Shek Memorial Hall , Red House ,

HUASAN 1914 CREATIVE PARK , ตึก Taipei 101



เราสามารถเดินทางได้โดย MRT และแค่มีบัตร Easy Card ใบเดียว

ก็สามารถไปทุกที่ที่เราต้องการได้

แต่เช้านี้ฝนฟ้าจะไม่ค่อยเป็นใจนัก ตกลงมาตั้งแต่เช้า ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดด้วย



มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้ามาไต้หวันแล้วไม่เจอฝน แสดงว่ายังมาไม่ถึงไต้หวัน"


คิดซะว่าสายฝนเช้านี้ เป็นสายฝนที่ต้อนรับ 2 สาวไทยอย่างเราเข้าสู่ไต้หวันอย่างเต็มตัว



อย่ารอช้า อย่ากลัวสายฝน ถือร่มคนละคัน พร้อมออกลุย เย้!!!



ออกจากที่พัก ก็เดินสำรวจบรรยากาศรอบๆ กันก่อน


ขณะนี้เวลา 8 โมงเช้า แปลกใจมากค่ะ ยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย

หรือปกติวันเสาร์เค้าจะไม่เปิดร้านกัน ??



เคยอ่านเจอมาเค้าบอกว่า ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ


แต่เป็นเพราะคนไต้หวันจะเลิกงานดึกกัน ร้านค้าที่นี่จะเปิดกันตอนประมาณ 10 โมง



เดินสำรวจรอบที่พักกันจนพอใจก็มาหามื้อเช้าแบบเสี่ยงดวงกันค่ะ


เจอร้านไหนเข้าร้านนั้น ถูกใจร้านไหนก็กินร้านนั้น

ร้านอาหารเช้านี้ก็เลยเจอตอนขณะกำลังเดินไป MRT ผ่านตลาดสด

ลองเข้าไปเดินดูสักหน่อย อารมณ์เหมือนตลาดสดแถวบ้านเรา

แล้วเราก็เจออาหารมื้อเช้ามื้อแรกของวันนี้



ร้านอาหารเล็กๆ ร้านนึงคล้ายๆ ร้านข้าวราดแกง มีโต๊ะให้นั่ง อยากลองชิมดู


ป้าเจ้าของร้านหน้าตาดุๆ หน่อย พูดอังกฤษไม่ได้ เราเองก็พูดจีนไม่ได้ ก็ชี้นิ้วอย่างเดียวค่ะ

ไข่พะโล้ 1 ฟอง ไก่ 1 ชิ้น ข้าวเปล่า และน้ำซุป ทั้งหมดราคา 70 TWD

รสชาติเราให้ผ่านค่ะ คล้ายๆ อาหารไทยเลย แถมราคาถูกอีกด้วย



ก่อนจะไป landmark แรกเราต้องซื้อ Easy Card ก่อนค่ะ


มีบัตรนี้แค่บัตรเดียวสามารถขึ้นรถไฟฟ้าในไทเปได้ทั้งหมด รถไฟ รถบัส บางสายก็ใช้ได้ เช่าจักรยานได้

ใช้ซื้อของตาม Se7en Familymart หรือร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ได้อีกด้วย

หรือจะใช้ซื้อเครื่องดื่มตามตู้หยอดเหรียญก็ยังได้ค่ะ เป็นบัตรที่ครบเลยจริงๆ ก็ว่าได้



สามารถหาซื้อ Easy Card ได้ตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ


ตาม Information ของสถานีรถไฟต่างๆ หรือตามตู้อัตโนมัติค่ะ

โดยจะมีค่ามัดจะบัตร 100 TWD ค่ะ



คิดถึง Chiang Kai-Shek Memorial Hall

MRT Chiang Kai-Shek , Exit 5



จุดหมายหลักที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน

สิ่งแรกที่เห็นคือซุ้มประตูทางเข้า เป็นซุ้มที่ใหญ่ที่สุดในไทเป

เมื่อผ่านซุ้มนี้ไปก็จะเจอกับอนุสรณ์สถานอยู่ตรงหน้าเลยค่ะ



หลังคาทรง 8 เหลี่ยมตามฮวงจุ้ย เลข 8 คือสัญลักษณ์สื่อถึงความมั่งมี


บรรไดมีทั้งหมด 89 ขั้น ซึ่งก็คืออายุของประธานาธิบดี เจียง ไค เชก



เมื่อขึ้นไปก็จะเจอห้องโถงขนาดใหญ่ มีรูปปั้นทองสำริดของประธานาธิบดี เจียง ไค เชก



HUASAN 1914 CREATIVE PARK
MRT Zhongxiao Xinsheng Station , Exit 1 แล้วเดินตาม GPS ไปค่ะ

เดิมทีพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นโรงงานผลิตไวน์ หลักจากโรงงานเลิกผลิตไวน์ไป


ก็กลายเป็นที่รกร้าง และต่อมาได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ให้เป็นที่จัดแสดงผลงานศิลปะ

แหล่งรวมผลงานดีไซน์เก๋ๆ นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารแนวๆ ตกแต่งแบบเกร๋ๆ ให้นั่งชิลกันด้วย



Trio Cafe ลองเข้ามานั่งชิมมอคค่าของร้านนี้ รสชาติอร่อยดีค่ะ


แต่ราคาสูงไปนิด แก้วนึง 120 TWD



ขอแนะนำเพื่อนร่วมทริปของเราในครั้งนี่ก่อนนะคะ


ขอใช้สรรพนามว่า "หน่วยจู่โจม" จู่โจมที่ว่าคือ พูด-ฟัง ภาษาอังกฤษได้

สำหรับเป็นทัพหน้า เมื่อเวลา หลง สงสัย สอบถามข้อมูล ประมาณนี้ค่ะ

ส่วนเราเป็น "พลซุ่มค่ะ" ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ ซุ่มในพุ่มไม้อย่างเดียว ฮ่าา



ฝนยังคงตกอยู่เลย เจอร้านข้างทางลองซื้อมาชิมดู เค้าเรียกว่าอะไรไม่ทราบ


แต่เหมือนไส้กรอกชุบแป้งทอด รสชาติอร่อยมากค่ะ ราคาไม่แพงด้วย



Red House


MRT Ximen Station ,Exit 1



เป็นอาคารอิฐสีแดงทรงแปดเหลี่ยม ด้านในตึกจะมีการจัดนิทรรศการ ซึ่งจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

และยังมีร้านกาแฟให้นั่งด้านในด้วยค่ะ

TAIPEI 101


MRT Taipei 101/ World Trade Center



เป็นตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน ถ่ายรูปมาได้แค่นี้จริงๆ ค่ะ ฮ่าๆๆ จริงๆ

ตามโปรแกรมที่วางไว้ เราจะต้องไปชมวิว ตึก Taipei 101ตอนพระอาทิตย์ตก

จาก Elephant Moutain แต่ดูจากท้องฟ้าของวันนี้แล้ว คงต้องยกเลิกโปรแกรมนี้ไป

เสียดายเหมือนกัน เพราะตั้งใจไว้ว่าจะมาที่นี่ให้ได้



ใกล้ๆ Taipei 101 เรามาตามหา Totoro ที่ ATT 4 Fun ชั้น B1


และนี่คือชอป Totoro ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่แฟนๆ Totoro ห้ามพลาด



มาถึงชอปทั้งที จัดไปแค่ 3 ตัว ฮ่าาาาาาาาา ราคาตัวละ 80 TWD


ใจจริงอยากซื้อเป็นตัวตุ๊กตาด้วย แต่พอเห็นราคาแล้ว ทำใจไม่ได้จริงๆ ค่ะ กลัวไม่มีตังค์กินข้าว



ส่วนอันนี้ของพี่อีกคนค่ะ เค้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Studio Ghibli

Day 3 คิดถึง Hualien
เมื่อฉันมาปั่นจักรยาน "แม่บ้าน" เลาะขอบแปซิฟิก และนั่งบัสเที่ยว Taroko

วันนี้เราตั้งใจจะหลีกความเร่งรีบของสังคมเมือง


พุ่งเข้าหาธรรมชาติและใช้ชีวิตแบบ Slow life ที่เมือง Hualien

เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตภาคตะวันออกของไต้หวัน

เป้าหมายสำคัญของการเมืองเที่ยวเมืองนี้ในทริปนี้คือการมาปั่นจักรยานชิวๆ

ลัดเลาะเรื่อยๆ ไปตามหมู่บ้านแล้วมุ่งหน้าสู่ทะเลแปซิฟิก



เริ่มต้นเดินทางก็ไม่ได้ Slow life อย่างทีคิด


ทั้งๆ ที่มาถึงก่อนเวลารถไฟจะออกครึ่งชั่วโมง แต่ก็ตกรถไฟ!!!!

ในตั๋วเขียนไว้ว่าเป็นรถเที่ยว 9 โมงเช้า ตอน 8.57 มีรถไฟเทียบชาญชลา เขียนว่า Pingxi

นอกจากนั้นก็เป็นภาษาจีนหมด เราจึงคิดว่าไม่ใช่ขบวนนี้ ก็ถ่ายรูปกันต่อ



ยัง...ยังจะถ่ายรูปกันอีก



รู้ตัวอีกที 9.03 ก็ยังไม่มีรถไฟมา เลยหันไปถามนักท่องเที่ยวข้างๆ


สรุป คุณไม่ได้ไปต่อ ตกรถไฟข่าาาาา

และเค้าบอกอีกว่าให้รีบไปซื้อตั๋วใหม่ รถไฟจะมาในอีก 15 นาที !!



แต่!!



แต่!!!!



แต่!!!!! ทำใจให้สบาย อย่าเพิ่งตกใจ

อย่ารีบวื่งขึ้นไปเพื่อซื้อตั๋วใหม่เหมือนพวกเรานะคะ เพราะเราจะหาที่ขายตั๋วไม่เจอค่ะ

5555555555555555555



หาไม่เจอจริงๆ ค่ะ ตอนนั้น วิ่งวนหากันประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็หาไม่เจอ

เจอตู้ขายตั๋วก็กดไม่เป็นอีก



แต่เราบอกแล้วค่ะ ว่าทำใจให้สบาย

แล้วเดินสวยๆ ไปถามพนักงาน ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็แค่ยื่นตั๋วให้เค้าดู

แล้วเค้าจะรู้ทันทีว่าคุณไม่ได้ไปต่อ

พนักงานก็จะแนะนำเราให้เราเอาตั๋วไปยื่นตรงนั้น แล้วเค้าจะปั้มตราให้

เราก็สามารถขึ้นรถไฟในขบวนถัดไปได้ทันที

แต่จะไม่ระบุที่นั่ง ให้เราหาที่นั่งที่ว่างกันเองค่ะ



แล้วเราก็จะได้ตั๋วเดิม เพิ่มเติมคือตราปั้มและแค่ไม่ระบุที่นั่งเท่านั้นเอง

ลืมบอกไปค่าตั๋วไป Hualien 427 NT$ ค่ะ



สรุปก็ได้ขึ้นรถไฟค่ะ ยืนกันแถวๆ ห้องน้ำ โรแมนติกมากกก ๆ



แต่เราไม่ได้ยืนจนไปถึงเมือง Hualien นะคะ


(ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงกว่าๆ แล้วแต่ประเภทของ TRA ค่ะ )

เพราะบนรถไฟจะไม่อนุญาติให้ผู้โดยสารยืนกัน



หลังจากที่ยืนๆ นั่งๆ กันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มีเจ้าหน้าที่เดินมาเจอ


แล้วบอกให้พวกเราเข้าไปนั่งอีก 2 โบกี้ถัดไปได้ค่ะ ยังมีที่ว่างเหลืออีกหลายที่เลยยย



ห้องน้ำบนรถไฟก็สะอาดดีค่ะ



แล้วเราก็มาถึงเมือง Hualien ตอนเที่ยงกว่าๆ


จัดแจงหาที่พักคืนกันก่อน เพราะเราไม่ได้จองที่พักมาก่อนล่วงหน้าค่ะ

ซึ่งที่พักก็หาไม่ยากเลยค่ะ หน้า Hualien Station จะมีที่พัก โรงแรมให่เราเลือกเยอะแยะเลยค่ะ

เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย โรงแรมมีจักรยานให้ปั่นฟรี

ก็เอาจักรยานโรงแรมนี่แหละค่ะ (ประหยัดไวก่อน) ออกไปรู้จักกับเมือง Hualien กัน



แม่บ้าน GIANT



สถานที่แรกที่เรามาเยือนและมองเห็นไกลๆ


คือ Hualien Martyrs Shrine หรือ Karenkō Shrine



Hualien Martyrs Shrine หรือ Karenkō Shrine


ศาลเจ้าอันเงียบสงบตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ทางตอนเหนือของเมือง Hualien



ปกติศาลเจ้าต้องมีนักท่องเที่ยวหรือชาวบ้านมาสักการะกราบไหว้บ้าง


แต่วันที่เราไปนั้นบอกเลยค่ะว่าเงียบมากกกกก และไม่มีใครจริงๆ

เราจึงไม่กล้าเดินเข้าไปข้างใน ได้แค่เก็บบรรยากาศรอบๆ



มองจากมุมนี้จะเห็นวิวของเมือง Hualien ด้วยค่ะ


สถานที่ต่อไปที่เราจะปั่นจักรยานไป คือ Chihsing Tan Beach ค่ะ


ระยะทางจากศาลเจ้า ไป Chihsing Tan Beach มีระยะทางแค่ 5.4 กิโลเท่านั้น


แต่ ณ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนไกลมาก เราค่อยๆ ห่างจากเมือง จากบ้านเรือนไปเรื่อยๆ

ก็สงสัยอยู่ว่า GPS มันพามาถูกทางแน่นะ ทำไมถึงไม่เจอนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย

แต่อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า เจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

เห็นวิวทะเลอยู่รำไร แต่เราต้องปั่นผ่านเนินซึมนี้ไปให้ได้ก่อน !!

เห็นเป็นเนินเล็กๆ แบบนี้ ก็เข็นนะคะ ฮ่าาๆ

ปั่นขึ้นเนินไม่ไหวจริงๆ แถมมีล้มต้านอีก

แต่คันหน้าโยกขึ้นเนินแล้วค่ะ เอ้าา โยก โยก โยก



ซ้ายมือที่เห็นเป็นกำแพงยาวคือค่ายทหารค่ะ เราโยกจักรยานผ่านค่ายทหารก็จะเห็นทะเลแล้ว


แต่ค่ายทหารยาวมากกกกกก เหนื่อย!

ก่อนจะเลี้ยวซ้ายไป Chihsing Tan Beach เจอสวนสาธารณะและมีจุดชมวิวทะด้วย

เลยแวะเก็บภาพกันหน่อย



ไต้หวันวันที่ 3 ท้องฟ้าก็ยังอึมครึมเช่นเคย


มุ่งหน้าสู่ Chihsing Tan Beach กันต่อ


จริงไม่แนะนำให้ปั่นผ่านกำแพงลมสีฟ้านี้นะคะ ขนาดกั้นลมที่พัดมาจากทะเลแล้ว ลมก็ยังคงแรงอยู่

แนะนำให้ปั่นลงทางใต้สะพานค่ะ สามารถทะลุไป Chihsing Tan Beach ได้เหมือนกัน ปลอดภัยกว่าด้วย



เห็นแผนที่ในรูปแล้ว ถึงกับตกใจ นี่เราปั่นมาจะถึง Taroko แล้วหรอเนี๊ยะ


จริงๆ ไม่ต้องปั่นจักรยานมาก็ได้นะคะ เพราะถ้าใครมีแพลนจะมาเที่ยว Taroko

Chihsing Tan Beach ก็เป็นจุดนึงที่รถบัสที่จะไป Taroko ขับผ่าน

ใครอยากปั่นจักรยานก็สามารถลงที่นี่ได้เลยค่ะ มีจักรยานให้เช่าด้วย

อันนี้เราเพิ่งมารู้ตอนหลังจากมาเที่ยว Taroko



ผ่างงง!!!!!!

แล้วเราปั่นจักรยานมาทำไม??



ร้องไห้หนักมาก ฮ่าาาาาาา



Chihsing Tan Beach เป็นชายหาดหินก้อนมนๆ


และเป็นชายหาดที่คลื่นลมแรงไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ

วันนี้คลื่นลมแรงเลเวล 8 เต็ม 10 ค่ะ

หูยยยยย ลมแรงมากกกก ไอทะเลพัดมาไกลมากกก

ยังไม่ทันลงไปชายหาดเลย กล้องก็เปียกแล้วว หน้า ผม ไม่ต้องพูดถึงค่ะ



ถ่ายรูปกันสักพัก บ่าย 3 ก็ปั่นจักรยานกลับกันแล้วค่ะ


กลับไปพักที่โรงแรมกันก่อน เพราะคืนนี้เรามีโปรแกรมเดินสำรวจเมือง Hualien ยามค่ำคืนกัน



ระหว่างทางกลับที่พักเจอแปลงปลูกเกษตร


มีคุณลุงกับคุณป้ากำลังเก็บผักบุ้งอยู่พอดี ก็เลยแวะถ่ายรูปกันหน่อย

คุณลุงพูดอะไรสักอย่างกับพวกเรา แต่เราก็ฟังไม่ออก ได้แต่ส่งยิ้มทักทายกลับไป



สรุปเส้นทางปั่นจากแผนที่ รวมระยะทางไปกลับประมาณ เกือบๆ 20 กิโลค่ะ


หลังจากได้แคปภาพแผนที่นี้มา เพิ่งรู้ว่าจริงๆ เส้นที่เค้าปั่นกัน คือเส้นสีเหลืองฝั่งที่เลียบทะเลกันค่ะ

แป่ววววววววววววว



ตัดภาพมา Part กลางคืนกันต่อ


เราเลือกที่จะเดินแทนการปั่นจักรยาน เพราะคิดว่า เราจะได้รู้จักเมืองนี้ทุกซอกทุกมุมมากยิ่งขึ้น

แต่ให้เดินทั่วเมืองคงไม่ไหว เดินได้เท่าที่ใจเราอยากจะเดินก็พอค่ะ ฮ่าๆๆ

พอเดินจริงๆ ก็บ่น เพราะมันไกลลลมากก ขากลับยอมเสียเงินให้แท็กซี่มาส่งที่โรงแรม



จุด Start เริ่มต้นที่โรงแรมเลย เดินไปเรื่อยๆ ตามหา Night Market ของเมืองนี้


เธออยู่ที่ไหน ใช่ที่นี่หรือเปล่า ????



เจอร้านอาหารไทยด้วย ลูกค้าเยอะมากก


เธอๆๆ ใช่ Night Market หรือเปล่า ???


ไม่แน่ใจก็เดินต่อค่ะ เดินมาเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นแสงสีวิววับ


พอเข้าไปใกล้ๆ เท่านั้นแหละค่ะ งานศาลเจ้า!!

อารมณ์เหมือนงานวัดบ้านเรา มีปาลูกโป่ง ยิงปืนอะไรประมาณนี้



อยากให้ทุกคนได้เห็นภาพงานวัดแบบไต้หวัน เราเลยไปขอรูปจากพี่อีกคนมา เพราะเค้าถ่ายเก็บไว้


เห็นด้านหน้าสวยมากค่ะ อยากจะลองเดินเข้าไปข้างใน เลยคิดว่าค่อยเดินเข้าไปตอนขากลับดีกว่า

แล้วเราก็ได้เห็นด้านหลัง ผ่างงงง!! คุณหลอกดาว 5555



Day 4 เที่ยว Taroko คิดถึงแม่น้ำสีมรกต

เข้าสู่วันที่ 4 ของการเดินทางในไต้หวันแล้วค่ะ
โปรแกรมการเดินทางของเราเช้านี้คือการไปสูดอากาศที่ taroko แล้วเดินทางกลับไทเปในตอนเย็น

Taroko หรือ ไท่หลู่เก๋อ เป็นชื่อที่คนไต้หวันเรียก


เป็นอุทยานที่นักท่องเที่ยวต่างมาสูดอากาศและชมความงามของกำแพงหินอ่อน

และแม่น้ำสีมรกตที่ทอดยาวในหุบเขา



เราเดินทางไป Taroko โดยเลือกใช้รถบัสบริการท่องเที่ยวของ Hualien เพราะราคาถูกที่สุด

ก็สามารถเดินทางไปยังตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ ใน Taroko ได้ตลอดทั้งวัน

ซื้อตั๋วและขึ้นรถบัสได้ที่หน้าสถานี hualien ค่ะ



เพื่อความปลอดภัยก่อนเดินทาง ควรเช็คสภาพอากาศและการเปิดให้บริการของจุดต่างๆ


ใน taroko ให้ดีก่อนนะคะ ว่าจุดที่เราจะไปนั้นเปิดหรือปิดปรับปรุงหรือไม่

ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ก็มีข่าวออกมาเหมือนกันว่ามีหินถล่มลงมา

ตอนซื้อตั๋วทางเจ้าหน้าที่ก็บอกกับเราว่าปิดปรับปรุงและมีจุดที่ไม่ปลอดภัยหลายจุดเหมือนกัน

เนื้อจาก Taroko มีพื้นที่ฟ้างขวางมากกกกกกกกกกกกกกกกกก

นั่งรถบัสเที่ยววันเดียวก็คงไม่หมด ใครที่อยากจะเที่ยวหลายๆ จุด แนะนำให้เช่าแท็กซี่ค่ะ

แต่ราคาสูงเกินไป เพราะมากันแค่ 2 คน ตกคนละ 1000 กว่าบาทแหนะ

เราจึงเลือกนั่งบัสและเลือกจุดท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลต์ไม่ควรพลาด

เอาให้สุดแค่ที่เดียว แล้วเดินทางกลับไทเปกัน



ที่ที่เราเลือกที่จะเอาให้สุดเลยก็คือ Shakadang River

ไม่มีเหตุผลที่เลือกที่นี่ เพราะมันคือจุดแรกที่รถบัสจอด 5555



รถบัสจะจอดที่ Visitor Center เราก็เดินเข้าอุโมงค์ไปเรื่อยๆ



ระยะทางประมาณ 4.5 กิโลค่ะ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ


ดินมาจนสุดทาง เราจะเจอกับร้านขายของที่ระลึกเล็กๆ ประมาณ 4-5 ร้าน


แล้วเราจะเจอเห็นวิวของภูเขาสีเขียวกับก้อนหินเรียงรายสลับซับซ้อนกันไป

ปืนขึ้นโขดหิดก้อนใหญ่ไปเก็บภาพกันหน่อย


ขากลับมีฝนโปรยลงมาเล็กน้อย ขากลับเราจะเดินกลับอีกทางนึงค่ะ


คือเดินลอดใต้สะพานสีแดงไป แล้วเดินตามทาง ขึ้นเนินไปเรื่อยๆ

เราจะเจอกับสะพานเชือก และสะพานไม้สีเขียว

เดินไปเรื่อยๆ เราก็จะเจออุโมงค์เดิมที่เราเดินมา แล้วเดินกลับไปยัง Visitor Center


เพื่อรอบัสกลับไปยัง Hualien Station แล้วเดินทางกลับไทเปกันค่ะ



สำหรับใครที่ทำตั๋วหายระหว่างทาง หรือหาไม่เจอแบบเรา

สามารถใช้ Essy Card จ่ายแทนได้ค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ ขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว รีบหาตั๋วกันใหญ่

แถมตอนนั้นเจอคนขับที่ดุมาก หน้าลุงแกหน้าบูดมาก และไม่ยอมออกรถจนกว่าเราจะเจอตั๋ว

จึงจะเอาตังค์มาจ่ายแทน ลุงแกก็เลยชี้ไปที่รูป Easy Card เราจึงเอามาจ่ายแทน



สรุปนั่งไปสักพักเจอตั๋วค่ะ แอบอยู่ในหนังสือ 55555

คนไต้หวันที่นั่งบนบัสกับเรามาด้วย เค้าบอกประมาณว่าให้ยื่นตั๋วนี้ให้คนขับดู

แล้วให้คืนเงินกลับมาใน Easy Card แต่เค้าพูดเป็นภาษาจีนนะคะ

ก็งงกันไป แต่เราคิดว่าเค้าคงหมายถึงอย่างนี้แน่นอน

พอถึงป้ายสุดท้าย ป้ายที่เราลงพอดี ก็เลยยื่นตั๋วให้ลุงคนขับดู

ลุงแกก็สบัดหน้าแล้วก็เดินลงจากรถไปเลย เงิบค่ะ 55555555



ตอนแรกกะจะเล่าให้เสร็จทีเดียวเลย แต่ลืมไปว่าเราต้อง resize รูปก่อนโพส
ก็ต้องมานั่ง resize ทีละรูปกับ Photoshop ซึ่งมันเสียเวลามากค่ะ
แต่ตอนนี้ใช้โปรแกรมอื่น resize รูปแล้ว ซึ่งเร็วกว่า photoshop มากกก

เหลืออีกประมาณ 2 ตอนค่ะ จะมาขอเล่าในตอนค่ำๆ นะคะ เพราะเลิกงาน 6 โมงเย็น นู้นน
จะเป็นตอนนั่งรถไฟสายเก่า Pingxi line แบบ One day trip เราชอบที่นี่มาก ถึงแม้ว่าฝนจะตก
และไม่ได้อยู่ในโปรแกรมที่วางไว้ล่วงหน้าด้วย

ขออนุญาตไปทำงานก่อนนะค๊าาาาา

Day 5 คิดถึงทางรถไฟสายเก่า Pingxi line
เที่ยว Shifen , Pingxi และ Juifen

วันนี้เรายังตื่นเช้ามาเจอสายฝนเช่นเคย ฝนตกอีกแล้ว~
โปรแกรมที่เราวางไว้สำหรับวันนี้คือ.....

แต่บอกเลยว่าพังมากกก 5555555



ออกจากที่พักก่อนที่จะนั่ง MRT ไปยัง Taipei Main Station

แวะซื้อซาลาเปาจากร้านที่เดินผ่านอยู่ทุกๆ วัน ซึ่งปกติแถวยาวมากกก

แต่เช้าวันนี้คนยังน้อยอยู่ เลยได้มีโอกาสซื้อซาลาเปาลูกใหญ่แถมราคาไม่แพง จากร้านนี้

เป็นเสบียงสำหรับเช้านี้

มาถึงสถานีรถไฟแล้ว ได้บทเรียนการตกรถไฟมาแล้ว คราวนี้เราจะไม่ยอมบาดเจ็บอีก!!!


ก่อนถึงเวลารถไฟมา เดินเข้าไปถามเลยค่ะ!!!! (โฟกัสที่หนุ่มๆ ก่อนน แฮ่!!!)

ส่งหน่วยจู่โจมไปค่ะ



"ถ้าจะไปหมู่บ้านแมว Houtong ต้องขึ้นรถไฟฝั่งไหนคะ?"



ส่งหน่วยจู่โจมออกไปทำหน้าที่ ได้กำลังเสริมเป็นคุณลุงชาวฮ่องกงและแฟมิลี่กลับมา (แล้วหนุ่มหล่อละ?)

เค้าชวนพวกเราไปด้วยกับเค้า ยื่นหนังสือให้ดูว่าจะไปที่นี่ๆ กัน

เราสองคนก็ใจง่ายอยู่แล้ว เลยตอบตกลงไปกับเค้าด้วย ว่าแต่มันคือที่ไหน ???

นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ โดยไม่รุ้จุดหมายปลายทาง ผ่านหมู่บ้านแมวที่เราจะแวะด้วย


ตอนนั้นฝนก็เริ่มตกลงมา น้องแมวคงไม่ออกมาเดินเล่นแน่

แล้วก็มาลงที่สถานี Ruifang แวะซื้อตั๋ว Pingxi line กันที่นี่ค่ะ ราคา 80 NT


ยืนกินซาลาเปาที่ซื้อมา ระหว่างรอรถไฟ เนื้อแน่น อร่อยมาก


คุณลุงชาวฮ่องกงบอกกับเราว่า อีกประมาณ 20 นาที รถไฟจะมานะ


ยูจะไปเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้

มาหาอะไรอุ่นๆ กินในเซเว่น


รถไฟสาย Pingxi Line พร้อมออกเดินทาง


เนื่องจากคุณลงฮ่องกงเป็นคนที่เฟรนลี่มาก บนรถไฟเราจึงได้รู้จักกับเพื่อนใหม่มากมายค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวชาวมาเลเซีย ที่มากัน 4 คน ครอบครัวของคุณลุงฮ่องกง

และอีกครอบครัวชาวฮ่องกงเหมือนกัน ที่คุณลุงบังเอิญเจอกันและชวนมาเที่ยวที่นี่ด้วย

กลายเป็นรถไฟสายสันติภาพ ไทย-มาเลเซีย-ฮ่องกง

ขออ้างอิงข้อมูลจาก


http://www.1000milesjourney.com/pingxi-railway-trip/

บอกไว้ว่า

"แต่เดิมเส้นทางรถไฟนี้สร้างไว้เพื่อสำหรบขนส่งถ่านหิน

โดยเริ่มใช้งานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1921 แต่เมื่อเหมืองถ่านหินล้มละลายลง

ภายหลังจริงปรับเปลี่ยนมาเป็นรถไฟสำหรับการท่องเที่ยว"



มีตั๋วนี้ตั๋วเดียว สามารถลงเที่ยวที่สถานีไหนก็ได้ค่ะ

แต่ต้องเช็คเวลากันดีดีนะคะ เพราะรถไฟขบวนถัดไปจะมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ภาพด้านบนนี่คือด้านหลังของตั๋ว จะระบุสถานีที่รถไฟวิ่งผ่าน



สถานีแรกที่เราลงก็คือ Shifen Railway Station



ฝนเริ่มตกหนักมากขึ้น ได้บรรยากาศเหงาๆ ไปอีกแบบ


กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวที่นี่ก็คือปล่อยโคมลอย


แวะถ่ายภาพที่สะพานแขวน แล้วเที่ยวน้ำตก Shifen



มีแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อยู่ข้างกำแพงด้วย น่ารักมากค่ะ


เราคิดว่าเมืองนี้น่ารักดีนะคะ ดูเก่าๆ แต่มีเสน่ห์ ขนาดทางรถไฟยังมีเสน่ห์เลย


เราใกล้ถึงน้ำตกกันแล้ว


Shifen Waterfall น้ำตกที่กว้างที่สุดในไต้หวัน


ว่ากันว่าคือเป็นไนแองการ่าขนาดย่อมๆ

ระยะทางจากสถานีรถไฟมาที่นี่ประมาณ 1-2 กิโลค่ะ เดินประมาณ 30 นาที

ขากลับไปสถานีรถไฟ แวะถ่ายรูปที่สะพานที่ไม่ทราบชื่อ


ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Keelung River

เจอคุณลุงฮ่องกงที่นี่ แกโบกมือเรียก แล้วบอกพวกเราว่า รถไฟขบวนถัดไปใกล้จะมาแล้ว

ให้เราถ่ายรูปเสร็จแล้วรีบกลับค่ะ ถึงเราสองคนได้ตัดสินใจกันว่า

เราจะไม่ไปต่อกับลุงแล้ว แต่จะกลับไปเที่ยว Juifen ตามโปรแกรมที่เราวางไว้แทน

จึงต้องโบกมือลากันที่สะพานแห่งนี้

ด้วยความที่ชิวจนลืมเวลา อยากถ่ายรูปไปเรื่อยๆ นึกขึ้นได้ก็วิ่งไปขึ้นรถไฟขากลับไม่ทันแล้ว


รถไฟผ่านไปต่อหน้าต่อตา แต่เราทำอะไรไม่ได้ค่ะ ยืนอึ้งง!! หอบบ!!

เองไงละที่นี่ ถ้าจะรอก็อีก 1 ชม. เลยนะ หันไปเห็นรถไฟที่จะไป Pingxi ยังไม่ออกจากชาญชลา

วิ่งค่ะวิ่ง!!! วิ่งไปให้ทัน สรุปก็ไปทันค่ะ แถมไปเจอคุณลุงฮ่องกงในขบวนนั้นอีก

บอกเค้าไปว่าชั้นตกรถไฟอีกแล้ว

นั่งรถไฟพาเราเลียบแม่น้ำและภูเขามาเรื่อยๆ
ไม่นานนักเราก็มาถึงสถานีสุดท้ายที่เราจะเที่ยวกันในวันนี้
ก่อนที่จะไปเที่ยว Juifen ตามรอยเรื่อง Sprite away กันต่อ

Pingxi
หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีถนนสายเก่าและมีแม่น้ำตัดผ่าน

เราเดินสำรวจรอบเมืองไปเรื่อยๆ ค่ะ


เห็นป้ายบอกทาง บอกว่าเดินขึ้นไปด้านบนจะมีวัดและจุดชมวิวของเมือง Pingxi ด้วย


หน่วยจู่โจมหรือแฟนพันแท้ studio ghibli บอกกับเราว่า นี่คืออุโมงค์จากเรื่องสุสานหิ่งห้อย


มื้อเที่ยงง่ายๆ ที่ Family Mart ใน Pingxi


เสน่ห์และความน่ารักของที่นี่แอบอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ของเมือง


ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ มาแทนของเก่า อนุรักษ์ในสิ่งที่เรามี

คิดและดึงเสน่ห์ ของมันออกมา ให้คนและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องถูกทำลาย

นั่นคือสิ่งที่เรารับรู้ได้เมื่อเราได้เดินทางมาที่นี่ด้วยรถไฟสายเก่า Pingxi Line

ตามรอย Spirit away ที่ Juifen


นั่งรถไฟกลับจาก Pingxi กลับมาที่สถานี Ruifang เดินต่อไปอีก เพื่อไปยังจุดขึ้นรถบัส

กว่าจะมาถึง Juijen ก็ค่ำ และเพลียกันมาก วันนี้เดินทั้งวันเลย บนรถไฟก็ยืนตลอด ไม่ได้นั่ง

และสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ ยังยืนตั้งแต่เช้า คือสายฝนที่ตกลงมา ตอนนี้ก็ยังไม่หยุด

ทำไมถึงอยากมาที่นี่ ใครที่เคยดูเรื่อง Spirit away ครั้งหนึ่งในชีวิตคุณต้องมาค่ะ


เพราะที่นี่คือแรงบันดาลใจในการสร้างเมืองและโรงอาบน้ำในเรื่อง

เพื่อที่จะต้องการช่วยพ่อและแม่ที่โดนสาปกลายเป็นหมู

จิฮิโระ ตัวเอกของเรื่องได้มาทำงานที่โรงอาบน้ำที่นี่

คอยบริการให้กับแขกที่มาพัก เพื่อช่วยพ่อกับแม่ออกมา

ระหว่างทางเดินไปยังจุดที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเริ่มแน่นค่ะ


ร่มนี่จะพันกันแล้ว

การ์ตูนเรื่องนี้ดังมาก ทั้งในญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ


และวันที่เราไปนั้น มีนักท่องเที่ยวและนักเรียนญี่ปุ่นมาเที่ยวที่นี่เยอะมาก

เสียดายที่เราไม่ได้ไปเก็บทุกซอกทุกมุมของจิ่วเฟ้น


แต่เราสัญญาว่าครั้งหน้าถ้าได้มาไต้หวันอีก เราจะกลับมาที่นี่อีกครั้งให้ได้



มื้อเย็นวันนี้พร้อมนำเสนอมากค่ะ ไม่ไปแล้วตลาดที่เราตั้งโปรแกรมไว้

เหนื่อยมาก หิวมาก กลับมาตายรัง Shi-da Night Market ที่เรารักเช่นเคย

แถมร้านนี้เราเดินผ่านตั้งแต่วันแรกที่มาถึง แล้วเราก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

นั่นก็คือ!!!



ร้านอาหารไทยเองค่ะ !!! สั่งเป็นเซตปลานึ่งมะนาว ราคา 199 TWD เอง


ที่เลือกเข้าร้านนี้เพราะวันแรกที่เดินผ่านร้านนี้ พนักงานต้อนรับก็ทักทายเราเลยค่ะ

"คนไทยหรือเปล่าครับ" สงสัยคงได้ยินเราคุยกัน

พูดคุยกันเล็กน้อยค่ะ เค้าเคยเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่ ม.แม่ฟ้าหลวง เชียงราย

ถึงว่าทำไมพูดไทยชัดมากกกกก

Goodbye Taipei
และแล้วการเดินทางวันสุดท้ายก็มาถึง
จัดกระเป๋าแล้วเช็คเอาท์ออกจากโฮสเทลกันตอนสายๆ
สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวไทเป และอยากได้ที่พักราคาถูก
แถมอยู่ใกล้ Shi-da Night Market มากก เดินแค่ 20 ก้าวเท่านั้น ที่นี่เป็นตัวเลือกที่ดีได้ค่ะ
เป็นภาพที่หน่วยจู่โจมถ่ายไว้
1983 Second Hostel ราคาคืนละประมาณ 400 กว่าบาทค่ะ

ชั้นล่างจะเป็นห้องครัวกับห้องพักชายค่ะ


เช็คเอาทฺ์เสร็จเรียบร้อย ลากกระเป๋าที่หนักมากกลับไปยัง Taipei Main Station ค่ะ


เราจะเอากระเป๋าเดินทางและสัมภาระต่างๆ มาฝากไว้ที่ตู้ฝากกระเป๋าที่นี่ค่ะ

แต่อย่าให้อธิบายเลยว่าตู้นี้มันอยู่ส่วนไหน เพราะเราเองก็จำไม่ได้

เนื่องจาก Taipei Main Station ฟ้างฝางมากกกกกก มา 10 หลง 10

แต่ที่จำได้คือ ตู้ฝากกระเป๋าอยู่ใกล้กับร้าน Sushi Take Out และพบใจได้ทั่วไปแบบบังเอิญ



ฝากของหนักๆ หมดแล้ว มาเก็บบรรยากาศต้นคริสมาสต์ยักษ์กันสักเล็กน้อย สิบ ยี่สิบรูป

แวะซื้อของฝากกลับบ้านที่ Ximending


MRT Ximen Station,Exit 6

อยู่ตรงข้ามกับ Red House


follow your plans or follow your heart ??


Goodbye Taiwan ที่ Tamsui



เสื้อฟ้าน่าร๊ากกกกกก

ตั้นสุ่ยสถานีที่อยู่เหนือสุดของไทเป เป็นอีกเมืองที่ห้ามพลาดมากค่ะ


ที่เมืองนี้มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปั่นจักรยาน ชมพระอาทิตย์ตก

เดินเที่ยว Night Market รับลมวิวทะเล นั่งเรือข้ามฝาก เดินเล่นสะพานแห่งความรัก และอีกมายมาย



ที่สำคัญวันนี้แดดออกจ้าาาา แดดแรงมาก ท้องฟ้าสดใสอย่างกับไม่เคยพบเจอแดดมาก่อน

แน่นอนละค่ะ ตลอด 5 วันที่ผ่าน เราไม่เคยได้เจอแดดเลย

กิจกรรมอย่างแรกที่อยากจะทำกันก็คือ ปั่นจักรยาน


มีร้านให้เช่าจักรยานด้วย แถมราคาไม่แพง มีให้เลือกหลายแบบ

จักรยานแม่บ้าน เสือหมอบ เสือภูเขา ปั่นคู่ ปั่นคนเดียว ปั่นสามคน ให้เลือกเยอะมาก

แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบเราๆ เค้าจะขอพาสปอตไว้

ขอเบอร์ติดต่อเรา และเบอร์ที่โรงแรมด้วย

คุณจะขอเบอร์โทร แต่ชั้นเอาซิมที่เปิดจากสนามบินใส่ ipad ซึ่งมันโทรเข้าไม่ได้

ที่พักก็เช็คเอาท์ออกแล้ว จบ...



ในเมื่อออกกำลังกายไม่ได้ ก็ไปกินก็ได้ว๊าาาา

Tamsui Old Street



ปลาหมึกเหนียวมาก สั่งแบบ Very very spicy ก็ไม่ค่อยเผ็ดเท่าไหร่


สตอเบอร์รี่เสียบไม้น่ากินมากก และหวานมากเช่นกัน


เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ เริ่มหลงรักที่นี่อีกแล้ววว


บางครั้งท้องฟ้าเป็นสีฟ้า


บางครั้งท้องฟ้าก็เหมือนมีเมฆฝน

..

.

ท้องฟ้าวันสุดท้ายที่ไทเป

...กำลังบอกอะไรเราอยู่หรือเปล่าา



สถานที่แห่งนี้ไม่แน่ใจว่าคืออะไร


เพราะเรามาถึงที่นี่ตอนเค้าปิด และไม่อนุญาตให้เข้าไปข้างในแล้ว

เลยได้ถ่ายภาพอยู่รอบๆ ค่ะ



(ที่นี่คือ Fort San Domingo ขอบข้อมูลจากคุณ กลมลายส์ ค่ะ )



พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ววว ใกล้เวลาบอกลาแล้ว


Tamsui Church


ทางกลับไปยัง MRT เจอวัดด้วยค่ะ เค้าว่ากันว่าเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์มาก


เราได้เข้าไปไหว้และขอพรก่อนกลับ ขอให้เราได้กลับเยือนมาที่นี่อีกครั้ง

และได้เสี่ยงเซียมซีด้วย ซึ่งเป็นเซียมซีที่ไม่ใช่เป็นตัวเลขอารบิคแบบทั่วไป

แต่มันคือตัวเลขแบบภาษาจีน ก็หากันอยู่นานเลยค่ะ กว่าจะหาเจอ



คนที่ดูแลวัดเค้าก็เรียกเราไป แล้วหยิบใบที่เราเสี่ยงได้ไปดู

บอกกับเราว่า "Good" และให้เราเก็บมันไว้

หวังว่าพรที่เราขอจะเป็นจริง ให้เราได้กลับไปไต้หวันอีกครั้ง


ขอบคุณสำหรับทุกการติดตาม ทุกๆ ยอดแชร์


ขอบคุณสายฝนที่ช่วงนี้ตกถี่มาก เป็นแรงบันดาลใจให้เราได้เขียนมันให้จบแล้วในคืนนี้



ขอบคุณมากค่าาาา

ความคิดเห็น