จำได้ว่าเคยเห็นแนวเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อนทอดตัวยาวขนานไปกับวิวของแม่น้ำโขงที่มองออกไปจากริมฝั่งของจังหวัดนครพนมจากรายการ 72 ชั่วโมง ของพี่เรย์ แมคโดนัลด์ ความสวยงามและความมีเสน่ห์ของเทือกเขาเหล่านั้นเหมือนมีแรงดึงดูดให้เราออกไปค้นหาและสัมผัสบรรยากาศของดินแดนที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างทิวเขาและสายน้ำโขง จึงบอกกับตัวเองว่า "สักวันหนึ่งเราจะต้องข้ามไปเยือนเมืองนี้ให้ได้"
จนกระทั้งเราได้มีโอกาสเดินทางมาทำงานที่จังหวัดนครพนมเป็นระยะเวลา 5 วัน ซึ่งตามกำหนดการเดิมเราจะต้องเดินทางมาทำงานในเช้าวันจันทร์และเดินทางกลับในวันเสาร์ แต่เราเลือกที่จะเดินทางมาก่อนล่วงหน้า 2 วัน เพื่อที่จะออกเดินทางไปสำรวจเมืองท่าแขกและนครพนม ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดเราจึงเลือกอยู่ที่เมืองท่าแขกเพียงแค่ 1 วัน 1 คืนเท่านั้น แล้วจึงกลับมาเที่ยวต่อที่นครพนม ระยะเวลาเพียงสั้นๆนี้เราจะสามารถไปไหนและทำอะไรได้บ้างนั้น ตามมาๆ
เราเริ่มต้นออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองด้วยสายการบิน Nok Air เที่ยวบินที่ DD9514 ออกเวลา 10.05 น. ถึงสนามบินนครพนมเวลา 11.15 น. ของเช้าวันเสาร์
การเดินทางด้วยเครื่องบินมายังจังหวัดนครพนมมีสายการบินที่ให้บริการทั้งหมด 2 สายการบิน ดังนี้
1. สายการบิน Nok Air มีวันละ 2 เที่ยว เที่ยวไปจากดอนเมืองเวลา 10.05 น. และ 17.40 น. ส่วนเที่ยวกลับเวลา 11.45 น. และ 19.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม 20 นาที
2. สายการบิน Air Asia มีวันละ 2 เที่ยว เที่ยวไปจากดอนเมืองเวลา 08.30 น. และ 15.10 น. ส่วนเที่ยวกลับเวลา 10.10 น. และ 17.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม 15 นาที
ส่วนการเดินทางจากสนามบินนครพนมเข้าไปยังตัวเมืองนครพนม ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 17 กิโลเมตร มีบริการรถตู้ส่งถึงหน้าที่พักในราคาคนละ 100 บาท เคาร์เตอร์ที่ให้บริการอยู่บริเวณหน้าประตูทางออกจากจุดรับกระเป๋า
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีก็มาถึงตัวเมืองนครพนม
มาทันเวลาของมื้อกลางวันพอดี จึงแวะกินข้าวที่ร้าน ต.เป็ดย่าง
เป็ดเนื้อนุ่ม ซอสราดและน้ำซุปรสชาติเข้มข้น
กินเสร็จจึงเอากระเป๋าเดินทางที่ใส่เสื้อผ้าสำหรับใส่ทำงานไปฝากไว้ที่โรงแรม The P Hometel Hotel & Cafe ที่พักของเราในคืนวันอาทิตย์หลังจากกลับมาจากท่าแขก ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะตั้งอยู่ห่างจากด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นท่าเรือข้ามไปยังฝั่งเมืองท่าแขกเพียงแค่ 100 เมตร
เราเตรียมเป้ใบเล็กติดมาด้วยเพื่อใส่เสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นสำหรับการไปค้างคืนที่ท่าแขก ทำให้เดินทางได้คล่องตัวขึ้น เมื่อฝากกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินวนมาถ่ายรูปเล่นที่หอนาฬิกาเล็กน้อยเพราะอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ
วันนี้เป็นวันแรกของปีที่ลมหนาวพัดผ่านมา อากาศเย็นสบายกำลังดี ท้องฟ้าปลอดโปร่งและใสมาก
และนี่ก็คือวิวในตำนานที่เคยเห็นแต่ในทีวี วันนี้ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองสักที รู้สึกดีต่อใจ
การเดินทางข้ามไปยังเมืองท่าแขกสามารถทำได้สองวิธี วิธีแรกคือนั่งเรือข้ามฟากจากท่าเทียบเรือการท่องเที่ยวซึ่งเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00 - 18.00 น. ใครที่มีพาสปอร์ตก็เพียงแค่เขียนใบตม.แล้วข้ามได้เลย ส่วนใครไม่มีพาสปอร์ตสามารถทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวได้ที่จุดบริการออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราวซึ่งอยู่ทางด้านข้างของด่าน ใช้เพียงแค่บัตรประชาชนและจ่ายค่าธรรมเนียมประมาณ 36 บาท สำหรับวันธรรมดา และ 47 บาท สำหรับวันเสาร์อาทิตย์ สามารถอยู่ได้ 3 วัน 2 คืน เฉพาะแขวงคำม่วน และด่านนี้สามารถข้ามได้เฉพาะคนไทยและคนลาวเท่านั้น
คนชาติอื่นๆจะต้องไปข้ามที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 ซึ่งเป็นวิธีที่ 2 ที่สามารถข้ามได้ทุกคน เปิดตั้งแต่ 06.00 น. ถึง 22.00 น. โดยสามารถขับรถข้ามไปเองหรือจะขึ้นรถโดยสารนครพนม-ท่าแขกจากขนส่งในตัวเมืองนครพนมก็ได้เช่นกัน ค่าโดยสารคนละ 70 บาท ช่วงวันหยุดเพิ่ม 5 บาท เที่ยวแรก 08.00 น. เที่ยวสุดท้าย 17.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.(ไม่รวมเวลาที่ด่าน ซึ่งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้บริการ) และสามารถทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวได้ที่ด่าน ค่าธรรมเนียมเท่ากันกับที่ท่าเรือ สามารถอยู่ได้ 3 วัน 2 คืน เฉพาะแขวงคำม่วนเท่านั้น
วิธีที่เราเลือกและคิดว่าเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดก็คือการข้ามด้วยเรือข้ามฟาก ค่าโดยสารคนละ 60 บาทต่อเที่ยว เที่ยวแรกออกเวลา 8.30 น. เที่ยวสุดท้าย 18.00 น. (8.30 น. - 14.30 น. ออกทุกครึ่งชม. 15.00 น. - 18.00 น. ออกทุก 1 ชม. หรือออกทันทีเมื่อผู้โดยสารเต็มลำ)
สามารถรับใบตม.ได้จากจุดขายตั๋วเรือ จากนั้นก็กรอกข้อมูลขาออกให้เรียบร้อย แล้วยื่นไปพร้อมกับตั๋วเรือและพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็สามารถออกประเทศได้แล้ว เย้!!!
พี่รู้ไหม เรือมาจอดรอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยนะ
ประตูลงเรือมีแค่ช่องเดียว แถมผู้โดยสารส่วนใหญ่เลือกนั่งกันบริเวณนี้เพราะจะได้ขึ้นก่อน เลยลงค่อนข้างลำบาก ต้องพยายามแหวกผู้คนและก้าวข้ามข้าวของที่วางขวางอยู่ เพื่อไปหาที่ยืนปักหลักด้านหลังซึ่งยังพอมีพื้นที่ว่าง
ผู้โดยสารใกล้จะเต็มลำและถึงรอบออกพอดี เรือจึงค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่า บนเรือไม่ค่อยมีเก้าอี้ให้นั่ง คนส่วนใหญ่จะยืนหรือไม่ก็นั่งลงไปกับพื้น
ลาก่อนประเทศไทย ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวกลับมานะ
ถ้าไม่นับแดดช่วงบ่ายที่ส่องเข้ามาทางด้านขวาบรรยากาศบนเรือจะเพอร์เฟคมาก
เราเดินหลบแดดออกมาสูดอากาศบริเวณท้ายเรือ มีลมเย็นๆโชยมา วิวด้านหน้าก็ดีงาม รู้สึกอยากอยู่บนเรือแบบนี้ไปนานๆ ขอนั่งกลับกรุงเทพเลยได้ป่ะ
เรือลำนี้มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวได้ด้วย แต่ไม่มีใครสนใจเลย ทำไมน่ะหรอ? ดูแดดสิ
ไหนๆก็มาแล้วขึ้นไปชมวิวหน่อยละกัน ถึงแม้ว่าสีจะทนได้ แต่ผิวทนไม่ด๊ายยยย
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เรือก็เริ่มเข้าเทียบท่า
กัปตันจอดได้นิ่มมาก แถมยังมาคอยส่งผู้โดยสารอีกต่างหาก
สะบายดีเมืองท่าแขก (ທ່າແຂກ) เมืองเอกในแขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับอำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ลาวมายาวนาน ซึ่งในอดีตราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฟูนันและอาณาจักรเจนละ โดยมีเมืองหลวงชื่อว่า ศรีโคตรบูร หรือ ศรีโคตรบอง แต่หลังยุคขอมเสื่อมอำนาจลงเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง
จนมาถึงยุคสมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง ได้ย้ายเมืองมาตั้งที่เขตเมืองท่าแขกจนถึงปัจจุบัน สำหรับใช้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าจากต่างเมือง และสร้างบ้านเรือนตามแบบฝรั่งเศสไว้บริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "เมืองท่าแขก" ซึ่งหมายถึงท่าเรือสำหรับแขกบ้านแขกเมืองมาเยือนนั่นเอง
แต่หลังจากประเทศลาวได้รับเอกราช รัฐบาลพยายามเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่เป็น "เมืองคำม่วน" ให้ฟังดูแล้วมีความเป็นลาวมากขึ้น ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีชาวบ้านชาวเมืองก็ยังติดปากเรียก "เมืองท่าแขก" อยู่จนถึงทุกวันนี้ ที่มา :
https://goo.gl/PXWmk3
เมื่อมาถึงด่านฝั่งลาว ให้เอามือยื่นเข้าไปขอใบตม.จากช่องที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ กรอกเสร็จก็แนบไว้ในพลาสปอร์ตแล้วยื่นกลับเข้าไปในช่องเดิม จากนั้นก็รอเรียกชื่อและจ่ายค่าผ่านแดน 50 บาทต่อคน
เดินเลี้ยวขวาออกมาจากด่าน จะมีรถสามล้อจอดคอยรอให้บริการ ส่วนใหญ่จะคิดราคาเหมารายวัน ราคาเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับการต่อรองและสถานที่ที่ต้องการจะไป เรทราคาจะอยู่ที่ประมาณ 800 -1500 บาทต่อวัน ส่วนเราไม่ได้ใช้บริการ เพราะตั้งใจจะเช่าจักรยานปั่นเที่ยวเองแค่ใกล้ๆแถวนี้
โรงแรมที่เราจองเอาไว้อยู่ห่างจากด่านออกไปประมาณ 500 เมตร จึงค่อยๆเดินเล่นถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เรามองหาและตั้งใจจะมาสัมผัสสำหรับทริปนี้ก็คือ บรรยากาศของตึกเก่าๆที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial Style) ที่ตกทอดมาจากฝรั่งเศษในยุคอาณานิคม
Colony แปลว่า อาณานิคม เมืองขึ้น หรือหัวเมืองประเทศราช ส่วนคำว่า Colonial เป็นคำ adjective แปลว่า เกี่ยวกับอาณานิคม ดังนั้นคำว่า Colonial Style จึงหมายถึงศิลปะแบบอาณานิคม ซึ่งในยุคล่าอาณานิคมมหาอำนาจชาวตะวันตก เช่น โปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส อังกฤษ ได้เข้ามาปลูกสร้างอาคารต่างๆเอาไว้ในเมืองขึ้นของตน ที่มา :
https://goo.gl/1OzdgH
เราเป็นคนที่รู้สึกหลงไหลในความมีเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมเก่าๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ตึกเก่าแบบโคโลเนียล แต่ยังรวมถึงบ้านเรือน อาคาร หรือสถานที่สำคัญทางศาสนาของแต่ละท้องถิ่นที่เดินทางผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน มันเหมือนกับว่าเราได้พบเจอกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยเกิดและเติบโตมาในสมัยนั้นและยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อมาบอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตให้เราฟัง
Inthira Hotel คือโรงแรมที่เราจองเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งโรงแรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของตึกแถวแบบโคโลเนียลในย่านเมืองเก่าของท่าแขก
เราจองโรงแรมนี้ผ่านทางเว็บไซด์ Traveloka เว็บเอเจนต์ซี่ที่มีโปรโมชั่นและส่วนลดทั้งที่พักและตั๋วเครื่องบินออกมาบ่อยมาก โดยสามารถจองได้ผ่านทางเว็บไซด์หรือโมบายแอพพลิเคชั่ และสามารถชำระเงินได้หลายช่องทาง สะดวกและคุ้มมากๆ
หลังจากระบุสถานที่ที่เราจะไป เลือกวันที่เข้าพัก และกดค้นหา ระบบก็จะแสดงโรงแรมต่างๆที่อยู่ในบริเวณนั้นขึ้นมาให้เลือก โดยสามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการค้นหาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรทราคาตามงบเราที่ต้องการ หรือจากคะแนนการรีวิวจากคนที่เคยเข้าพัก จนได้โรงแรมที่เราพอใจ
โรงแรม Inthira ถือว่าเป็นโรงแรมที่ได้รับความนิยม เนื่องจากจุดที่ตั้งเหมาะสมและราคาไม่แพงจนเกินไป มีอาหารเช้าและฟรีไวไฟ โดยมีห้องให้เลือก 2 แบบ คือ แบบสแตนดาร์ดและดีลักซ์ สำหรับเราเลือกแบบสแตนดาร์ด เพราะราคาไม่เกินงบที่ตั้งไว้
ลังจากตัดสินใจเลือกได้แล้วก็กรอกข้อมูลส่วนตัวอีกนิดน้อย และเลือกรูปแบบการชำระเงิน ซึ่งมีให้เลือกเยอะมาก แต่เราเลือกแบบโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร เพราะเราโอนเงินผ่านมือถือได้ แถมวิธีนี้มีส่วนลดเพิ่มให้ด้วยนะ
พอกดยืนยันการจองจะได้รับอีเมล์แจ้งรายละเอียดการชำระเงิน โดยจะต้องรีบชำระภายเงินภายใน 1 ชม. เพื่อยืนยันการจอง พอชำระเสร็จก็กลับเข้ามาที่หน้าเว็บและกดปุ่มแจ้งการชำระเงิน พร้อมกับอัพโหลดหลักฐานการชำระเงิน เพียงแค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย และจะได้รับอีเมล์ยืนยันการจอง โดยสามารถนำเอาไปยื่นให้ทางโรงแรมในวันเข้าพักได้เลย
เราได้ห้องพักที่อยู่ชั้นล่าง ภายในห้องมี 2 เตียง เรามาคนเดียวอีกเตียงเลยเป็นที่วางของ มีทีวีและตู้เย็นตั้งอยู่ปลายเตียง
ห้องน้ำที่นี่จะอยู่ด้านบนของหัวเตียง โดยแยกเป็นสองห้อง ห้องด้านซ้ายเป็นห้องอาบน้ำ
ส่วนห้องด้านขวาเป็นห้องส้วม โดยมีอ่างล้างหน้าอยู่ตรงกลาง บรรยากาศโดยรวมถือว่าโอเคให้ 8 เต็ม 10
หลังจากเดินทางมาเกือบทั้งวัน แถมโดนตัดพลังด้วยแสงแดด จึงนอนพักผ่อนเอาแรงกลับคืนมา 1 ตื่น ตื่นมาอีกทีก็เกือบหกโมงเย็น จึงรีบล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปเดินเล่นและนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินที่แผ่นดินประเทศไทยจากฝั่งประเทศลาว
ผู้คนเริ่มคึกคักกว่าเมื่อช่วงบ่าย เพราะอากาศเย็นสบายกำลังดี
เราเดินออกมาจากที่พัก ผ่านลานน้ำพุที่เป็นเหมือนตลาดโต้รุ่งมาประมาณ 200 เมตร ก็จะมาถึงบริเวณริมแม่น้ำโขง
บริเวณแถวนี้จะมีแม่ค้ามาตั้งร้านเล็กๆขายอาหารและเครื่องดื่ม อย่างส้มตำ ของปิ้งย่าง และเบียร์ลาว
โดยมีโต๊ะให้นั่งกินชมบรรยากาศของแม่น้ำโขงอย่างใกล้ชิด
เดินเลยร้านอาหารไปอีกสักนิดจะมีระเบียงไม้ว่างๆให้นั่งเล่นชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่แผ่นดินประเทศไทย
แต่เรามาช้าไปหน่อยเลยไม่ทันได้ร่ำลากัน เหลือไว้แค่เพียงแสงสุดท้ายที่ปลายขอบฟ้าให้ได้ชื่นชม
"มีเวลาให้หัวใจกับสายลมได้ทักทาย เปิดโอกาสให้แสงแดด และร่างกายได้พบกัน อากาศถ่ายเทความเศร้า ความทุกข์ระเหยเป็นควัน ปล่อยความคิดล่องลอยสักวัน"
"เอนกายทิ้งตัวหายไป ในหลุมอากาศ สู่จักรวาลที่สองเราปลอดภัยจากทุกสิ่ง เต็มไปด้วยความรู้สึก สบายเมื่อได้พักพิง โอ้ สวรรค์มีอยู่จริง "
"This is the vacation time เวลานี้ช่างมีความหมาย ดื่มชีวิตช้าช้า แล้วพักผ่อน ลืมความจริงร้ายร้าย ทิ้งเอาไว้ก่อน This is the vacation time" - Vacation Time
บรรยากาศตอนนั้นมันเข้ากับเพลงนี้มาก เรานั่งดูวิวและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรจนกว่าใจจะบอกว่า "พอ"
เราออกเดินสำรวจบริเวณแถวนี้อีกนิดหน่อย เพื่อเรียกน้ำย่อยในท้องให้เริ่มทำงาน
เดินวนกลับมาที่ลานน้ำพุที่เป็นเหมือนตลาดโต้รุ่ง มีร้านค้ามาตั้งร้านขายอาหาร ขนม และเครื่องดื่มประมาณ 10 กว่าร้าน
ลานตรงกลางมีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งเอาไว้ให้สามารถเลือกนั่งได้ตามใจ จะซื้อของร้านไหนมานั่งกินก็ได้ไม่ว่ากัน
เราเดินวนไปวนมาอยู่สองรอบจึงมาจบที่ร้านชายสี่หมี่เกี้ยว รสชาติจะแตกต่างจากบ้านเราเล็กน้อยแต่ก็อร่อยดี ราคาชามละ 60 บาท
เมื่ออิ่มจากอาหารจานหลัก เราเดินกลับมาที่ร้านริมน้ำ เพื่อมาลองของปิ้งย่างเสียบไม้ และเบียร์ลาวเย็นๆแก้หนาว
ของปิ้งย่างเสียบไม้มีให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นปีกไก่ ไส้หมู ปลานิล หรือเขียดย่าง มีประมาณ 10 กว่าอย่าง แต่เราขอลองเป็นไส้หมูย่างละกัน จากนั้นแม่ค้าก็เอาไปย่างให้ร้อนอีกสักหน่อย ก่อนจะหั่นใส่จานมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะพร้อมด้วยพริกน้ำปลา
เบียร์พร้อม กับแกล้มพร้อม เอ้าชน!!! กับใคร? ก็คนเดียวไงจะใครเล่า เหงาและเศร้ามากกกก (ก.ไก่ล้านตัว)
บรรยากาศโคตรเหงา ลมหนาวยังพัดมาซ้ำเติมอย่างไม่หยุดหย่อน จนหน้าชา ปากชา ขาชา ไอ้นั่นก็ชา (หมายถึงแขน)
หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ต้องแก้ด้วยเบียร์ลาวเย็นๆ และไส้หมูย่างที่คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณ 5 ล้านปี (โคตรเหนียว)
ยิ่งดึกยิ่งหนาว เบียร์ลาวก็สู้ไม่ไหว เลยตัดสินใจเดินกลับไปตั้งหลักใต้ที่พัก
นั่งเล่นดูรูปที่ถ่ายอยู่ใต้ที่พักจนได้ไปรู้จักกับเพื่อนใหม่ชาวลาวที่เดินทางมาจากแขวงสะหวันนะเขต เพื่อมาเยี่ยมเพื่อนที่อาศัยอยู่ที่ท่าแขก นั่งคุยเล่นกันอยู่สักพัก เพื่อนก็ชวนไปเที่ยวผับลาวที่อยู่ในตัวเมืองด้วยกัน บังเอิญว่าเราเป็นคนขี้เกรงใจเลยไม่กล้าปฎิเสธไป (ได้หมดถ้าสดชื่น)
ก่อนไปผับเพื่อนพาไปแวะอุ่นเครื่องกันก่อนที่ร้านอาหารพูเบียร์ เป็นร้านแนวนั่งชิลและมีคาราโอเกะให้ลูกค้าสามารถขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีได้ เราเลยจัดไปหนึ่งเพลงเพราะโดนเพื่อนยุ แต่จริงๆอยากร้องอีกหลายเพลง แต่เกรงใจเลยแบ่งให้โต๊ะอื่นบ้าง (ร้านนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้)
พอเครื่องร้อนได้ที่เราจึงไปต่อกันที่ผับที่มีชื่อว่า "Kimber" (โปรดอย่าถามว่าอยู่ตรงไหน แค่กลับกันถูกก็บุญโขแล้ว 555) บรรยากาศของผับลาวก็คล้ายๆกับผับแถวต่างจังหวัดของบ้านเรา แต่ที่ไม่ต่างก็คือเพลงที่เปิดในผับ มีแต่เพลงไทยและเพลงสากล แถมร้องกันได้ทุกคน และมีดนตรีสดด้วยนะ เล่นเมามาก เอ้ย!!! มันส์มาก (ที่เมาคือพวกเราเอง)
ผับที่นี่จะปิดตอนเที่ยงคืน พอห้าทุ่มครึ่งคนก็เริ่มเดินออกละ ไม่รู้ว่าไปต่อที่ไหนกัน ส่วนพวกเราไปต่อกันที่ร้าน "เฝอ" ปกติไม่ค่อยกินอะไรหลังจากดื่ม แต่เพื่อนก็คะยั้นคะยอให้กิน เลยจัดไปหนึ่งชามใหญ่ๆ แต่เพื่อนบอกว่านี่แค่ชามน้อยนะ เอิ่ม!!!
กินกันจนอิ่มก็ขับกลับมาที่พักแล้วแยกย้ายกันไปนอน ตอนนั้นเมามาก เลยไม่ได้อาบน้ำและเข้านอนทันที นอนไปได้ห้านาที รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในท้องและรู้สึกเหมือนจะอ้วก พยายามดึงตัวลุกออกจากเตียงไปที่ห้องน้ำ แต่ไม่ทันจ้า อ้วกกระจายเต็มพื้นกลางห้องเลยจ้า จากที่เคยรู้สึกเมาและง่วงกลับมาตาสว่างอีกครั้ง และตั้งหน้าตั้งตานั่งเช็ดอ้วกจนสะอาดเอี่ยม ตื่นมาอีกทีก็เกือบ 9 โมง เลยไม่ได้ไปตลาดเช้าอย่างที่ตั้งใจ
อาบน้ำแต่งตัวออกมากินข้าวเช้าฟรี มีเมนูอาหารเช้าให้เลือกอยู่ 8 เซต โดยเลือกได้แค่ 1 เซตเท่านั้น นอกนั้นจ่ายตังค์เพิ่ม ส่วนเราเลือกหมายเลข 10007 Rice Soup with Egg โดยทุกเซตจะมีขนมปัง เนย และน้ำส้ม ชา หรือกาแฟให้ด้วย ข้าวต้มอร่อยดี แต่ที่ชอบที่สุดคือขนมปังทาเนย คือเนยที่นี่หอมมาก จนอยากจะขอเนยเปล่าๆเอาไปกินเล่น แต่ดันลืมถามว่ายี่ห้ออะไรเสียดายมาก
พอกินเสร็จก็ไปติดต่อขอเช่ารถจักรยานจากโรงแรม เพื่อปั่นไปไหว้พระธาตุศรีโคดตะบอง ปกติราคาประมาณ 240 บาทต่อวัน แต่เรามีเวลาเหลืออีกเพียงแค่ 2 ชม. ก่อนจะต้องรีบกลับมาเช็คเอาท์ เลยขอเช่าแค่ 2 ชม. ในราคา 60 บาท
พระธาตุอยู่ห่างจากที่พักของเราออกไปทางทิศใต้ประมาณ 6 กิโลเมตร สามารถไปได้ 3 เส้นทาง ดังนี้
1. เส้นทางแรกสายสีแดงปั่นเลียบแม่น้ำโขงประมาณ 2 กิโลแล้วตัดเข้าเส้นสีเขียว เส้นทางนี้วิวสวยและรถน้อย
2. เส้นทางที่สองสายสีเขียว ไม่เห็นวิวแม่น้ำโขงแต่รถน้อย ปกติสามารถปั่นไปได้จนถึงพระธาตุ แต่ช่วงหน้าฝนถนนขาดตรงเส้นสีเหลืองเลยไปต่อไม่ได้ ต้องปั่นย้อนกลับมาเลี้ยวตรงเส้นสีชมพูเพื่อตัดเข้าถนนเส้นสีฟ้า
3. เส้นทางสุดท้ายสายสีฟ้า ไม่เห็นวิวแม่น้ำโขง รถเยอะและพลุกพล่านมาก
สำหรับเราตอนนั้นเลือกปั่นไปตามถนนเลียบขนานไปกับแม่น้ำโขง บรรยากาศดีมากๆ ปั่นไปชมวิวไป ชิลๆ
ชุมชนที่อาศัยอยู่ย่านนี้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นชาวลาวเชื้อสายเวียดนาม เพราะดูจากลักษณะการแต่งกายและภาษาที่พูด
พอปั่นมาได้สักประมาณ 2 กิโล ทางเลียบแม่น้ำจะมาสุดที่วัดแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายไปปั่นต่อบนถนนเส้นสีเขียว
ซึ่งปกติถนนเส้นสีเขียวสามารถปั่นไปได้จนถึงพระธาตุ แต่วันนั้นถนนขาดตรงเส้นสีเหลืองและยังไม่ได้ซ่อมเลยไปต่อไม่ได้ เราก็ไม่รู้มาก่อนล่วงหน้า เลยต้องปั้นย้อนกลับมาอีกเกือบ 3 กิโล จนถึงบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในรูปด้านล่าง ซึ่งด้านข้างมีซอยเล็กๆตัดเข้าถนนเส้นสีฟ้าได้
สรุปแล้วถ้าอยากปั่นจักรยานมาเองให้ถามชาวบ้านแถวนั้นก่อนว่าถนนเส้นสีเขียวถนนขาดรึเปล่า ถ้าสามารถไปได้แนะนำให้ปั่นไปตามเส้นสีแดงก่อนเพื่อชมวิวแล้วค่อยตัดเข้าเส้นสีเขียวไปจนถึงพระธาตุ
สิ่งแรกที่ทำเมื่อมาถึงคือการยืนตากลมให้เหงื่อแห้งและหายเหนื่อย ก่อนจะเดินไปซื้อตั๋วเข้าชมในราคาคนละ 20 บาท
วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศดีมาก มีลมหนาวพัดมาเรื่อยๆ อากาศก็บริสุทธิ์ยิ่งสูดเข้าไปยิ่งสดชื่น แถมฟ้าใสไม่มีเมฆเลยสักก้อน ยอดขององค์พระธาตุที่มีสีเหลืองทองจึงยิ่งดูเด่นเป็นสง่าสวยงามมาก
พระธาตุศรีโคตรบองหรือพระธาตุสีโคดตะบอง คาดว่าสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 โดยพระเจ้านันทเสนในสมัยที่เมืองท่าแขกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีโคตรบูร ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นองค์พระธาตุคู่กันกับ พระธาตุพนม จ.นครพนม เพราะเป็นพระธาตุของอาณาจักรศรีโคตรบูรที่สร้างร่วมสมัยมาด้วยกัน
ด้านข้างขององค์พระธาตุมีพระอุโบสถที่ภายในประดิษฐานพระประทานองค์ใหญ่
ประตูที่เราเดินเข้ามาเป็นด้านหลังของพระอุโบสถ
พระประทานองค์นี้มีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มและอิ่มเอิบมาก
มีเณรน้อยคอยดูแลและต้อนรับผู้ที่มาทำบุญไหว้พระ
ด้านข้างมีฆ้ององค์ใหญ่ที่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวชอบมาถูตรงกลางให้เกิดเสียงก้องกังวานและขอพร
มุมนี่สงบและอากาศสดชื่นมาก
พระอุโบสถและองค์พระธาตุตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงฝั่งทิศตะวันออก ในจุดที่ลำน้ำโขงค่อนข้างแคบ
ชาวบ้านแวะเวียนกันมาสักการะองค์พระธาตุอย่างไม่ขาดสาย โดยผู้หญิงทุกคนที่มาจะนุ่งผ้าซิ่นลายสวยๆและมีสไบผืนเล็กๆพาดไหล่ พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน
จุดสำคัญอีกจุดหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากองค์พระธาตุนั่นก็คือ อนุสาวรีย์พระยาศรีโคตรบอง เจ้าผู้ครองเมืองศรีโคตรบูรณ์ เมืองลูกหลวงที่ขึ้นต่อเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งแต่เดิมมีพระนามตามตำแหน่งว่าพระยาศรีโคตรบูรณ์ แต่ด้วยพระองค์มีฤทธิ์ทางด้านการใช้กระบอง จึงได้พระนามใหม่ว่า "พระยาศรีโคตรบอง" ที่มา : https://goo.gl/FRb0JZ
มีตำนาน (แบบย่อ) เล่าว่า "พระยาศรีโคตรบองผู้ทรงฤทธานุภาพฆ่าไม่ตาย และสามารถลากท่อนซุงขนาดใหญ่มาทำกระบอง เพื่อปราบช้างป่านับล้านตัวให้กับอาณาจักรเวียงจันทน์ จนเป็นที่มาของอาณาจักรล้านช้าง แต่แล้วก็ต้องตายในที่สุด เพราะภัยการเมืองจากเจ้าเมืองเวียงจันทน์ที่ส่งธิดามาเป็นชายาล้วงความลับ จนพบว่าจุดอ่อนอยู่ที่ทวารหนัก และพระยาศรีโคตรบองได้ซ่อนปริศนาที่ว่าด้วยคำสาปก่อนตาย ที่ทำให้ดินแดนสองฝั่งโขงไม่ได้เจริญอย่างถึงที่สุด และถึงจะเจริญก็เพียงแค่ช่วง ช้างพับหู-งูแลบลิ้น เท่านั้น" ที่มา : https://goo.gl/QDzquQ
สำหรับใครที่สนใจตำนานเรื่องเล่าฉบับเต็มสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/xMdIt0
หลังจากสักการะองค์พระธาตุและอนุสาวรีย์
ขามาก็ว่าเหนื่อยแล้วนะ แต่ขากลับเหนื่อยกว่า เพราะต้องปั่นโต้ลม แถมยางก็แบน เลยแวะเติมลมที่ร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซด์ระหว่างทาง พี่ชายเจ้าของร้านใจดีเติมให้โดยไม่คิดเงิน
พอกลับมาถึงที่พักก็รีบอาบน้ำ เก็บของและเช็คเอาท์
และเดินมาถ่ายรูปเล่นตรงลานน้ำพุอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินต่อไปยังพิพิธภัณฑ์รวบรวมประวัติศาสตร์ของเมืองท่าแขก ซึ่งอยู่ระหว่างทางที่จะไปท่าเรือ
พอมาถึงจึงเห็นว่าวันนี้ปิดจ้า เพราะที่นี่เปิดแค่วันจันทร์ถึงวันศุกร์เท่านั้น
จึงเดินไปหาข้าวเที่ยงกินใกล้ๆท่าเรือเพื่อปลอบใจ จนเจอร้านเฝออยู่ตรงสี่แยกก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายไปท่าเรือ
เลยจัดเฝอชามน้อย ที่ปริมาณไม่น้อยมาหนึ่งชาม ให้เครื่องเยอะและน้ำซุปรสชาติเข้มข้นมาก แถมลูกสาวเจ้าของร้านก็น่ารัก
หลังจากกินเสร็จก็รีบเดินมาที่ท่าเรือ เพื่อทำเอกสารผ่านแดน จ่ายค่าธรรมเนียมผ่านแดน 50 บาท และค่าเรือ 60 บาท
ขากลับเรือลำเล็กมาก แถมคนก็เยอะ รู้สึกว่าเรือค่อนข้างโคลงเคลง
ผ่านไปประมาณ 20 นาที ก็มาถึงท่าเรือฝั่งไทยโดยสวัสดิภาพ ยินดีต้อนรับกลับสู่ประเทศไทย
สำหรับระยะเวลาเพียงแค่ 1 วัน 1 คืนที่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว อาจจะไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของที่นี่ แต่ก็เพียงพอสำหรับเราที่ต้องการมาเปิดโลกกว้างให้มากขึ้นอีกนิด อย่างน้อยเราก็ได้มาสัมผัสกับดินแดนลึกลับที่อยู่ระหว่างทิวเขาและสายน้ำโขงที่เคยตั้งใจจะมาสำรวจเมื่อหลายปีก่อนได้จนสำเร็จ ไว้โอกาสหน้าจะหาเวลามาสำรวจที่นี่ให้มากกว่านี้ เพราะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและรอคอยให้เราออกไปค้นหาและสัมผัสอีกมากมาย
LIFE IS A JOURNEY | เพราะชีวิต คือ การเดินทาง...
สรุปค่าใช้จ่าย
1. ค่าที่พัก Inthira Hotel จำนวน 1 คืน พร้อมอาหารเช้า : 927 บาท
2. ค่าเรือข้ามฝาก ไป-กลับ : 120 บาท
3. ค่าธรรมเนียมผ่านแดน ประเทศลาว ไป-กลับ : 100 บาท
4. ค่าเช่าจักรยาน 2 ชั่วโมง : 60 บาท
5. ค่าเข้าชมวัดพระธาตุศรีโคตรบอง : 20 บาท
รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 1,227 บาท (ไม่รวมค่าอาหารและเครื่องดื่ม)
ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ สำหรับทริปนครพนมติดตามได้จากกระทู้หน้านะครับ : )
แวะเข้ามาทักทายกันได้ที่ :
Facebook :
LIFE IS A JOURNEY
Website : www.lifeisajourneythailand.com
IG :
https://www.instagram.com/lifeisajourneythailand/
Pantip : http://pantip.com/profile/1420383
LOVE & LIFE IS A JOURNEY
วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.38 น.