สวัสดีครับผม นี่เป็นอีกหนึ่งทริปในบรรยากาศฝน ๆ ที่อยากมาแชร์ เพื่อแลกเปลี่ยนสถานที่ท่องเที่ยวให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับกันครับ ทริปนี้เดินทางเลาะเลียบริมน้ำโขง ฝั่งอีสานบ้านเราถึงสามจังหวัดกันเลยทีเดียว

ผมออกเดินทางจาก สนามดอนเมือง กันตอนสองทุ่มกว่า ๆ ไปถึงที่สนามบินอุดรธานี ก็ปาไปดึกมากแล้ว เหมาแท็กซี่เข้าที่พัก 200.- ถือว่าราคาน่าคบครับ แต่ก่อนจะเข้าที่พักผมบอกให้พี่แท็กซี่ช่วยแวะซื้อของกินแป๊บเดียว พี่แท็กซี่ก็แวะให้ แถมยังให้ข้อมูลเส้นทางดี ๆ อีกด้วย ถือว่าโชคดีที่เจอพี่แท็กซี่ใจดีครับ


ขนมบนเครื่องนกแอร์ ก็ได้ตามปกติครับน้ำ ขนมปัง


ห้องพักของเราคืนนี้ โรงแรมกิตติ์ลดา ดูดีสะอาดครับ แถมราคาก็ไม่แพง 850.- (จองผ่านอโกด้า) รวมอาหารเช้า ห้องพักเป็นแบบนี้ แค่อาศัยนอน ตอนเช้ารับรถเช่า บ. hertz ออกเดินทางเที่ยวอุดรธานี สักที่ และต้องไปต่อยังหนองคาย


ห้องน้ำดูสะอาดใช้ได้ครับ


บรรยากาศของตัว โรงแรมกิตติ์ลดาครับ


หลังมื้อเช้า รถเช่ามาส่งให้ถึงโรงแรม และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการส่งรถด้วยครับ ผมใช้บริการของ บริษัท HERTZ ซื้อที่งาน ททท. โปรซื้อ 5 วัน แถม 1 วัน เลือกจองรถ HONDA JAZZ ไว้ครับ แต่เค้าบอกว่ามีคนเช่าไปก่อนหน้าเราแล้ว ทางบริษัท HERTZ เลยแก้ไขด้วยการอัพสเปครถให้เป็น HONDA CVIC แทน ซึ่งเป็นรถที่สเปคสูงกว่า HONDA JAZZ โอเคถือว่ายอมรับได้ (แต่ถ้าใครซีเรียสเรื่องสเปครถที่จอง ก็ลองล็อคสเปครถให้ดี ๆ อีกครั้งก่อนการเดินทาง กับบริษัทรถเช่าดูนะครับ)


สถานที่เที่ยวแรกของเรา วัดป่าภูก้อน ขอไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทางท่องเที่ยว และชมความสวยงามของสถาปัตยกรรม


วัดป่าภูก้อน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูง


บรรยากาศบริเวณ วัดป่าภูก้อน กว้างขวางมาก


ภายในวัดมี พระบรมสารีริกธาตุบรรจุ ในพระเกศพระร่วงโรจน์ศรีบูรพา ซึ่งเป็นประธานประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ มีพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี เป็นพระพุทธรูปปางปรินิพพาน ทำด้วยหินอ่อนขาวจากเมืองคาร์ราร่า ประเทศอิตาลี ความยาว 20 เมตร มีลักษณะอ่อนช้อยงดงาม สร้างขึ้นในมหามงคลสมัย ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2554


วิวรอบบริเวณ วัดป่าภูก้อน


ระเบียงโดยรอบกว้างขวางมาก เหมาะแก่การชมวิว ลมหน้าฝนเย็นสบายจริง ๆ


ออกจาก วัดป่าภูก้อนมุ่งหน้าต่อไปยังจังหวัดหนองคาย แวะอีกที่ก่อนเข้าที่พัก วัดผาตากเสื้อ

วิวข้างทางก่อนจะขึ้น วัดผาตากเสื้อ


เส้นทางขึ้น วัดผาตากเสื้อทางไม่ชันมากนัก ขับขึ้นไปแล้วมองเห็นวิวฝั่งเพื่อนบ้านสวยงาม วัดผาตากเสื้อ ที่ตั้งอยู่บนเขาใน เขตอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย สูงจากระดับน้ำทะเล 550 เมตร ภายในวัดมีธรรมชาติที่สมบูรณ์มาก และที่สำคัญวิวสวยมาก ๆ


บันไดนาค ทางเดินขึ้นอุโบสถวัดผาตากเสื้อ เพื่อไปไหว้พระขอพร


ภายในโบถส์ครับ


ออกจากโบสถ์เดินลงบันไดนาคมา ผมไม่รอช้ารีบเดินมายังจุดชมวิว ไฮไลท์ของที่นี่เลยครับ จากจุดชมวิว หากมองไปทางซ้ายมือจะมองเห็นวิวแม่น้ำโขงทอดยาว แยกเป็นรูป Y มองเห็นประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน (ตอนไปยังไม่มีสะพานแก้ว)

ภายในวัดมี ถ้ำดินเพียง เชื่อกันว่าเป็นถ้ำพญานาค และเป็นประตูมิติเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับเมืองบาดาล บ้างก็ว่าเป็นเส้นทางที่พระธุดงด์ทรงศีลแก่กล้าจากลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงเข้ามายังเมืองไทย บริเวณปากทางเข้าถ้ำจะมี "ศาลพ่อปู่อินทร์นาคราช - แม่ย่าเกตุนาคราช" ตั้งอยู่ แต่เสียดายเราไม่ได้เดินเข้าไปครับเพราะเวลาไม่พอจริง ๆ


ออกจาก วัดผาตากเสื้อ ก็เข้าที่พัก คืนนี้เลือกที่โรงแรมดีเฮงดี ตั้งอยู่ริมโขง ราคาแค่ 550.- (จองผ่านโรงแรมเลย จองในอโกด้าแพงกว่า) ไม่รวมอาหารเช้า โรงแรมดีเฮงดีจะมีสองตึก ตึกเก่ากับตึกใหม่ เราพักที่ตึกใหม่ เพราะราคาเท่ากัน


ตอนกลางคืนออกไปนั่งตรงระเบียงมองวิวน้ำโขง สะพานมิตรภาพไทย-ลาว และฝั่งประเทศลาว อากาศช่วงนี้เย็น แต่ไม่มากเพราะเป็นช่วงหน้าฝน


ติดกับโรงแรมมีร้านอาหารอยู่สองสามร้าน เราไปฝากท้องมื้อเย็นที่ ร้านอาหารเรือนริมน้ำ ใกล้กับเรือนริมน้ำมีร้านชาบูอินดี้ด้วยครับ แต่ผมไม่ใช่คนเกาหลี ขอกินแบบไทยดีกว่า


บรรยากาศ ร้านเรือนริมน้ำอยู่ริมเขื่อน เดินไปดูวิวน้ำโขงพร้อมจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ชิว ๆ


มื้อเย็นสั่งอาหาร 3 อย่าง จานแรกเป็นกับข้าวมหาชน "ทอดมันกุ้ง" เค้าให้เนื้อกุ้งเยอะดีนะ โอเคเลยแกล้มเบียร์เย็น ๆ จัดไป


ผัดฉ่าปลาคัง จานนี้ยังทำไม่ถึงเครื่องเท่าไหร่ มันต้องรสชาติเผ็ด และจัดจ้านกว่านี้ ไม่ผ่านครับ


อีกหนึ่งกับข้าวมหาชน ต้มยำกุ้ง กุ้งตัวใหญ่ รสชาติจัดจ้าน โอเคครับ สรุปโดยรวมโอเค ได้นั่งเล่นรับลมริมน้ำโขงไปในตัวด้วย


ตื่นเช้าออกมาเดินเล่นแถว ตลาดท่าเสด็จ ห่างจากโรงแรมที่เราพัก 10 นาที


เดินซื้อของฝาก และถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ออกมาตรงริมโขง ถ่ายภาพมุมมหาชนที่ ป้ายพญานาค "สุดเขตประเทศไทย"


มีดิสเพลย์ไว้สำหรับให้ถ่ายรูปเล่น


เจ๊แกไม่รอช้าครับโชว์สวยนืดนึง


ซุ้มแบบนี้มันดูเป็นมุมเด็ก ๆ ไปนิดนะครับ


ในข้อมูลบริเวณ ตลาดท่าเสด็จ หรือเรียกกันว่า ตลาดอินโดจีน เดิมชื่อ ตลาดท่าเรือ เพราะก่อนที่จะมีการสร้างสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว ประชาชนทั้งสองฝั่งน้ำ จะต้องใช้เรือในการสัญจรไปมา ทำการค้าระหว่างชายแดนกันอย่างคึกคัก ที่นี่จึงเป็นที่ทำการด่านตรวจคนเข้าเมือง และทำหนังสือเดินทางผ่านแดน

ในปี 2498 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบภัย จ.หนองคาย พระองค์ได้เสด็จขึ้นจากเรือพระที่นั่ง ณ ตลาดท่าเรือ แห่งนี้ ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อจาก "ตลาดท่าเรือ" เป็น "ตลาดท่าเสด็จ"

ตลาดท่าเสด็จ เป็นแหล่งขายผลิตภัณฑ์ของชุมชนจังหวัดหนองคาย ที่นี่มีสินค้าแทบทุกอย่าง ทั้งอาหารพื้นเมือง สินค้า OTOP ของที่ระลึก และของเครื่องใช้ต่างๆ แล้วแต่ใครจะเลือกซื้อ

ร้านอาหารที่อยากแนะนำ เห็นคนบอกว่าอร่อย เป็นเจ้าดังที่สุดในย่านนี้ ร้านแดงแหนมเนือง แต่น่าเสียดายเราอดกิน เพราะวันที่ไปเข้าหยุด T_T


มี บ้านนกนางแอ่นด้วย


หาอะไรกินกันแล้ว ก็เดินทางไปยัง จังหวัดบึงกาฬทันที แวะเที่ยว ไหว้พระที่วัดสว่างอารมณ์ ตั้งอยู่ที่ อ.ปากคาด ผมว่าวัดนี้เป็นอีกวัดหนึ่งที่ Useen เหมือนกัน ภายในวัดมีโบสถ์อยู่บนก้อนหินใหญ่ ส่วนหลืบถ้ำด้านล่างเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปไสยาสน์ปางปรินิพพาน เดินขึ้นไปด้านบนก้อนหินเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมองได้ 360 องศ มองเห็นแม่น้ำโขงนอกจากนั้นยังมีจุดเด่น ๆ หลายที่ ภาพประติมากรรมสี รูปปั้นประจำปีเกิด ถ้ำศรีธน ถ้ำฤาษี น้ำตกฤาษี ศรีธนร่ำเรียนวิชา ศรีธนลองดาบ รอยพระพุทธบาท ฯลฯ


พระพุทธรูปไสยาสน์ปางปรินิพพาน


โบสถ์สร้างอยู่บนก้อนหินใหญ่



ถ้ำฤาษี


เราเดินขึ้นมาไหว้พระข้างบนกันครับ



มองเห็นวิ วน้ำโขงไกล ๆ


เที่ยว วัดสว่างอารมณ์เสร็จ เราแวะวัดอีกสักที่ (ดูเหมือนจะเป็นคนธรรมะธัมโมเลยครับ) วัดนี้ถือได้ว่าเป็นอันซีน มีเสน่ห์ มีความสวยงามมาก ๆ วัดอาฮงศิลาวาส หรือแก่งอาฮง ที่เค้าว่ากันว่าเป็นสะดือแม่น้ำโขง

ก่อนเข้าไปใน วัดแก่อาฮอง แวะเดินเล่นริมโขงแถว โรงเรียนแก่งอาฮง เพราะเป็นอีกมุมที่สวย มองเห็นเกาะแก่งอยู่เยอะ นักเรียนวิ่งเล่นกันอยู่ มองเราแปลก ๆ ประมาณว่าใคร มาทำอะไรแถวนี้ อะไรประมาณนั้น เรายิ้มให้เด็ก ๆ เดินหนีซะงั้น สงสัยเพราะความหน้าตาดีของเรารึเปล่าไม่รู้ ฮา ฮา


เจดีย์ตรงฝั่งนั้นเป็นของ ประเทศลาว อยากข้ามไปเที่ยวแต่กลัวโดนจับ


Useen มาก ๆ


วิวสวย ดูสบายตา


ป้าย สะดือน้ำโขง


ขอยกตำนานเล่าขานสักนิดว่า ถ้ามีคนตกน้ำตายเหนือ แก่งอาฮงขึ้นไป ไม่ว่าที่ใด หากหาศพไม่พบ ให้มาหาได้ที่ แก่ง อาฮง เชื่อกันว่าศพจะไหลไม่พ้นแก่งอาฮง เพราะตกลงไปในจุดที่เป็นคุ้งน้ำไหลวน และเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงนั่นเองนอกจากนั้นแก่งอาฮง ยังเป็นที่อยู่อาศัยของปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่างปลาบึก


ออกจาก แก่อาฮง ขับรถเข้าตัวเมืองบึงกาฬ อยู่ห่างจากแก่งอาฮงแค่ครี่งชั่วโมง ถือว่าไม่ไกลมากนัก เราเข้าพักที่โรงแรมเดอะวัน ห้องซุปพีเรียร์ จองผ่านโรงแรม แต่ช่วงที่ไปมีโปรโมชั่นพอดีจาก 1,200.- เหลือ 790.-

เราเชคอิน เก็บสัมภาระ และเดินไปโลตัสใหญ่ ที่อยู่ติดกับโรมแรม ซื้อของใช้ และเครื่องดื่ม (เครื่องดื่มละไว้ในฐานที่เข้าใจ อิ๊ อิ๊) ซื้อของเสร็จแล้วก็รีบขับรถออกมา เพื่อหาข้าวเย็นกิน เดินเล่นแถวริมน้ำโขงที่ถนนข้าวเม่า เส้นนี้มีผู้คนมาเดินเล่น และหาอาหารกินกันเยอะมาก มีทั้งร้านอาหาร และร้านเหล้า ถือว่าครึกครืน


ที่นี่มีจุด คล้องกุญแจสำหรับคู่รักด้วย


เราเดินมาเจอ ร้านลมโชย ปลาเผา เจ๊อยากกินเมียงปลา เลยเลือกร้านนี้ สั่งอาหารมา 3 อย่าง

ส้มตำอาหารเบสิค แต่เป็นของชอบ


ผัดฉ่าปลาบึก ไม่อร่อยครับจานนี้ มันต้องมีความเป็นผัดฉ่ามากกว่านี้ รสชาติไม่ค่อยจัดจ้าน ออกคาวนิด ๆ ด้วย


แต่จานนี้ใช้ได้ เมี่ยงปลานิล ปลาตัวใหญ่มาก เครื่องเคียงนี่เยอะมาก อร่อยจานนี้ ผ่าน...!!


ยามเย็นนั่งกิน ริมน้ำโขง ฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศลาว


บรรยากาศของ ถนนข้าวเม่า เค้ายกให้เป็นถนนคนเดินของบึงกาฬ


กลับมาถึงโรงแรม บรรยากาศบริเวณ โรงแรมเดอะวัน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายห้องพักของเดอะวันมาให้ชม แต่เพื่อน ๆ ดูจาก Google ได้ เรายืนยันจริง ๆ ว่าโรงแรมเดอะวัน ราคาไม่แพง คุณภาพคับแก้วจริง ๆ ให้ 10 คะแนนเต็ม ๆ .....!! ขวามือจากรูปคือโลตัสใหญ่ แค่เดินไม่กี่ก้าวก็สามารถชอปปิ้งของใช้ ยันของกินในโลตัสได้อย่างสบาย แต่เดียวก่อนถ้าคุณร้อนจากการเที่ยว ก็แนะนำลงมาว่ายน้ำที่สวนน้ำได้อย่างสะดวก แถมมีเครื่องเล่นให้ด้วย เราไม่ได้มาทำการตลาดให้เดอะวันนะ แค่อยากจะบอกเฉย ๆ ว่าเราชอบมาก ๆ ฮา ฮา


ดูเอาซิว่าพรีเซนเตอร์ในภาพหุ่นดีแค่ไหน ฮา ฮา


บรรยายไม่ถูกบอกได้อย่างเดียวว่าสนุกมาก ฮา ฮา



วันนี้กว่าจะออกจากที่พักก็สายแล้ว ขับรถออกจาก โรงแรมเดอะวัน มุ่งหน้าต่อมายังน้ำตกชะแนน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ห่างจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมง


กว่าจะเข้ามาถึงตัวน้ำตกทางโหดเหมือนกัน ขับผ่านสวนยางชาวบ้าน ถนนก็เป็นทางลูกลังทั้งหมด ช่วงที่เราไปเป็นปีที่แล้งจัดมาก ทำให้ทางไม่เละจนเกินไป รถเก๋งสามารถขับเข้ามาได้ ขนาดหน้าฝนตัวน้ำตกมีน้ำน้อยมาก


น้ำมีแค่เนี่ย


ถ้าช่วงมีน้ำจะได้เห็นน้ำตกไหลเต็มหน้าผาสะพานหินทำให้ น้ำตกชะแนนสวยงาม อธิบายนิดนึงสะพานหินนี้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีคนสร้างขึ้นมา


มีมอเตอร์ไซด์ชาวบ้านขับผ่านด้วย


ถนนเส้นนี้ถ้ามาหน้าฝนเห็นชาวบ้านเค้าบอกว่าทางจะเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะ รถโหลดหมดสิทธิ์ ต้องโฟวิลถึงจะเหมาะ แต่เรามาช่วงเดือน ส.ค. จริง ๆ มันเป็นช่วงฝนเต็ม ๆ จึงโชคดีที่ประเทศเราปีนี้แล้งจัดมาก เลยทำให้ถนนไม่เละเป็นหลุม และบ่อโคลน


ออกจาก น้ำตกชะแนน ขับต่ออีกครึ่งชั่วโมง ไปยังภูทอก อีกหนึ่ง USEEN เป็นสถานที่ไฮไลท์ของเราในทริปนี้

วัดเจติยาศรีวิหาร (วัดภูทอก) อยู่ในอาณาเขตบ้านคำแคน ตำบลนาสะแบง จ.บึงกาฬ โดยมีพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เป็นผู้ก่อตั้ง ในภาษาอีสานแปลว่า ภูเขาที่โดดเดี่ยว ภูทอก มี 2 ลูก คือภูทอกใหญ่ และภูทอกน้อย แบ่งออกเป็น 7 ชั้น

ชั้นที่ 1-2 เป็นบันไดสู่ ชั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มเป็นสะพานเวียนรอบเขา สภาพเป็นป่าเขามืดครึ้ม มีโขดหินลานหิน สุดทางชั้นที่ 3 มีทางแยก สองทาง ทางซ้ายมือ เป็นทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 ได้เลย ซึ่งเป็นทางชันมาก ผ่านซอกหินที่มีลักษณะเหมือนอุโมงค์ ทางขวามือ เป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4

ชั้นที่ 4 เป็นสะพานลอยไต่เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ยๆ สลับกัน เรียกว่า "ดงชมพู" ทิศตะวันออกจดกับภูลังกา เขตอำเภอเซกา ซึ่งมีสภาพเป็นป่าดิบ มีแม่น้ำลำธารหลายสายไหลผ่าน มีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมีฝูงกา มาอาศัย อยู่มาก จึงเรียกกันว่า "ภูรังกา" แล้วเพี้ยนมาเป็น "ภูลังกา" ในที่สุด ส่วนบนชั้นที่ 4 นี้ จะเป็นที่พักของแม่ชีรอบชั้นมีระยะทาง ประมาณ 400 เมตร มีที่พักผ่อนระหว่างทางเป็นระยะ ๆ

ชั้นที่ 5 หรือชั้นกลาง ถือว่าเป็นชั้นที่สำคัญที่สุด จะมีศาลาขนาดใหญ่ พระพุทธรูป กุฏิพระ และเป็นที่เก็บสังขารของพระอาจารย์ จวนด้วย พื้นที่สะอาดกว้างขวาง ดูแล้วร่มเย็นมาก เหมาะสำหรับการนั่งสวดมนต์ปฏิบัติธรรมสำหรับนักแสวงบุญ หรือผู้ที่ใฝ่หาความสงบ ตลอดตามช่องทางเดินจะมีถ้ำอยู่หลายจุด เช่น ถ้ำเหล็กไหล ถ้ำแก้ว ถ้ำฤาษี ฯลฯ มีที่ให้นั่งพักสำหรับความอ่อนล้า ระหว่างทางเดิน เป็นระยะ ถ้าเดินมาทางด้านเหนือจะเห็นสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พุทธวิหารอันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะแปลกและ น่าอัศจรรย์ที่สุดคล้าย ๆ กับพระธาตุอินทร์แขวนที่พม่า คือ เป็นหินแยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ตกลงมา เพราะตั้งอยู่อย่าง ได้ฉากกับพื้นโลกพอดี ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร มองออกไปจะ เห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่าง ชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา

ชั้นที่ 6 จะเป็นจุดชมวิวิที่สวยที่สุด ตลอดทางเดินจะเป็นหน้าผายื่นออกมาทำให้ในบางครั้งเวลาเดินต้องเบี่ยงตัวออกมาเล็กน้อย โดยแต่ละจุดก็จะมีชื่อของหน้าผาที่แตกต่างกัน เช่น ผาเทพนิมิตร ผาหัวช้าง ผาเทพสถิต เป็นต้น ในช่วงฤดูหนาวจะ มีทะเลหมอก ลอยอยู่รอบ ๆ ยอดเขา ทำให้เหมือนอยู่บนสวรรค์ จากชั้นที่ 6 สู่ชั้นที่ 7 เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขายาว 400 เมตร เกาะติดอยู่ริม หน้าผา สูงชันดูน่าหวาดเสียวอันตราย มีความยาว 400 เมตร สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และน่าชมที่สุดของชั้นนี้คือ ปากทางเข้าเมืองพญานาค ซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก มีจุดให้สังเกตคือ มีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัส กับหิน และมีบ่อน้ำเล็ก ๆ มีน้ำขังอยู่เกือบตลอดปี

ชั้นที่ 7 จะมีบันไดไม้พาดขึ้นมา เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านมาแล้วจะเจอทางแยก 2 ทางเพื่อขึ้นไปบนดาดฟ้าชั้น 7 ทางแรกเป็นทางชัน ต้องเกาะ เกี่ยวกิ่งไม้และรากไม้เดินลำบาก แถมยังมีป้ายบอกให้ "ระวังงู" ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีอยู่มากบนยอดภูแห่งนี้ด้วย ควรใช้อีกทาง หนึ่งซึ่งเป็น ทางอ้อมต้อง เดินเวียนไปทางขวามือ แต่ก็จะมาบรรจบกันด้านบนชั้น 7 หรือดาดฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าไม่ทึบธรรมดา มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่



ปากทางขึ้น ภูทอก


เตรียมตัวขึ้นบันไดขั้นแรก


ขึ้นมาได้ไม่นานก็เริ่มเห็นวิวของที่นี่


จากแดดเปรี้ยง ๆ อยู่ ๆ ก็มีฝนมาขัดจังหวะการเดินของเราซะงั้น


รอฝนหุดตก


เจอนกคู่นึงมาหลบฝนใกล้ ๆ กับเรา


ฝนตกหนักมาก ดีที่มีชะง่อนผาคอยบังฝนให้


ใกล้ ๆ กับที่เราหลบฝน ด้านบนหน้าผามีโพรงถ้ำ


จิ้งเหลนโผ่ลออกมาหลังจากฝนหยุดตก


ฝนหยุดแล้วทำให้บรรยากาศ ภูทอกมีหมอกปกคลุม ได้วิวสวยชุ่มชื่น อากาศเย็นสบาย


สวยมาก ๆ วิวบนนี้เอาไปเลย 10 คะแนนเต็ม ๆ



ทางเดินเป็นไม้แบบนี้ตลอดทาง เห็นวิวได้ตลอดอีกด้วย แต่ต้องเดินระวังเหมือนกันกลัวลื่นเพราะพื้นเปียก


เดินมาได้ระยะหนึ่งเจอกับ ถ้ำฤาษี ดูสงบเยือกเย็น


ด้านบนมี รังผึ้งป่าขนาดใหญ่มาก


วิวสวยมาก ๆ มองเห็นอ่างเก็บน้ำบ้านนาต้อง


บนนี้มีที่พักไว้สำหรับพระสงฆ์ และผู้บำเพ็ญศีล ถ้าได้มานั่งสมาธิตรงนี้คงบรรลุ เห็นสัจธรรมอย่างถ่องแท้ และแน่นอน


ทางเดินน่าตื่นเต้นผสม Unseen เดินไปชมวิวไปก็เพลินอีกแบบ แต่เวลามองลงไปนี่เสียววูบ



รูปปั้น พระอาจารย์จวน ผู้ก่อตั้งวัดเจติยาศรีวิหาร (วัดภูทอก) แห่งนี้


เดินต่อไปเรื่อย ๆ มองเห็นจุดหมายของเราแล้ว อากาศเย็นสบาย


วิวสุดลูกหูลูกตา


เดินมาถึงตรง สะพานหิน มองเห็นวิวได้ทั้ง 2 ฝั่ง สวยมาก ๆ


มองย้อนกลับมาจากจุดที่เราเดินมา Useen มาก ๆ อากาศบนนี้สดชื่นสุด ๆ


ถึงแล้ว พุทธวิหารอันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะแปลกตา และอัศจรรย์ที่สุด คล้าย ๆ กับพระธาตุอินทร์แขวนที่พม่า เป็นหินแยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ร่วงลงมา เพราะตั้งฉากกับพื้นโลกพอดี


ฟ้าหลังฝนสวยอยู่แล้ว


เดินเข้ามากราบสักการะไหว้พระขอพร เจ๊เค้าก็ขอนั่งสมาธิสักครู่ ถือเป็นการแวะพักไปในตัว ดูเจ๊แกไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ เดินได้อย่างสบาย ด้านใน พุทธวิหารสงบ ร่มรื่น เย็นสบาย


มองจาก พุทธวิหาร เห็นทางเดินแต่ละชั้น สวยแปลกตา


นั่งสมาธิเสร็จ ลืมตามาเห็น ตุ๊กกี้มาเกาะอยู่บนกำแพงหินตรงหน้า สีสันดูสวย ตัวเกือบเท่าข้อแขน ตัวใหญ่มาก


มีหมอกโชยออกมาจากต้นไม้ตลอดเวลา


บนภูทอกถือเป็นจุดชมวิวที่สวยต้น ๆ ของเมืองไทยจริง ๆ ประทับใจมาก เอาไปเลย 10 คะแนนเต็ม ๆ


เตรียมตัวเดินลง เราขึ้นไปไม่ถึง ชั้น 7 เพราะเริ่มเย็น บวกกับฝนกำลังจะตกอีกรอบ เดี๋ยวเราต้องไปต่อที่บึงโขงหลงอีกที่


หันกลับมามองอีกครั้งก็อดถ่ายรูปไม่ได้ มองยังไงก็สวย


มองลงไปข้างล่างแล้วเสียววูบ ๆ


ออกจาก ภูทอกมุ่งหน้าต่อไปยังบึงโขงหลง คืนนี้เราจะไปพักแถวบึงโขงหลง


ระหว่างทางเจอคนมาปั่นจักรยานเล่น เห็นแล้วอยากลงไปปั่นด้วย ชิวน่าดู


เห็น บึงโขงหลงแล้ว


มาถึง หาดคำสมบูรณ์ ก่อนเข้าทีพักแวะมื้อเย็นแบบชิว ๆ นั่งมองวิวบึงโขงหลงเพลิน ๆ


วันที่เราไปคนไม่มีเลย ที่เห็นรถจอดอยู่หลายคันนี่ไม่ใช่ของคนที่มาเที่ยวนะ รถของที่ร้านล้วน ๆ มีเราแค่สองคนเท่านั้น เงียบสงบมาก ๆ ร้านอาหารเหลือไม่กี่ร้าน จำไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไร


มื้้อเย็นของเรา ปลานิลสมุนไพรกับพล่ากุ้ง ปลานิลตัวใหญ่มาก ขนาดน่าจะโลกว่า ๆ รสชาติดีมาก ๆ



นั่งมองวิวเพลิน ๆ


หน้าร้อนคนมาเล่นน้ำกันเยอะมาก แต่ช่วงที่เราไปเห็นทางเจ้าของร้านบอกว่า คนเค้าไปทำไร่ ทำนากันหมด ไม่ค่อยออกมาเที่ยวกัน


บึงโขงหลง เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำลำดับที่ 2 ของประเทศไทย เป็นพื้นที่ชุ่ม น้ำที่มีความสำคัญ ระดับนานาชาติ (Ramsar Site อันดับที่1098 ) ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสองอำเภอคือ เซกา และบึงโขงหลง


บรรยากาศดีจริงไรจริง


ภูเขาข้างหน้าคือ ภูลังกา


เริ่มมืดแล้วขอโชว์ชิวสักภาพ ฮิ ฮิ


กว่าจะเข้าที่พักก็หัวค่ำแล้ว คืนนี้พักที่ คุณ ณปาล รีสอร์ท ห้องพักถือว่าโอเค ราคาไม่แพง 500.- เป็นที่พักดูดีที่สุดในบึงโขงหลง แต่แนะนำว่าอย่าเข้าดึกมาก เพราะถนนค่อนข้างมืด และเปลี่ยว


ห้องน้ำสะอาดดูดีใช้ได้ผ่าน


บรรยากาศตอนเช้าของ คุณ ณปาล รีสอร์ท


ก่อนกลับแวะไหว้พระอีกสักที่ ดูใจบุญจริง ๆ เรา เดินทางต่อไปยัง "ป่าคำชะโนด" ครั้งที่เราไปยังไม่ดังเปี้ยงป้าง เหมือนอย่างที่เป็นกระแสจาก "ละครนาคี" คนยังไม่เยอะมาก


ภายใน วัดป่าคำชะโนด


มี สินค้า OTOP เป็นจำพวกตะกร้าสาน ไม้กวาด เสื่อ ฯลฯ ถ่ายภาพเสร็จยายเค้าตะโกนถามเราว่า มาจากไหนกันไอหนู เราก็ตอบคุยยาย พลางตะโกนคุยกัน (ทำไมเราไม่เดินไปยืนใกล้ ๆ คณยาย เออหวะ ฮา ฮา)


"วังนาคินทร์คำชะโนด" วัดศิริสุทโธ หรือวัดป่าคำชะโนด ตั้งอยู่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี เป็นอีกหนึ่งตำนานความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค คนในพื้นที่เชื่อว่า เป็นดินแดนของพญานาค ที่ว่าเกาะคำชะโนดไม่เคยจมน้ำ เพราะมีพญานาคคอยปกปักรักษา แต่ทางวิทยาศาสตร์ สันนิฐานกันว่าที่นี่เป็นเกาะลอยน้ำ เพราะรากของต้นไม้ยาวติดกันเป็นพื้นดิน มีเนื้อที่ประมาณ 20 กว่าไร่ อีกหนึ่ง Unseen

เนื่องจากการสำรวจพื้นที่ใต้เกาะคำชะโนด โดย ทีมงานมูลนิธิกู้ภัยสว่างเมธา อุดรธานี ได้ดำลงไปสำรวจพื้นที่เกาะด้านล่างถึง 2 ครั้ง ซึ่งยังไม่มีใครกล้าทำมาก่อน เพราะชาวบ้านเชื่อว่าบริเวณรอบเกาะมีจระเข้ที่คอยดูแลเกาะให้เจ้าปู่ศรีสุทโธอยู่ (จระเข้ตัวนี้คือเรือของเจ้าปู่ศรีสุทโธ ที่โดนชาวบ้านไล่ล่า และเอาเนื้อมากินตามตำนานเล่าขาน)

การลงไปครั้งที่สอง คือการลงไปบันทึกภาพของเกาะคำชะโนด นักประดาน้ำดำลงไปในทิศทางเดิม 20 เมตร ผ่านไปประมาณ 10 นาที ก็ได้รับสัญญาณให้ดึงเชือกกลับเพราะเข้าไปไม่ได้ จึงดึงเชือกสัญญาณขอขึ้นฝั่ง

ซึ่งคำกล่าวของนักประดาน้ำในครั้งแรกว่า ด้านล่างข้างในเป็นโพรงเข้าไปเหมือนถ้ำลอยได้ ทางโล่ง แต่พอครั้งที่สองปรากฎว่าทางตันเป็นรากหญ้ายาวติดกันเป็นพื้นเข้าไปไม่ได้ ซึ่งไม่เหมือนรอบแรกมีเพียงกิ่งไม้รากหญ้าบางๆ ผมพยายามเครียร์ออกแล้วแต่ก็เข้าไปไม่ได้เวลาแหวกหญ้าเข้าไปเหมือนกับคนมาดึงไว้ไม่ให้เข้าไป นับว่าเป็นการสำรวจที่ท้ายมากในการดำลงไปใต้เกาะคำชะโน (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)


เส้นทางนาค ทางเข้าสู่ป่าคำชะโนด


ทางเดินเข้า ป่าคำชะโนดดูมีมนต์ขลัง มีต้นไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า "ต้นชะโนด" ขึ้นเต็มไปหมด เราเดินเข้าไปข้างในอากาศเย็นสบาย


ด้านใน ป่าคำชะโนด


บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้าแทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิม (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม)


มีคนมากราบสักการะขอพรกันพอสมควร แต่ไม่ถึงขนาดต้องเข้าแถวเหมือนสมัยนี้


ต้นไทรใหญ่ และต้นมะเดื่อ ตามประสาไทยแลนด์โอนลี่ ตรงนี้เป็นจุดถูกใจคอหวยเค้าหละ เห็นชาวบ้านนำแป้งมาโรยที่รากไทร และต้นมะเดื่อ แล้วถูไปมา บางคนก็นำโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปไว้ เพื่อนำไปดูเลขเด็ดที่บ้าน เรื่องนี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล


ปิดทริปเราขับรถออกมาจาก " เมืองบาดาลคำชะโนด" ได้ไม่นาน ฝนก็เทลงมา บรรยากาศท้องทุ่งนาอีสานบ้านเรา ระหว่างทางดูสวยงามชุมชื่น ทริปนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทริป ที่ประทับใจสุด ๆ ได้ทั้งประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ไปเที่ยวสถานที่สุด Unseen แค่บ้านเราก็มีสถานที่สวย Unseen ไม่แพ้ต่างประเทศ ก่อนเข้าสนามบินเพื่อคืนรถเช่า และขึ้นเครื่องกลับบ้าน เราแวะกินมื้อเย็นที่ ร้าน VT แหนมเนือ ขอบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก แนะนำ ลองแวะไปชิมกัน เพราะที่ร้านมีทั้งแหมนเนือง ขนม และของกินอื่น ๆ ซื้อเป็นของฝากสำหรับเพื่อน ๆ และที่บ้านได้

ขอบคุณครับที่ติดตามอ่านรีวิวเรา แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าครับ

ความคิดเห็น