Alone in Muang Ngoi : เมืองงอยในความทรงจำ
DAY 2 - 09 DEC 2016
: ความสุข ความทรงจำ ไม่มีที่สิ้นสุด :
ความรู้สึกที่ต้องตื่นลืมตาในเช้าวันนี้ มันช่างรู้สึกใจหายจริงๆ นอนนึกบนที่นอนในเช้ามืดตอนตี 5 เวลาที่เหลือเราจะทำอะไรบ้าง เราเหลือเวลาที่นี่น้อยมากจริงๆ
เวลา 5.30 น. ลุกขึ้นเตรียมตัวไปใส่บาตรแต่เช้า อยู่กรุงเทพ ตื่นเช้าไปทำงานแต่เราแทบไม่ได้ทำบุญใส่บาตรเลย ชีวิตวนเวียนเหมือนทุกวัน...
เมื่อคืนก่อนเดินกลับมาที่พัก บอกพี่ที่ร้านอาหารว่า เช้านี้จะใส่บาตรต้องซื้ออะไรบ้าง พี่เขาก็บอกว่า เดี่ยวเตรียมให้ รอตื่นมาตอนเช้าแล้วเดินมาที่ร้านมารอใส่บาตรได้เลย...
ที่จริงตอนเดินออกมาก็ยังมืดอยู่ เดินส่องไฟฉายไปเรื่อยๆจนถึงร้าน นั่งเสพความหนาวจนมีเจ้าหมา 2 ตัวมานั่งเป็นเพื่อน เหมือนมันกลัวเราจะเหงา แต่ไม่เหงาเลยแค่มันหนาววววววมากจริงๆ
ช่วงเช้าๆมืดแบบนี้มีทุกคนตื่นหมดแล้ว ลุกขึ้นมาทำครัวเตรียมตัวออกไปทำไร่ไถนาแต่เช้า บ้างก็ออกมาเดินยืดเส้นยืดสายคลายหนาว ลุงๆป้าก็ยิ้มทักทายเรา ซึ่งตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าเป็นคนไทยแต่เราก็ทักทายทุกคนที่เจอไปว่า " สะบายดี "
เจ้าตัวขาวตัวนี่ตื่นมานั่งเป็นเพื่อนตั้งแต่ฟ้ายังมืดจนฟ้าสว่างเลย
ช่วงที่รอใส่บาตรก็เดินเล่นตามตรอกเล็กๆ ซึ่งเข้าไปแล้วจะเจอที่พักมุมสงบอีกหลายหลังเลย ซึ่งน่านอนมาก กะไว้คราวหน้ามาอีกจะมาพักแถวนี้
ที่พักฟินมาก หน้าบ้านหันหน้าไปทางแม่น้ำอู แล้วเช้าแบบนี้ หมอกสวยมาก
เดินกลับมาถนนเส้นหลักในหมู่บ้าน อากาศขมุกขมัว หนาวมากๆๆ แต่ฟินจัดเลย ดูทุกคนมีรอยยิ้มกระฉับกระเฉงในการใช้ชีวิตในวันใหม่กันดีจัง ถ้าหน้าหนาวที่กรุงเทพ คือไม่อยากจะลุกจากที่นอนเลย แต่อากาศหนาวในเมืองอันห่างไกลแห่งนี้กลับทำให้ชีวิตแต่ละวันดูมีความหมาย ดูมีความสุขกับชีวิต...
ร้านอาหารที่มาฝากท้องไว้เมื่อคืน เช้านี้ก็มานั่งกินร้านพี่เขาอีก (อร่อยนะ)
หลายคนมารอใส่บาตร และอีกหลายคนกำลังออกไปทำงาน
เสียงฆ้องระฆังดังกังวาลออกมาจากวัด เป็นการแสดงสัญญาณแล้วว่าพระท่านกำลังออกมาบิณฑบาตร ระหว่างที่เรากำลังเตรียมตัวใส่บาตร พ่อหนุ่มกิมจิก็เดินออกมาจากที่พักพอดีเลย จึงทักเราว่า ยูใส่บาตรด้วยเหรอ พร้อมทำหน้าตกใจมาก (อีกแล้ว) 5555 เราเลยบอกว่าใช่ๆเราเป็นคนพุทธนะ เราต้องใส่บาตร แล้วเขาก็พยักหน้าแบบเข้าใจ เหมือนทำหน้านึกได้ อ๋อๆ..ยูเป็นคนไทยนี่นะ....
ข้าวเหนียวในกระติ๊บสำหรับใส่บาตรเช้าวันนี้ พี่เขาคิดราคาประมาณ 40 บาท
ช่วงที่เราจะวิ่งไปใส่บาตร พ่อหนุ่มกิมจิบอกว่า เอากล้องมาให้ไอ เดี่ยวไอถ่ายรูปให้นะ ตอนนั้นเราก็เลยยื่นให้เพราะกลัวใส่บาตรไม่ทันพระ หันมามองหนุ่มกิมจิบางที (แบบว่าห่วงกล้อง 555) เห็นนางถ่ายทั้งกล้องเรา และกล้องมือถือนาง และเช้าแบบนี้ไม่มีฝรั่งออกมาเลยสักคน มีแต่กะเหรี่ยงไทยกับหนุ่มหน้าคมแดนกิมจิตื่นที่แต่เช้า...
ขอบคุณรูปสวยๆจากหนุ่มกิมจิที่ถ่ายให้หลายภาพ (ที่จริงเย่อะกว่านี้อีกนะ 55)
ปั้นข้าวเหนียวใส่บาตรแล้วก็กรวดน้ำลงดิน ซึ่งเราก็ทำตามคนที่นี่ เพราะทีแรกจะทำแบบที่เคยทำ ตามวัฒนธรรมที่ไทยจะกรวดน้ำโดยรินใส่ภาชนะ แล้วเอาไปเทที่ต้นไม้ใหญ่ แต่มาที่นี่เลยเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม กรวดน้ำลงดินพร้อมแผ่เมตตา...
ชาวบ้านที่นี่พอใส่บาตรเสร็จก็กรวดน้ำลงดินทันที
หลังจากใส่บาตรเรียบร้อย เราก็กล่าวขอบคุณหนุ่มกิมจิไปที่ถ่ายรูปให้ และพอดีนางเจอเพื่อนร่วมชาติที่มาเที่ยวที่นี่เหมือนกันเลยทักทายกัน เราเลยปลีกตัวมานั่งเล่นริมแม่น้ำอูตรงท่าเรือ
เดินผ่านเจ้าหมากำลังนอนหนาวขดตัว
ความสวยงามในที่ตรงนี้เราไม่อาจบรรยายออกมาได้ ว่ามันสวยแค่ไหน รู้แค่ว่ามันทำให้เช้าวันนี้ของเราพิเศษกว่าทุกวันมากๆ เรามาที่นี่คนเดียว เราไม่ได้มาหาคำตอบหรือค้นหาความหมายอะไร เพราะเรารู้ตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เราค้นเจอตัวเราเองว่าชอบ ว่าต้องการอะไร....แต่เรามาที่แห่งนี้ เพราะเราอยากอยู่คนเดียวในที่ๆไม่มีใครรู้จัก ในโลกใหม่ๆ ที่ใหม่ๆที่ไม่เคยมา อยากเห็นสถานที่ บรรยากาศ ความสวยงามของที่ใหม่ๆ อยากยืนเงียบๆคนเดียว อยากยิ้มให้กับความสุขที่ตัวเองได้เจอ อยากพูดคุยกับตัวเอง...เพียงแค่อยากฟังเสียงธรรมชาติให้ลึกซึ้งกว่าเดิม...
อยู่คนเดียวก็ตั้งกล้องถ่ายเอง ^^
ผืนน้ำนั้นมีแต่ไอหมอกลอยปกคลุมเต็มไปหมด ภูเขาทั่วทั้งหุบเขา ละอองหมอกไหลผ่านเหมือนเรายืนอยู่ในภาพฝัน ความเงียบสงบ ความเงียบ ความหนาว กำลังเคลื่อนตัวผ่านเราไปอย่างช้าๆเช่นกัน อยากหยุดเวลาไว้ตอนนี้ก่อนจะได้ไหม...
เช้าๆที่เมืองงอยจะมีชาวบ้านจากระแวกนั้นนั่งเรือเอาของขึ้นมาขาย มีทั้งผักสด ผลไม้ น่าจะเป็นของที่ปลูกเอง เป็นตลาดเล็กๆ เอามาวางขายเหมือนแลกเปลี่ยนกัน
เด็กๆกำลังไปโรงเรียนกัน
ถ้าวันหนึ่งเขื่อนมาถึง เมืองงอยแห่งนี้คงเหลือเพียงแค่ความทรงจำ เหลือเพียงแค่เศษซากใต้น้ำ เหลือเพียงรูปถ่ายให้เราเก็บไว้ดูยามคิดถึง แล้วคนนี้ที่นี่คงรู้สึกมากกว่ากว่าเรา เพราะที่นี่คือชีวิตของพวกเขา...
เมื่อเวลาที่อยู่ที่นี่ยิ่งสั้นใกล้เข้ามาเลยตัดใจเดินออกมาจากตรงนั้น เดินเข้าหมู่บ้านไปหาข้าวเช้ากิน ซึ่งป่านนี้พี่เขาตั้งร้านเสร็จแล้วละ....
ตลาดเช้าที่นี่คือใคร ใคร่ค้า ค้า ใครใคร่ขาย ขาย ใคร ใคร่ซื้อ ซื้อ...ไม่มีเก็บค่าที่ เหมือนการหมุนเวีนยนแลกเปลี่ยนซื้อกินกันเองในหมู่บ้านและระแวกใกล้เคียง ชีวิตพอเพียงและเรียบง่ายมาก มันเป็นวิถีชีวิตที่มีความสุขที่อยู่ในที่ห่างไกลแล้วเราก็ได้พบเจอ...
แต่ว่าตอนนี้พี่เขายังตั้งร้านและเตรียมของเตรียมเครื่องครัวยังไม่เรียบร้อย เราเลยเดินแว้บบไปที่วัดก่อน ไปเดินดูวัดในเมืองงอย
ร้านนั่งกินอาหารสุดจะชิวและฟินมากๆ
ขำสาวน้อยตาแป๋ว เจอระหว่างเดินไปวัด น้องเขาอยู่ในบ้าน แล้วเขาเห็นเราเดินผ่าน รีบวิ่งมาเกาะรั้ว เราหันไปยิ้มให้ แล้วบอกถามว่า ถ่ายรูปมั้ยๆๆ ถ่ายรูปกันๆ...น้องเขาไม่รอช้าชูสองนิ้วสู้ตายทันที 555 เหมือนรู้งานมาก นางแบบในอนาคตเลย ^^
: วัดโอกาส ไซยะราม เมืองงอย :
เป็นวัดคู่เมืองงอย เป็นวัดเดียวในเมืองงอย ตัววัดอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้าน เรียกได้ว่าเป็นวัดใกล้ชุมชน วัดแห่งนี้ มีพระคู่บ้านคู่เมืองคือ "พระฆ้อง " เป็นพระพุทธรูปที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของลาว ประดิษฐานอยู่ที่เมืองงอย อยู่ในโบสถ์ภายในวัดโอกาส ไซยะรามแห่งนี้
ภายในวัดสงบเงียบดี เพิ่งเห็นแมวที่เมืองงอยครั้งแรกนะเนี่ย นึกว่าที่นี่จะไม่มีแมวแล้ว เห็นแต่สุนัขวิ่งกันเต็มหมู่บ้านเลย ฮ้าๆๆ
เดินดูวัดเป็นเวลาพอสมควรใช้เวลาให้คุ้มค่าที่เหลือ ก่อนเดินทางกลับตอนเก้าโมงเช้า นึกถึงอาหารเช้าขึ้นมาทันที ป่านนี้พี่เขาคงจัดการร้านเรียบร้อยแล้วละ เลยเดินกลับไปกินก่อนลงเรือดีกว่า และตั๋วก็ยังไม่ได้ซื้อเลย เดี่ยวเขาคงเปิดขายตรงท่าเรือ
ยืนถ่ายจากประตูวัด วัดกับบ้านคนเชื่อมกัน
เดินออกจากวัด เดินตรงมาร้านพี่เขาเลย 555 แบบว่าเอ้อระเหยเดินเล่นอยู่นาน จนตอนนี้พวกฝรั่งเขาเตรียมตัวจะลงเรือกลับกันแล้ว ไอ่เราก็ยังไม่ได้กินข้าว กระเป๋าก็ยังไม่ได้เก็บ รู้สึกต้องทำเวลาอย่างเดียวตอนนั้น
ร้านพี่เขาตั้งเสร็จเรียบร้อยแร่ะ พร้อมสั่งอาหาร โล๊ดดด!!....
มือเช้านี้ จัดไปกับ Noodle Soup with Pork และกาแฟร้อน ขอบอกว่าอร่อยมากกกกกก...
เมื่อท้องอิ่มก็ลาแม่ค้าไปพร้อมอุดหนุนขนมที่ดูเหมือนไม่อร่อย แต่ความจริงอร่อยมากอีกแล้ว เพราะว่าเห็นฝรั่งเขามาแวะซื้อกันหลายคนเลย เราเลยลองซื้อไปลองกินบ้าง และพอนึกขึ้นได้ว่าต้องมีเสบียงระหว่างนั่งรถเดินทางกลับหลวงพระบาง ซึ่งเป็นการเดินทางหลายชั่วโมง แล้วจะไม่มีการแวะให้กินข้าว หรือเข้าห้องน้ำไดๆทั้งสิ้น ถ้าปวดจนทนไม่ไหวบอกคนขับได้ แต่ห้องน้ำจะเป็นข้างทางก็คือ วิ่งไปในป่าหาที่ปลดปล่อยเอาเองนะ 555...
เป็นของกินเล่น กินคู่กับ ชากาแฟ โอวัลติน ซึ่งทำมากจากล้วย มัน เผือก ชุบแป้งทอด และแพนแค้ก ที่ขอบอกว่า อร่อยยมากกก อีกแล้วครัช 5555 ไปคราวหน้าจะไปกินร้านพี่เขาเหมือนเดิม เราเลยอุดหนุน แพนเค้กรวมๆกับพวกกล้วยทอด มันชุบแป้งทอด มา เกือบสิบชิ้น เผื่อไปกินเล่นระหว่างพักที่หลวงพระบางอีก 1 คืนก่อนกลับเข้าไทย
ระหว่างเดินกลับที่พักมีการทำงานหัตถกรรมทอซิ่น ทอผ้าไว้ขายและให้นักท่องเที่ยวที่สนใจได้เรียนรู้
ก่อนจะจากลาชุมชนที่นี่ขอถ่ายเก็บบรรยากาศไว้หน่อย แอบใจหายลึกๆเลยที่ต้องกลับไปหลวงพระบางแล้ว ซึ่งเราก็ได้กล่าวลาพ่อหนุ่มกิมจิที่ร้านอาหารพี่เขาไว้แล้วเพราะไม่คิดว่านางจะไปส่ง พ่อหนุ่มกิมจิตกใจนิดหน่อยว่าเรากลับวันนี้เหรอ...แล้วเราก็บายๆกันตรงร้านค้านั้น ...
นู๋น้อยแห่งเมืองงอยมาแจกความสดใสยามเช้าคะ..^^
เราเข้าที่พักมาเก็บสัมภาระก่อนเช็คเอ้าท์ตอนเช้า เอากุญแจไปคืนพร้อมจ่ายค่าที่พัก เดินสะพายเป้ขึ้นหลังไปเข้าคิวซื้อตั๋วเรือกลับ ซึ่งเราคาเท่ากับขามา...
- ราคาค่าตั๋วเรือกลับไปหนองเขียว ราคา 25000 กีบ ( 100 บาท)
ที่พักของเรา " NING NING GUEST HOUST "
มาเข้าคิวซื้อตั๋วเรือกลับหนองเขียว
ไอหมอกบนผืนน้ำหายไปแล้วตอนนี้
ซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว เราก็แบกกระเป๋ามานั่งรอเรียกลงเรือ ตรงบันไดทางขึ้นของท่าเรือซึ่งเช้านี้หลายคนต่างกลับในช่วงเช้าเป็นจำนวนมากพอสมควร เราก็ไม่ทราบว่าเขามาพักกันกี่วัน อาจจะมากกว่า 1 วันก็ได้ ท่าเรือเริ่มแน่นไปด้วยฝรั่งแร่ะตอนนี้ และชาวบ้านบางส่วนที่ไปทำธุระที่เมืองหนองเขียว
ระหว่างรอเรือเดินทางกลับ
คิดๆแล้วก็ใจหาย สูดหายใจลึกๆ ใจหายเรื่องอะไรยังไม่เข้าใจตัวเอง ส่วนเราก็นั่งเซลฟี่ไปพลางระหว่างนั่งรอเรือออก อยู่ๆก็มีมือบางคนมะสะกิดจากด้านหลัง " แอบตกใจนิดหน่อย คนที่อยู่ตรงหน้าเราคือพ่อหนุ่มกิมจิ " (อีกแล้ว555 ) นางยื่นมือมาขอกล้อง แล้วบอกว่า มาๆไอถ่ายรูปให้นะ (อั้ยยะแอบเขิล) ที่เขินนี่คือ มาถ่ายรูปให้เราตอนนี้นะ คนเย่อะแอบเขิลลคนอื่นจะมองว่าเราบ้ากล้องมากกว่า 555
ในรูปก็จะแอบเขิลๆหน่อย ท่าไม้ตายเลยคิดท่าไม่ออกให้ชูสองนิ้ว 555
ได้แต่ขอบคุณนางไป ไม่คิดว่านางจะมาส่ง ซึ่งนางก็บอกเองว่านางมาส่งเราขึ้นเรือ เราเลยไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยิ้มให้เงียบๆ ส่วนนางก็ดูเงียบๆไปสักพัก เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ เราเลยถามไปว่า ยู ไม่กลับเหรอ นางส่ายหัว เราเลยถามต่อ ว่า ยูจะอยู่อีกกี่วัน แล้วจะไปไหนต่อ..(ทำไมตรูต้องทำเสียงเศร้าหน้าเศร้าด้วย) นางก็บอกว่า ตอนนี้ไอไม่รู้ว่าจะอยู่กี่วัน แล้วไม่รู้จะไปไหนต่อ...(พ่อหนุ่มกิมจิก้มหน้าเศร้าๆไป) คือตอนนั้นก็ต่างคนต่างนิ่งกันไป ไม่รู้จะพูดอะไร รู้สึกว่าการจากลาคนที่เราไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเลยในตอนนี้ ทำไมมันดูเศร้าพิกล ...
*** เรือที่ออกจากเมืองงอยมีรอบเช้าเดียว คือ ประมาณเก้าโมงเช้า ****
ในที่สุดเรือในตอนเช้านี้ก็ต้องออกเรือ 2 ลำ เพราะคนกลับมากเกินเรือ 1 ลำจะพอ เราเลยกล่าวลานางไป ว่าบายๆนะ (พูดได้แค่นี้แหล่ะ ) นางเลยพูดมาว่า ยูเทคแคตัวเองดีๆนะ ไม่มีไอคอยเป็นเพื่อนแล้ว ยูเก่งมากๆเลยนะ ที่มาที่นี่คนเดียว (นางชูนิ้วโป้งให้ พร้อมยิ้มให้กำลังใจ) ต่างคนต่างบายๆกันอีกรอบ เราเดินลงไปนั่งในเรือ หนุ่มกิมจิก็ลงตามมาที่โป้ะเรือ แล้วยืนยิ้มให้เราอยู่อย่างงั้น
บางทีการเดินทางเรากลับทำให้เราได้มิตรภาพโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน...
แล้วทำไมตอนนี้ฉันนั้นต้องน้ำตาคลอเบ้าด้วย...
เมื่อเรือกำลังออกจากท่า หนุ่มกิมจิเลยเดินขึ้นจากโป๊ะ ไปยืนมองส่งเราอยู่ข้างบน คือคงเป็นภาพเดียวที่ถ่ายมาในกล้อง คืออยากจะขอบคุณมากๆที่แสดงความเป็นมิตรที่ดีกับเรา คอยช่วยเหลือ คอยเป็นเพื่อนคุย เป็นเพื่อนเดินทาง และความห่วงใย...อีกอย่างเราแอบประทับใจในคืนที่ชวนไปนั่งดูดาว 555
เรือห่างจากฝั่งแต่หนุ่มกิมจิก็ยังยืนมองจนเรือที่เรานั่งลับสายตา เพราะเราก็มองอยู่เหมือนกัน พอเรือพ้นไปทำไมเราต้องแอบปาดน้ำตาที่อยู่ๆก็คลอเบ้าออกมาทำไมไม่รู้...(จะมาตื้นตันอะไรกันแบบนี้ ) นั่งคิดระหว่างทางว่าเราทำอะไรตกหล่นหายไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาหรือเปล่า....
" เมื่อสายน้ำเมื่อไหลไปไม่อาจไหลกลับคืน
เหมือนเช่นวันเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปเหลือเพียงความทรงจำดีๆให้กัน "
ตามเส้นทางของแม่น้ำระหว่างที่นั่งเรือผ่านมา
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ 1 ชั่วโมงที่นั่งเรือมา เราใช้เวลานั่งคิดทบทวนหลายๆสิ่ง คนหลายๆคนที่เราเคยเจอ เราได้คำตอบบ้างไม่ได้คำตอบบ้าง แต่มีบางสิ่งเราได้คำตอบแล้วในตอนนั้น...
" การเดินทางจะเยียวยาหัวใจเราเอง "
การให้กำลังใจของคนแปลกหน้าทำให้เรารู้สึกเปลี่ยนไป ...
เมื่อการเดินทางครั้งนี้จุดหมายนั้นคือฝั่ง ภูเขาสองลูกนี้เป็นสัญลักษณ์ว่าเราได้ถึงเมืองหนองเขียวแล้ว เรือค่อยๆเข้าฝั่งอย่างช้าๆ มองภูเขาลูกนี้แล้วคิดถึงดอยหลวงเชียงดาวเลย...
เมืองหนองเขียว
พอขึ้นจากเรือก็จะมีรถสองแถวเล็กมารอรับนักท่องเที่ยวเพื่อไปที่ท่ารถเมืองหนองเขียว ซึ่งส่วนมากนักท่องเที่ยวจะเลือกเดินไปท่ารถเอง เลยไม่ค่อยมีคนนั่งบนรถเท่าไหร่ มีเรากับชาวบ้านที่นั่นนั่งในรถไม่กี่คน แต่ราคาเท่าเดิมนะ...
เซลฟี่คู่กับหนุ่มเวียดนามหน่อย เป็นเพื่อนคุยไปบนรถตลอดทางเลย ทั้งรถสองแถวจากหนองเขียว และต่อด้วยรถตู้จากหนองเขียวไปหลวงพระบาง
หนุ่มเวียดนาม จำชื่อไม่ได้แล้ว รู้แต่ฮีชอบทะเลที่เมืองไทยมาก อยากไปเที่ยวทะเลที่เมืองไทย บอกว่าสวยมาก ฮีจะพาภรรยาฮีไปเที่ยวด้วย ฮีเห็นเราเป็นคนไทยเลยชวนคุย เพราะในรถนั้นมีแต่ฝรั่ง เราก็คุยไม่เก่งนะภาษาอังกฤษ อาศัยดำน้ำและภาษาใบ้ทางมือไป 555
รอรถตู้ออกที่ท่ารถหนองเขียว
สภาพภายในรถตู้แบบว่าอัดเป็นปลากระป๋องมาก ฝรั่งตัวใหญ่ๆมีเมื่อยมากกๆแน่ ขนาดเรายังเมื่อยขาเลยเหยียดขาแทบไม่ได้ โชคร้ายได้มานั่งหลังสุด โคลงเคง หัวสั่นหัวคลอนไปหมด รถวิ่งวนเวียนอยู่บนเขา ดีที่ไม่ใช่คนเมารถไม่งั้นมีอ้วกแตกแน่นอน 55
ก่อนเข้าเมืองหลวงพระบางคนขับก็แวะปั้มเติมน้ำมัน ทุกคนเลยได้เข้าห้องน้ำ เราเลยหยิบขนมจากเมืองงอยมากิน หนุ่มเวียดนามไม่มีอะไรกิน เลยแบ่งให้สองชิ้น ทีแรกปฏิเสธจะไม่เอาเพราะว่ากลัวเราไม่อิ่ม เลยบอกว่ามีอีกเย่อะกินรับไปกินเถอะ...หนุ่มเวียดนามเลยแบ่งส้มมาให้สองลูก เราเลยเอามาลูกเดียวพอ..มีน้ำใจไมตรีแลกของกินกันกัน ฮ้าๆ
กลับถึงหลวงพระบางโดยสวัสดิภาพ ตอนบ่ายสี่โมง พอดีเจอเพื่อนร่วมชาติของหนุ่มกิมจินั่งรถมาคันเดียวกันฮีเลยถามว่าพักไหนเราบอกแถวพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ฮีเลยบอกไปทางเดียวกัน งั้นเดินไปด้วยกัน
พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย ฮีมีความตื่นเต้นมาก รีบคุยเลยว่าชอบเมืองไทยมากๆ Bangkok เป็นเมืองหลวงที่ใหญ่มากๆๆ เป็น Big City แถมฮียังบอกว่ากินข้าวผัดหมู ระหว่างเดินไปเลยให้เราช่วยสอน พูดภาษาไทยเวลาสั่งอาหารว่า " ขอข้าวผัดหมูครับ " เดินฟังฮีเล่าเพลินเกี่ยวกับประสบการณ์มาเที่ยวไทยทุกปี ไม่อยากเชื่อนะว่าจะเจอคนเกาหลีที่คลั่งไคล้เมืองไทยมากๆ ถึงสองคน ระหว่างเดินทางคนเดียวที่นี่...
ความสุข ความทรงจำ ไม่มีที่สิ้นสุด
สายน้ำอู เมืองงอย สปป.ลาว
09.12.2016
😺 แมวพเนจร 🌿
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.01 น.