B P J O U R N E Y
สวีดัสสวัสดีพี่ๆเพื่อนๆกันอีกเช่นเคยนะครับวันนี้บาสกับพิมพ์จะชวนไปทำบุญไม่ไกลจากกรุงเทพของเราเป็นทริปที่นึกกันปุ๊ปไปกันปั๊ปไม่ถามสุขภาพซ๊ากกกคำ55555
ถ้าเอ่ยชื่อ วัดม่วง หลายๆคนคงรู้จักกันดีเพราะวัดนี้เป็นวัดที่มีพระพุทธมหานวมินทรศากยมุณี ศรีวิเศษชัยชาญ เป็นพระพุทธรูปที่มีข้อมูลว่าใหญ่ที่สุดในโลกใครขับรถหรือผ่านไปตามเส้นทางสายอ่างทอง-วิเศษชัยชาญ (ทางหลวงหมายเลข 3195) ต้องตะลึงกับความงดงามของพระพุทธรูปที่วัดแห่งนี้อย่างแน่นอน ถึงขนาดเขาเล่าว่าใครที่มาจังหวัดอ่างทองแล้ว ไม่ได้เข้ามาสักการะ
หลวงพ่อใหญ่ ที่วัดม่วงแห่งนี้แล้วเหมือนกับคุณมาไม่ถึงอ่างทองกันเลยที่เดียว555555
อย่างที่บอกทริปนี้เป็นทริปด่วนทริปชวนกันมาทำบุญไม่ได้มีแผนการล่วงหน้า พูดง่ายๆไปตายเอาดาบหน้ากันเอาครับเพราะสำหรับพวกเราแล้วแผนที่ที่ดีที่สุดก็คือ ปาก ของพวกเรานั่นเอง ^ ^
วัดม่วง ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหัวตะพาน อยู่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ ประมาณ 8 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางสายอ่างทอง-วิเศษชัยชาญ (ทางหลวงหมายเลข 3195) กิโลเมตรที่ 29 เข้าไป 1 กิโลเมตร วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ ภายในวัดมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น พระอุโบสถ ล้อมรอบด้วยกลีบบัวสีชมพูขนาดใหญ่ที่สุดในโลก วิหารแก้ว ชั้นล่าง เป็นพิพิธภัณฑ์วัตถุมงคลและวัตถุโบราณภายในมีรูปปั้นเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วประเทศ ชั้นบน ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เนื้อเงินแท้ องค์แรกองค์เดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นเพื่อเป็นเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่ครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี บริเวณวัดมีรูปปั้นแสดง แดนนรก แดนสวรรค์ แดนเทพเจ้าไทย และแดนเทพเจ้าจีนซึ่งมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ มีรูปปั้นแสดงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามไทย-พม่าที่เมืองวิเศษชัยชาญ ด้านหลังมีวังมัจฉา และสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ของดีเมืองอ่างทองทั้งของกินของใช้มีหมดเลยจร้า
ประวัติโดยสังเขป
http://www.watmuang.com/aboutus1.php
BP Journey สะพายเป้ ถือกล้อง ท่องเที่ยว อ่างทอง@วัดม่วง พร้อมแล้ว Let Go...
ทริปนี้เรานั่งรถตู้จากรังสิตสาย วิเศษชัยชาญ-สุพรรณบุรี ถามเขาเขาบอกว่าผ่านหน้าวัดม่วงเลยครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 น.ครับ
พี่รถตู้จะขับมาจอดให้เราลงปากทางเข้าวัดม่วง โดยเราจะต้องเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ครับ
ระหว่างทางที่เดินเข้าไปก็ถ่ายรูปไปเรื่อยครับ
พระพุทธมหานวมินทรศากยมุณี ศรีวิเศษชัยชาญ องค์ใหญ่มากมองเห็นตั้งไกล
ทางเข้าจากปากทางไปยังวัดม่วงครับ
เดินมาแปปเดียวก็ถึงแล้วครับ ถึงปุ๊ปเชคอินปั๊ป5555 แต่ต้องเดินไปอีกนิดนึงนะครับประตูทางเข้าวัดอยู่โน่นนนน
ถึงแล้ว เอ้ากลับ!! จะบ้าหราาาา 5555555
หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ คือผู้ที่บุกเบิกสร้างและบูรณะวัดม่วงที่จมหายไปนานแล้ว ให้ขึ้นมาเป็นวัดดังเดิมและเป็นผู้ที่วางศิลาฤกษ์หลวงพ่อใหญ่ รวมถึงท่านยังเป็นคนตั้งนามองค์พระใหญ่ว่า " พระพุทธมหานวมินทรศากยมุณีศรีวิเศษชัยชาญ "
เข้ามาถึงก็ต้องสดุดตากับความงดงามของ อุโบสถฐานบัวรอบ ( พระอุโบสถกลางดอกบัว )
อุโบสถหลังนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของวัดม่วง ฐานของอุโบสถสร้างเป็นดอกบัวโดยรอบ กลีบของบัวแต่ละกลีบใหญ่กว่าตัวคนมีขนาดใหญ่มาก และเป็นพระอุโบสถ ล้อมรอบด้วยกลีบบัวสีชมพูขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วยครับ
บริเวณรอบอุโบสถ ตามกลีบบัวด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆได้แก่ พระประจำวัน และรูปหล่อพระเกจิอาจารย์ต่างๆ แม้แต่ฐานของเสมาก็เป็นดอกบัวทั้งหมดอีกด้วยครับ
ภายในอุโบสถประดิษฐาน พระประธานพระพุทธชินราช พร้อมด้วยพระอัครสาวกซ้าย-ขวา ภาพเขียนพระพุทธประวัติสีสันสดใสรอบอุโบสถ
พระวิหารแก้วรัตนพราหมณ์-สุวรรณปาล วิหารแก้ว ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ติดกระจกแก้วภายในและภายนอกทั้งหลัง ได้ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2540 ขนาดกว้าง 16 เมตร ยาว 50 เมตร บันไดทางขึ้นพระวิหารแก้ว ใช้ศิลปะแบบผสมไทย-จีน มีพญานาคเลื้อยที่ราวบันได แล้วเมื่อขึ้นไปถึงหน้าประตูจะมีมังกรพันหลัก เป็นมังกรเงิน-มังกรทอง ส่วนพระวิหารแก้วนั้นประดับด้วยแก้วชิ้นเล็กๆ จำนวนมากช่างงดงามจริงๆครับ
ภายในวิหารจะรูปปั้นเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วประเทศอยู่โดยรอบผนังของวิหาร
แม้แต่ภายในของวิหารแก้วก็ประดับด้วยวิธีการติดกระจกสะท้อนเงาของผู้ที่มาสักการะบูชาพระพุทธรูปในวิหารได้อย่างชัดเจนทั้งส่วนผนังและเพดาน
หลวงพ่อเงิน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสร้างด้วยเนื้อเงินแท้องค์แรกของประเทศไทยอีกด้วย
สังขารของหลวงพ่อเกษมผู้บุกเบิกวัดม่วง ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2544 เวลา 16.54 น. มีอายุได้ 54 ปี 6 เดือน 7 วัน หลวงพ่อเกษมได้สั่งลูกศิษย์ไว้ก่อนว่า ถ้าท่านมรณภาพให้นำร่างของท่านลงโลงแก้วประดับมุก ที่ท่านได้เตรียมไว้นานแล้ว เพราะท่านได้ญาณรู้ว่าท่านมีอายุไม่ยืน และสั่งไม่ให้เผา เก็บไว้ให้เป็นอนุสรณ์ตลอดชั่วกาลนาน ปัจจุบันเก็บไว้ในวิหารแก้วแห่งนี้
พระโพธิสัตว์กวนอิม อยู่ตรงข้ามกับวิหารแก้วมีวิหารเจ้าแม่กวนอิมปางพันมือที่มีลักษณะงดงามอย่างมากเลยครับ
จากนั้นเราก็เดินไปตามทางเพื่อจะไปสักการะบูชาหลวงพ่อพระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ (หลวงพ่อใหญ่) กันครับ
ดอกไม้ธูปเทียนพร้อม ตามกำลังศรัทธาได้เลยครับ
ขออนุญาตบุคคลในภาพด้วยนะครับ
พระพุทธมหานวมินทรศากยมุณี ศรีวิเศษชัยชาญ เป็นพระพุทธรูปที่มีข้อมูลว่าใหญ่ที่สุดในโลก มีหน้าตักกว้าง 63 เมตร สูง 95 เมตร ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2534 แรม 9 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย โดยพระครูวิบูลย์ อาจารย์คุณ หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วง เป็นประธานการก่อสร้างหาทุนพร้อมด้วย นายอานนท์ สุวรรณปาล คณะครู นักเรียน โรงเรียนพานิชยการจำนงค์ ดินแดง กรุงเทพฯ แล้วเสร็จเมื่อ วันที่ 27 กรกฎาคม 2552 งบประมาณ 50,000,000 บาท มีองค์จำลองประดิษฐานไว้ด้านล่างเพื่อให้จุดเทียนธูปบูชาพระพุทธรูป ด้านหน้าทำเป็นบันไดสูงมีพญานาคเลื้อยเป็นราวบันไดตรงกลาง และด้านซ้ายและขวาของบันได
องค์จำลองหลวงพ่อใหญ่ พระพุทธมหานวมินทรศากยมุณี ศรีวิเศษชัยชาญ
บันไดขึ้นไปยัง หลวงพ่อใหญ่ โดยจะขึ้นได้ 3 ทาง แต่ละทางจะเป็นบันไดสูงมีพญานาคเลื้อยเป็นราวบันไดตรงกลาง และด้านซ้ายและขวาของบันได
วันนี้เมฆเยอะมากๆ เหมือนฝนทำท่าจะตกแต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของเราไปอีกแบบที่ได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้ วันนี้คนไม่ค่อยเยอะมากแต่ก็พอมีคนมาเรื่อยๆครับ
ปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือการสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือมัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า "กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง"
ตามความเชื่อของผู้คนที่มากราบไหว้หลวงพ่อใหญ่ จะใช้มือแตะที่นิ้วขององค์หลวงพ่อเพื่อความเป็นสิริมงคลและสมหวังดั่งคำอฐิฐาน
หลังจากกราบไหว้ ถ่ายรูปหลวงพ่อใหญ่กันอย่างอิ่มอกอิ่มใจกันแล้วเราเพิ่งเห็นว่ามี โป๊ะสำหรับให้อาหารปลา เราก็เลยไปให้ขนมปังปลากันครับ โดยระหว่างที่เดินไปมีร้านค้าขายของฝากของกินตลอดข้างทางเลยครับ
ปลาเยอะพอสมควรนะครับ
หลังจากให้อาหารปลากันเสร็จเราก็เดินไป ด้านข้างโบสถ์จะมีแดนเทพเจ้าไทย และแดนเทพเจ้าจีน มีรูปปั้นแสดงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามไทย-พม่าที่เมืองวิเศษชัยชาญ ถัดมาก็จะเป็น แดนนรก แดนสวรรค์ ทศชาติชาดก วรรณคดีไทย และอื่นๆอีกเยอะเลยครับ
หลวงพ่อเกษม ท่านได้สร้างแดนนรก ตามพระไตรปิฎก ที่ระบุถึงเรื่อง การสร้างบุญกุศล ก็ได้รับบุญนั้น และการสร้างแต่บาป ก็ต้องได้รับบาปตามสนองนั้น หลวงพ่อเกษมจึงได้ให้ช่างปั้นรูปหุ่น เป็นรูปคนที่มีร่างกายสูงใหญ่ เสื้อผ้าไม่มีนุ่งห่ม มีทั้งเพศชาย เพศหญิง เรียกว่า เปรต นอกจากนั้น ยังมีรูปปั้น ทั้งเพศชาย เพศหญิง ตกอยู่ในกระทะทองแดง ถูกทรมาน ปีนต้นไม้มีหน่ม (เรียกว่าต้นงิ้ว) รูปปั้นร่างกายเป็นคน มีหน้าตาเป็นรูปสัตว์ต่างๆ มีการถูกเฆี่ยนตี และทรมานทารุณ
วรรณคดี พระอภัยมณี
วรรณคดี ขุนแผน
รูปปั้นแสดงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามไทย-พม่าที่เมืองวิเศษชัยชาญ
พอเรามาเที่ยวทำบุญที่วัดม่วงกันเสร็จแล้วก็ได้สอบถามพี่ๆแถวนั้นว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวอีก ประกอบกับเราอยากจะไปที่วัดสังกระต่ายพี่ๆเขาก็แนะนำอย่างดีว่า ให้ขึ้นรถตู้สายที่เรานั่งกันมาไปลงที่หน้าปากทางเข้าวัดสังกระต่ายแล้วจะมีวินต่อเข้าไปที่วัดอีกที พอได้ข้อมูลเราก็ออกเดินทางกันเลย
แต่......ระหว่างที่พวกเรากำลังจะเดินออกไปปากทางหน้าวัดม่วงเพื่อขึ้นรถตู้ไปจุดหมายต่อไปของเรา ทันใดนั้นเองก็มีเทพบุตรสุดหล่อมาถามว่าไปกับเขาใหม เขาจะออกไปข้างนอก(หมายถึงปากทางหน้าวัดม่วง) พอดีไอ้เราก็ขี้เกรงใจตอบตกลงทันที5555 ระหว่างอยู่บนมอไซค์พี่สุดหล่อถามพวกเราว่าจะไปไหนกันต่อกลับกรุงเทพหรอ ไอ้เราก็บอกว่าจะไปวัดสังกระต่ายต่อครับ พี่เขาเลยบอกว่าไปเดี๋ยวพี่ไปส่ง ฮะอะไรนะ!! ระหว่างกำลังงง งง พี่เขาก็พามาถึงวัดเรียบร้อยซะละ ต้องขอขอบคุณพี่มา ณ ที่นี้อีกครั้งนึงด้วยนะครับ ขอให้พี่และครอบครัวมีแต่ความสุข ไม่เจ็บ ไม่ป่วย รวยๆ เฮงๆนะครับ นี่สินะที่เขาเรียกว่า "คนดีศรีอ่างทอง "
หน้าซอยเข้าไปยังวัดสังกระต่าย
จากปากซอยถึงตัววัดสังกระต่ายไม่ไกลมากครับ ใกล้กว่าวัดม่วงอีก
วัดสังกระต่าย ตั้งอยู่ที่ ต.ศาลาแดง อ.เมือง จ.อ่างทอง สถานที่ท่องเที่ยว Unseen ของประเทศไทยด้วยนะเออ เดิมชื่อว่า "วัดสามกระต่าย" แต่ได้มีการเรียกชื่อผิดเพี้ยนกันมาเรื่อยๆจนกลายเป็นวัดสังกระต่าย
เข้ามาภายใน ตรงกลางจะเป็นข้อมูลวัด ถัดไปจะเป็นดอกไม้ ธูป เทียนครับ
ตัวโบสถ์เก่าแก่มีต้นโพธิ์ ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมรอบโบสถ์ 4 ต้น รวมถึงปกคลุมภายในโบสถ์ ตัวโบสถ์ไม่มีหลังคาแต่ร่มรื่น เนื่องจากอาศัยร่มเงาของต้นโพธิ์ที่ปกคลุมจนเปรียบ เสมือนหลังคาไปแล้ว ส่วนผนังโบสถ์ก็อยู่ในสภาพที่เก่าแก่ ทรุดโทรม แตกหัก แต่คงสภาพอยู่ได้โดยไม่พังทลายลงมา เพราะได้รากต้นโพธิ์ ทั้ง 4 ต้น ที่ขึ้นอยู่ 4 มุม รากได้ชอนไชยึดผนังโบสถ์ไว้ทั้งหลังอย่างแน่นหนาด้วย
โดยภายในโบสถ์มีทั้งหมด 3 ห้อง
ภายในห้องแรกมีพระบูชา คือ หลวงพ่อแก่น
เมื่อเข้ามาในห้องใหญ่มีพระประธานองค์ใหญ่ 1 องค์ คือ หลวงพ่อวันดี และอีก 2 องค์มีขนาดย่อม ลงมา คือ หลวงพ่อศรี และหลวงพ่อสุข
โดยห้องสุดท้ายจะมี ปู่โสม และ พ่อพญานาค ให้เรากราบไหว้บูชา ครับ
หลังจากที่เราได้ไหว้พระขอพร ถ่ายรูปกันสังกระต่ายเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางกลับ โดยเราออกมารอรถตู้กันที่ปากทาง ขึ้นรถตู้กลับรังสิต คนละ 70 บาท ถึงที่หมายอย่างอิ่มอก อิ่มใจ สบายจิตกันเลยทีเดียว
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดเช่นเคยนะครับ
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆนะครับ
ค่ารถเดินทางจากรังสิต-ปากทางวัดม่วง คนละ 90 บาท
ค่ารถเดินทางจากวัดม่วง-วัดสังกระต่าย ฟรี
ค่ารถเดินทางกลับอ่างทอง-รังสิต คนละ 70 บาท ครับ
ค่าอาหารการกิน ทำบุญแล้วแต่บุคคลนะครับ
ง่ายๆค่าใช้จ่ายต่อคนไม่เกิน 300 บาทครับ
สุดท้ายเข้ามาให้กำลังใจพวกเราด้วยนะครับที่
เป็นเพื่อนกับเรา คลิกโลดดดด
ดูรีวิวเก่าๆของเราได้ที่
https://th.readme.me/id/BPJourney
ขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆทุกๆท่านที่อ่านและติดตามพวกเราด้วยนะครับ ไม่มีอะไรมากกว่า ขอบคุณ ขอบใจ ขอบพระทัย Thank You ครับ
สุดท้ายขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.touronthai.com
http://www.watmuang.com
http://paiduaykan.com
และขอบคุณพี่สุดหล่อใจดีพาขี่มอไซค์ไปที่วัดสังกระต่ายด้วยนะครับ
เจอกันใหม่ทริปหน้านะครับ ทริปนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
BPJourney สะพายเป้ ถือกล้อง ท่องเที่ยว
วันพฤหัสที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.49 น.