หลงรักเลย ภูกระดึง
ด้วยความสวยงาม และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ภูกระดึง จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว ปรารถนาที่จะเป็นผู้พิชิตดูสักครั้งในชีวิต เรื่องราวมากมายกับทริปเดินป่า เที่ยวภูระดึงจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามชมได้เลยครับ
วันที่ 1 เดินทางไปยังจุดหมาย
ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน FD3548 มาถึงท่าอากาศยานเลยในเวลาประมาณ 17:15 น. ซึ่งถึงเร็วกว่าตารางบินปกติ ประมาณ 15 นาที แต่ก็ไม่สามารถให้ผมต่อรถไปที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงได้เลยในวันนั้น จึงต้องต่อรถสองแถวเข้าตัวเมืองเลย แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยหารถไปที่ภูกระดึงกัน
ดวงอาทิตย์กำลังตกบรรยากาศจึงเต็มด้วยแสงสีทองที่สาดส่องมาจากดวงอาทิตย์ในตอนเย็น อากาศกำลังเย็นสบายมากๆ สำหรับการเดินทางจากท่าอากาศยานเลยเข้าเมืองเลย จะมีรถสองแถวมาจอดรออยู่แล้วตรงทางออก สามารถนั่งรถตรงเข้าเมืองได้เลย ค่ารถคนละ 20 บาท ผมพักโรงแรมเลยเรสซิเดนซ์ ซึ่งอยู่ตรง บขส.เลย ที่เลือกที่นี่เพราะราคาถูก และการเดินทางต่อรถไปที่ต่างๆง่ายดาย และเนื่องจากวันรุ่งขึ้นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งรถไปที่ภูกระดึง ที่นี่จึงเหมาะที่สุดสำหรับการใช้เป็นที่พักแรมในระยะเวลาแค่ 1 คืน
วันที่ 2 จุดเริ่มต้นของผู้พิชิต
บรรยากาศยามเช้าที่ บขส.เลย หนาวมากๆ ถือว่าเป็นช่วงบรรยากาศที่ดีกับการเดินทางในวันนี้ ผมมาที่บขส. ตามคำแนะนำของพนักงานโรงแรมซึ่งได้บอกว่าการเดินทางไปภูกระดึงให้ไปขึ้นรถสาย ขอนแก่น-เมืองเลย ซึ่งมีรถออกทุกๆ 15 นาที ซึ่งเวลาที่เหมาะสมคือนั่งรถเที่ยว 07:15 น.แล้วให้ไปลงที่เสงี่ยมฟาร์มเพื่อต่อรถสองแถวแดงไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อเราไปถึงจะเป็นช่วงเวลาที่อุทยานฯเปิดทำการพอดี
แต่เมื่อมาดูตารางเดินรถก็พบว่า ช่วงวันที่ผมเดินทาง รถรอบ 07:15 ได้ควบเที่ยวรถไปพร้อมกับรอบ 08:45 น. ซึ่งทำให้เสียเวลาไปอีกเกือบชั่วโมงกว่าๆเลย ตอนนั้นได้ไปถามราคาแท็กซี่เหมาไปภูกระดึงซึ่งถ้าไปแท็กซี่จะต้องจ่าย 900 บาท ในราคาเหมา แต่โชคดีที่มีคุณป้าใจดีท่านหนึ่งแนะนำให้ไปขึ้นรถของบริษัทนครชัยขนส่ง จำกัด รอบ 07:30 แล้วไปลงที่ผานกเค้า แล้วค่อยต่อรถสองแถวแดงไปที่ทำการอุทยานฯ
บริษัท นครชัย ขนส่ง จะอยู่เยื้องๆกับ บขส. มีป้ายบอกชัดเจน สามารถซื้อตั๋วรถได้เลย บอกเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่าไปลงผานกเค้า ราคาคนละ 53 บาท
นั่งรถมาไม่ต้องกลัวว่าคนขับจะลืมเรา เนื่องจากผานกเค้าเป็นจุดแวะพักรถจุดหลัก เพื่อให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำ และรับประทานอาหาร ซื้อของฝากกัน และแน่นอนที่นี่เปรียบเสมือนท่ารถสำคัญสำหรับของนักเดินทางที่จะไปพิชิตยอดภูกระดึง
ลงจากรถก็ไม่รอช้าหาข้าวเช้ากินก่อนเลย 555 กินข้าวให้อิ่มเพื่อจะได้มีแรงในการเดิน ที่นี่มีร้านค้าหลายร้าน ร้านที่โด่งดังขายของหลากหลาย เปืดมานานแล้ว ต้องยกให้ร้านเจ๊กิมเจ้านี้เลยครับ
และนี่คือมื้อเช้ามื้อแรกที่เลย กินข้าวกลางแดดครั้งแรก เนื่องจากอากาศยามเช้าที่นี่หนาวมากๆ อุณหภูมิประมาณ 10 องศา
และนี่คือเจ้ารถสองแถวแดง ที่จะพาเราไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง แบกเป้ เสื้อผ้า หมวก ไหมพรม ถุงมือ รองเท้า ใจพร้อม กายพร้อมก็ออกเดินทางกันเลย คุณป้าขับรถพูดจาดีมากๆ เป็นกันเองสุดๆ
ราคาเหมา 300 บาท แต่ถ้ามีนักท่องเที่ยวเยอะๆก็สามารถแชร์หารค่ารถกันได้นะ
อากาศหนาว ประกอบกับนั่งรถลมพัดยิ่งหนาวไปอีก บรรยากาศนั่งรถสองแถว เบื่องหลังภูเขาสูงๆก็คือ ผานกเค้า นั่นเองครับ
รถสองแถวจะพามาจอดตรงหน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จากนั้นให้เราไปลงทะเบียนเข้าพื้นที่อุทยานฯ เนื่องจากสถานณการณ์โรคระบาด ทางอุทยานแนะนำให้นักท่องเี่ยวให้จองคิวผ่านแอพพลิเคชั่น QUEQ มาล่วงหน้าเนื่องจากการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละวัน
ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท และนักท่องเี่ยวทุกคนต้องจ่ายค่าประกันอุบัติเหตุคนละ 10 บาท
สำหรับการจองเต็นท์สามารถจองล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ https://nps.dnp.go.th/reservat... หรือมาจองได้ที่ทำการอุทยานฯที่นี่ก็ได้ครับ แต่สำหรับผมแล้วแนะนำให้จองมาล่วงหน้าดีกว่า เผื่อกรณีวันที่มาพักนักท่องเที่ยวเยอะเต็นท์อาจจะเต็มได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะสามารถจองเต็นท์เอกชนได้เหมือนกัน
ราคาเต็นท์ ขนาด 2-3 คน ราคา 225 บาท ต่อ คืน
หมอนใบละ 10 บาท
แผ่นรองนอน 20 บาท ต่อ คืน
ถุงนอน 30 บาท ต่อ คืน
ผ้าห่ม 50 บาท ต่อ คืน (ผืนเล็ก 30 บาท ต่อ คืน)
จากนั้นผมเดินต่อไปยังจุดที่ 4 เพื่อทำการจ้างลูกหาบ สำหรับท่านใดที่ต้องการชาร์ทโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถแวะจุดที่ 3 เพื่อทำการชาร์ทแบตโทรศัพท์ได้ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายในการรับบริการ สำหรับผม ชาร์ทแบตมือถือมาเต็มที่เลย เดินไปที่จุดที่ 4 สำหรับจ้างลูกหาบ ซึ่งเป็นจุดรับ-ส่งสัมภาระ
ค่าบริการลูกหาบ อยู่ที่กิโลกรัมละ 30 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ให้แท็กกระเป๋าให้เราเขียนชื่อและเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ติดต่อรับกระเป๋าบนยอดภูกระดึง
เมื่อทำการจ้างลูกหาบเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาพิชิตยอดภูกระดึงกัน เดินผ่านป้ายนี้ก็ขอเก็บภาพไว้ก่อน
จุดเริ่มต้นของการเดินเท้าขึ้นภูกระดึงก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดนี้ (น่าจะเป็นจุดที่ใครหลายๆคนเก็บภาพไว้นะ)
มองดูป้ายระยะทางสู่ยอดเขาแล้ว ได้แต่บอกตัวเองให้ฮึดสู้ เอาวะ ครั้งหนึ่งในชีวิต
การเดินขึ้นภูกระดึงแนะนำให้เดินตั้งแต่เช้าเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่ร้อน ระยะทางจากศรีฐาน(ที่ทำการอุทยานฯ) ไปหลังแป 5.5 กม และต้องเดินเท้าไปยังลานกางเต็นท์(วังกวาง) อีก 3.5 กม. รวมระยะทางการเดินวันนี้มากกว่า 9 กม.
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินป่าพิชิตยอดภูกระดึงก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เดินขึ้นมาได้หน่อยนึง ยังไม่ถึง 1 กิโลฯด้วยซ้ำ อาการเริ่มมา 555
เดินมาจุดแรก คือ ปางกกค่า เหมือนเป็นจุดรับน้อง ซึ่งเป็นจุดที่มีความลาดชันมากๆ เปรียบเสมือนเป็นจุดวัดใจว่าเราจะไปต่อ หรือหันหลังกลับ แต่ในเมื่อใจมันมาแล้วก็ต้องสู้จนถึงเป้าหมายที่วางไว้
ซำแฮก เป็นจุดพักจุดแรกที่มีร้านอาหาร ร้านน้ำดื่มคอยบริการอยู่ คำว่า แฮก นักท่องเที่ยวทั่วไปมักล้อเลียนว่ามีความหมายถึงอาการหอบ (ซึ่งคนเรามักจะออกเสียง แฮกๆ) แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า แฮก นี้หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในภาษาท้องถิ่น ระยะทางที่ต้องเดินจากที่ทำการมายังซำแฮกยาวประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ทำให้เหนื่อยหอบจริงๆ เนื่องจากเป็นทางลาดชัน ลองลิ้มรสแตงโมที่นี่ดูนะ แล้วจะรู้ว่าเป็นแตงโมที่มีรสชาติอร่อยที่สุด ลองดูนะ
ร้านค้า ร้านอาหาร ที่ซำแฮก
แนะนำให้พกเจ้านี่มาด้วยนะครับ ช่วยได้เยอะเลย 555
ระหว่างทางเดินจากซำแฮกไปสู่ซำบอนจะมีลักษณะเป็นทางลาดเอียงเล็กน้อย เดินไม่เหนื่อยเท่าไหร่
ต่อมาก็คือ ซำบอน ซึ่งหมายถึงบริเวณที่ต้นบอนขึ้นเยอะ ระยะทางที่ต้องเดินจากซำแฮกไปยังซำบอนยาวประมาณ 700 เมตร จุดนี้ไม่มีร้านค้าบริการ แวะถ่ายรูปแล้วเดินต่อไป
เดินมาสักพักจะถึงซำกกกอก ซึ่งที่ได้ชื่อว่าซำกกกอกก็เพราะว่า บริเวณนี้มีต้นมะกอกขึ้นเยอะ
จากซำกกกอกถึงซำกอซาง ระยะทางแค่ 200 เมตร ถึงระยะทางใกล้กัน แต่ลักษณะทางเดินนั้นลาดชัน จึงทำให้เหนื่อยเช่นกันนะ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะซำกอซางมีร้านอาหารครับ แวะเติมพลังแล้วเดินต่อไปชิวๆ
ระหว่างทางซำกอซาง ผมมาเจอลูกหาบกำลังเดินขึ้นไปสู่ยอดภูกระดึง ได้สอบถามลูกหาบท่านหนึ่งว่าครั้งนี้หาบกี่กิโล พี่เขาตอบมาว่า 81 กิโลกรัม ทำให้ผมอึ้งถึงความแข็งแรงของพี่ลูกหาบ และลูกหาบคนอื่นๆก็เช่นกัน นี่คงเป็นอีกเสน่ห์ สีสัน วิถีชีวิตที่ภูกระดึง
เดินผ่านพร่านพรานแป ดมยาดมมาตลอดทางเลย ฮ่าๆๆ
ซำกกหว้า หมายถึง บริเวณที่ต้นหว้าขึ้นเยอะ มุ่งหน้าเดินต่อไปสู่จุดต่อไป
ซำกกไผ่ ที่ได้ชื่อซำกกไผ่ก็เพราะว่าบริเวณนี้มีต้นไผ่ขึ้นเยอะ สังเกตุได้จากมีกอไผ่อยู่หลังป้ายนั่นเองครับ
ซำกกโดน เป็นอีกหนึ่งจุดแวะพักรับประทานอาหาร ดื่มน้ำเติมพลังกัน
นอกจากนี้ที่ซำกกโดนยังเป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่มีทัศนียภาพสวยงาม นั่งกินข้าว ชมวิวไปก็ช่วยคลายเหนื่อยไปได้เยอะเช่นกันนะ
ซำแคร่ เป็นจุดพักก่อนเดินขึ้นสู่หลังแป ที่นี่มีร้านอาหารและห้องน้ำให้บริการ
ระหว่างซำแคร่จบถึงหลังแปจะมีลักษณะทางที่แคบกว่าและสูงชัน มีบันไดช่วยให้การปีนง่ายขึ้น แต่ต้องใช้กำลังขาเยอะ นับว่าเป็นจุดที่เหนื่อยอีกจุดก่อนถึงหลังแป
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงหลังแปจนได้ครับ จุดนี้จะต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย ว่าครั้งหนึ่งเราเคยขึ้นมาแล้วนะ ยอดภูกระดึง แต่ภาระกิจและเป้าหมายของเราจริงๆอยู่ที่ลานกางเต็นท์วังกวาง ซึ่งต้องเดินเท้าไปอีกกว่า 3 กิโลเมตร
ระยะทางจากหลังแปไปยังจุดต่างๆ ซึ่งเราต้องเินไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือ จุดกางเต็นท์ อีก 3,526 เมตร
ต้นไม้แห่งความทรงจำ เพราะเป็นจุดที่ต้องเดินผ่านทั้งไป และ กลับ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะถ่ายรูปกัน
วันนี้อากาศไม่ร้อน เดินสบายๆ ลมพัดเย็นๆ แต่แดดเมืองไทยยังคงแรงเหมือนเดิม
เดินมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวละครับ ขาอ่อนแรงเลย 555
และนี่คือที่พักของเราคืนนี้ครับ การจองเต็นท์สามารถจองล่วงหน้าได้ไม่เกิน 60 วันในเว็บไซต์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ https://nps.dnp.go.th
จุดรับสัมภาระจากลูกหาบ ซึ่งเราจะจ่ายเงินค่าจ้างหาบกันที่นี่ โดยลูกหาบจะเอากระเป๋ามาตั้งรวมกันไว้ ณ จุดนี้ หากเราไม่สามารถจำกระเป๋าของเราได้ให้สอบถามลูกหาบ โดยลูกหาบจะเช็คกับเลขแท็คกระเป๋าที่เราได้มา
เสร็จสิ้นภาระกิจส่วนตัว จัดกระเป๋า จัดของเข้าเต็นท์ ไม่รีรอช้าก็เดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก ระหว่างทางจะเจอกับต้นเมลเปิ้ลใบสีแดงสดใส
ระยะทางจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปผาหมากดูดทั้งหมด 2,037 เมตร
บรรยากาศสองข้างทางช่วงไปผาหมากดูก อากาศช่วงเย็นๆจะเริ่มหนาว
บนยอดภูกระดึงจะเป็นป่าสน หากมาในช่วงฤดูหนาว จะได้ฟีลบรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงในต่างประเทศ
ผาหมากดูก เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกในระหว่างเดือน พฤศจิกายน ถึง กุมภาพันธ์
บรรยากาศช่วงเดินกลับเต็นท์เอาขาไปพัก พร้อมลุยในวันพรุ่งนี้
ตรงบริเวณลานกางเต็นท์มีร้านอาหารให้บริการ ไม่ต้องกลัวอดเลยครับ 555
หมูกระทะ ของอร่อยที่ต้องกินบนภูกระดึง อากาศหนาวกับหมูกระทะร้อนๆช่างเข้ากันได้ดี
วันที่ 3 ดูพระอาทิตย์ขึ้น เดินป่าภูกระดึง
วันนี้ตื่นมาจั้งแต่เช้าตรู่ เจ้าหน้าที่อุทยานจะนำพาเราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น การไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นจะต้องให้เจ้าหน้าที่อุทยานนำทางไป เนื่องจากทางไปเราอาจจะเจอสัตว์ป่าที่จะทำร้ายเราได้ ระยะทางจากศุนย์บริการนักท่องเที่ยวถึงผานกแอ่นอยู่ที่ประมาณ 2 กิโลเมตร
ผานกแอ่น เป็นลานหินเล็กๆ มีสนขึ้นโดดเด่นริมหน้าผาต้นหนึ่ง เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามยิ่ง อากาศก็สดชื่นเย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา เห็นผานกเค้าได้ชัดเจน ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ จะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือนมีนาคม - เมษายน
ลานวัดพระแก้ว หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นแล้ว สามารถเดินไปลานวัดพระแก้วซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 500 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463 บริเวณลานหินที่กว้างขวางมีพรรณไม้ดอกพวกดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง ขึ้นอยู่ทั่วไป
หยาดน้ำค้างตอนเช้า และกาน้ำร้อนโบราณตามที่ป้าเจ้าของร้านได้บอกไว้ รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ผมก็เตรียมความพร้อมสำหรับการเดินในวันนี้ เพราะจะเดินอีกหลายกิโลเมตรเลยแหละ
จุดแวะแรก คือ น้ำตกวังกวาง เป็นน้ำตกอยู่ใกล้กับที่พักมากที่สุดในบรรดาน้ำตกบนภูกระดึง ระยะทางเพียง 750 เมตร จากจุดเริ่มต้นตรงบริเวณบ้านพัก ลักษณะน้ำตกเป็นผาหินสูง 7 เมตร แต่ครั้งนี้ที่มา น้ำน้อย เลยดูเหมือนลำธารมากกว่า 555
หากใครเดินทางนี้ต้องระวังช้างป่าด้วยนะครับ โดยเราจะเจอป้ายเตือนช้างป่าตามข้างทาง ช้างที่นี่จะออกหากินหลัง 15:00 น. เพราะฉะนั้นหลังเวลาบ่าย 3 ห้ามเดินมาทางนี้เด็ดขาด
เดินมาสักพักจะเจอป้ายบอกทาง เห็นระยะทางแล้วห้ามท้อ เฮ้อ....
ทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ เหมือนไหม??
แดดแรง แต่อากาศเย็นสบาย
หลักฐานชัดเจนที่น้องช้างฝากไว้ระหว่างทาง
อ้าแขนรับความสดชื่น หนทางยังอีกยาวไกล จุดมุ่งหมายของเราวันนี้คือ ผาหล่มสัก
เดินมาสักพักก็จะพบกับ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เกิดจากลำธารกว้าง อยู่ห่างจากน้ำตกวังกวางประมาณ 1.6 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่ไหลผ่านผาหินรูปโค้ง ด้วยความสูง 8 เมตร ลงสู่แอ่งน้ำด้านล่าง
ถ้ามาช่วงหน้าหนาวจะได้พบใบเมเปิ้ลในช่วงนี้ ใบเมลเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำ ทำให้น้ำตกแห่งนี้มีสีสันขึ้นมา
จากน้ำตกเพ็ญพบใหม่ ผมเดินต่อมุ่งหน้าไปที่จุดไฮไลท์อีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือน้ำตกถ้ำใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกับใบเมลเปิ้ลกัน ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อย และจะผ่านน้ำตกต่างๆ เช่น น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ เป็นต้น
และเราก็มาถึงน้ำตกถ้ำใหญ่ ซึ่งห่างจากน้ำตกเพ็ญพบประมาณ 1 กิโลเมตร ในเส้นทางนี้มีทางเดินบางช่วงที่เลียบข้างลำห้วยเล็กๆ มีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นระยะๆ หากช่วงหน้าหนาว เส้นทางนี้จะแดงฉานด้วยใบเมเปิ้ลที่ร่วงหล่นเกลื่อนพื้นป่า
ความสวยงามของน้ำตกถ้ำใหญ่จะแปลกตาด้วยโขดหินมหึมาวางทับซ้อนไม่เป็นระเบียบ ลำธารนี้ขนาบข้างด้วยต้นเมเปิ้ล ยามใบเมเปิ้ลแดงล่วงหล่น ขัดสีให้ลำธารหินเขียวสวยงามมีสีสันและมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก
ทุ่งหญ้าแห้ง ระหว่างทางน้ำตกถ้ำใหญ่ไปผาหล่มสัก
ผืนป่าบนยอดภูกระดึงส่วนใหญ่เป็นป่าสนสองใบ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย เหมือนยุคไดโนเสาร์ไหม 555
เดินมาสักพักก็จะถึงสระอโนดาต เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ที่แวดล้อมไปด้วยต้นสนสีเขียวขจีสะท้อนกับน้ำเป็นแนวที่สวยงาม
มาเจอป้ายระวังน้องช้างอีกแล้ว นักท่องเที่ยวห้ามเข้าบริเวณสระอโนดาตหลังเวลา 16:00-07:00 นะเพราะน้องช้างจะออกหากินช่วงเวลานี้
บรรยากาศอันสดชื่น แต่เมื่อยขามากๆ
ถึงสักที ผาหล่มสัก เดินเอาซะเมื่อยขาไปหมด
"ใจมันบอกว่าไหว แต่ขาบอก ไม่ไหวแล้ววว"
ผาหล่มสัก เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาให้ได้ เนื่องจากที่นี่กลายเป็นสัญลักษณ์ของภูกระดึงไปแล้ว เป็นอีกหนึ่งในจุดชมวิวชื่อดังภายในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ลักษณะของผาหล่มสัก เป็นลานหินกว้างและมีสนต้นหนึ่งขึ้นชิดริมผาใกล้กับชะง่อนหินที่ยื่นออกไปตรงหน้าผา ด้วยลักษณะแผ่นหินแปลกตากับโค้งกิ่งสนที่รองรับกันพอดิบพอดีเช่นนี้ นักท่องเที่ยวจึงนิยมจะใช้เป็นจุดชมวิว ดูดวงอาทิตย์ตกดิน บริเวณผาหล่มสักนี้มองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสลับซับซ้อนในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์
แต่ผมไม่ได้อยู่รอจนพระอาทิตย์ตก เนื่องจากต้องเดินทางกลับเต็นท์ ซึ่งมีระยะทางอีกประมาณ 9 กิโลเมตรเลยได้แค่เก็บบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ระหว่างทาง
จากผาหล่มสักไปลานกางเต็นท์เราจะผ่านหน้าผาต่างๆ เช่น ผาแดง ผาเหยียบเมฆ ผานาน้อย ผาหมากดูก เป็นต้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถเก็บรวบรวมภาพบรรยากาศหน้าผาเหล่านี้ได้เนื่องจากมืดค่ำเสียก่อน
ผมเดินถึงเต็นท์พักประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ เอาเป็นว่ามาถึง ขาถึงกับอ่อนแรงเลยทีเดียว ประกอบกับอากาศที่หนาวเหน็บจึงทำให้ความปวดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราเคยมาเที่ยวภูกระดึง เป็นหนึ่งในผู้พิชิตยอดภูกระดึงแห่งนี้
วันที่ 4 ความทรงจำ
วันนี้เป็นวันที่ต้องโบกมือลาภูกระดึง ผมตื่นแต่เช้า รับประทานอาหารเช้า ทำธุรส่วนตัว แล้วเก็บของใส่กระเป๋า เก็บเครื่องนอนต่างๆคืนให้กับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จากนั้นก็ไปจ้างลูกหาบอีกรอบ และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินลงจากภูกระดึง ระหว่างทางเราก็จะเจอกับนักท่องเที่ยวต่างๆที่ร่วมกันเดินลงพร้อมๆกัน ต่างคนมีสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอิ่มเอิบใจที่ผสมผสานไปกับความรู้สึกเหนื่อยล้าบ้างสลับกันไป แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือความภาคภูมิใจของทุกคนเมื่อลงมาถึงจุดเริ่มต้นของเราในวันแรก ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง(ศรีฐาน)
เก็บภาพรองเท้าที่ระลึกกับการเดินทั้ง 3 วัน (ขออภัยด้วยนะครับหากภาพไม่มีความเหมาะสม)
ผมนั่งรถสองแถวจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง มาลงที่เสงี่ยมฟาร์มเพื่อต่อรถสาย ขอนแก่น-เมืองเลย และลงที่ท่าอากาศยานเลย ขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพมหานคร
นับว่าเป็นการเดินทางที่ทรหดอดทนที่สุดในบรรดาการเดินทางท่องเที่ยวที่ผ่านมาในชีวิต ผมใช้ระยะทางทั้งสิ้น 3 วัน 2 คืน กับการเดินตั้งแต่วันแรกของการขึ้นภูกระดึง การเดินท่องเที่ยวบนยอดภูกระดึงและวันที่เดินลงจากภูกระดึง รวมระยะทางในการเดินกว่า 50 กิโลเมตร
ขอบคุณสำหรับการรับชมครับ แล้วเจอกันทริปต่อไปนะ
ข้อควรรู้ก่อนเที่ยวภูกระดึง
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จะเปิดเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น โดยจะเปิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 พฤษภาคมของทุกปี โดยจะเปิดให้ขึ้นภูกระดึงได้ในช่วงเวลา 07:00 น. -14:00 น. เพื่อให้นักท่องเที่ยว นักเดินทางทั้งหลายเดินทางไปถึงที่พักบนยอดภูกระดึงก่อนที่จะค่ำซะก่อน ซึ่งแต่ละช่วงจะมีบรรยากาศที่แตกต่างกัน
- เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปลายฤดูฝน น้ำตกบนภูกระดึงจะงดงามมากๆ เพราะมีปริมาณน้ำเยอะ ต้นไม้ต่างๆรวมถึงใบเมลเปิ้ลจะเขียวขจี
- เดือนธันวาคม-มกราคม อากาศหนาว ใบเมเปิลจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใส
- เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ช่วงดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง ท้องทุ่งบริเวณนี้ จะขาวไปด้วยกุหลาบขาวกลีบบาง บานเต็มท้องทุ่ง จะมีดอกเอื้องและกล้วยไม้ป่า พากันอวดโฉมให้นั่งท่องเที่ยวไ้รับชม
การเดินทางโดยเครื่องบิน
ปัจจุบันมีเที่ยวบินตรงมาเลยจากท่าอากาศยานดอนเมือง และ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
จากท่าอากาศยานดอนเมือง มี 2 สายการบินที่ให้บริการ ได้แก่ สายการบินแอร์เอเชีย และ นกแอร์
จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มี 1 สายการบินให้บริการ ได้แก่ สายการบินไทยสมายล์
สามารถดูรายละเอียดข้อมูลเที่ยวบินและสำรองที่นั่งได้ที่เว็บไซต์ของสายการบิน
แอร์เอเชีย https://www.airasia.com
นกแอร์ https://www.nokair.com
ไทยสมายล์ https://www.thaismileair.com
นั่งเครื่องบินมาลงสนามบินจังหวัดเลย รอรถฝั่งตรงข้ามสนามบิน หรือนั่งรถสองแถวจากสนามบินไปลงที่บขส.เลยแล้วนั่งรถทัวร์จากบขส.เมืองเลย มาลงเสงี่ยมฟาร์ม หรือลงที่ผานกเค้าแล้วต่อรถสองแถวเข้าตัวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
บขส. เลย ไป เสงี่ยมฟาร์ม ให้นั่งรถสาย ขอนแก่น-เมืองเลย
บขส.เลย ไป ผานกเค้า ให้นั่งรถสาย เลย-นครราชสีมา ของบริษัท นครชัยขนส่ง จำกัด
การเดินทางโดยรถทัวร์
รถทัวร์สายกรุงเทพ-เมืองเลย ลงรถที่ผานกเค้า หรือสถานีขนส่งอำเภอภูกระดึงแล้วต่อรถสองแถวเพื่อเดินทางไปยังที่ทำการอุทยาน มีบริษัทให้บริการได้แก่ บริษัท ขนส่งจำกัด แอร์เมืองเลย ภูกระดึงทัวร์ ขอนแก่นทัวร์ ศิขรินทร์ทัวร์ และชุมแพทัวร์
การเดินทางโดยรถส่วนตัว
- เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี เพชรบูรณ์ อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า ด่านซ้าย ภูเรือ และอำเภอเมืองเลย เลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 (เลย-ขอนแก่น) และเลี้ยวเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2019 เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
- ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี นครราชสีมา จนถึงจังหวัดขอนแก่นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูผาม่าน และตำบลผานกเค้า เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
- เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี อำเภอปากช่อง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 201 ผ่านจังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ จากนั้นใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี นครราชสีมา จนถึงจังหวัดขอนแก่นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูผาม่าน และตำบลผานกเค้า เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
- กางเกงขายาว กางเกงขายาวใส่สบายและไม่เป็นกางเกงยีนส์ ผ้าเบากันน้ำหรือแห้งง่ายก็จะดี
- เสื้อแขนยาว หรือ ปลอกแขน เพื่อป้องกันการขีดข่วน และป้องกันแมลงต่าง ๆ
- เสื้อกันหนาว อากาศบนภูกระดึงถือว่าค่อนข้างหนาว ต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อม
- รองเท้า ผ้าใบที่กันลื่นได้ และคล่องตัว ใส่สบายเหมาะกับการเดินเยอะๆ
- ถุงเท้าหรือถุงกันทาก เพื่อป้องกันทากไม่ให้มาเป็นอุปสรรค์การผจญภัยของเรา
- เต็นท์ ถุงนอน เครื่องนอนต่างๆ ที่จำเป็นและคิดว่าจะทำให้นอนสบายมากขึ้น แต่ทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงก็มีให้เช่าเหมือนกัน
- เสื้อกันฝน พกติดไปด้วยในกรณีที่อยู่ ๆ ฝนก็เทลงมา เทลงมา จะได้ไม่เศร้าเดินเที่ยวต่อได้
- รองเท้าแตะ เอาไปเปลี่ยนเวลาที่อยู่บนยอดแล้ว เดินเล่นชิล ๆ พักผ่อนเท้าสักนิดหลังจากเดินทางไกลขึ้นเขามา
- ไฟฉาย จำเป็นที่สุดในตอนกลางคืน
- พาวเวอร์แบงค์ เพื่อความสะดวกไม่ต้องตามหาปลั๊กให้วุ่นวาย
- ขวดน้ำดื่มส่วนตัว รักษาความสะอาด และสะดวกอีกด้วย ตรงลานกางเต็นท์มีตู้กดน้ำราคาถูกด้วย ประหยัดได้อีกนะเพราะน้ำดื่มบนยอดภูกระดึงราคาค่อนข้างสูง
- ยาประจำตัว หรือยาสามัญ ใครเป็นโรคประจำตัวก็ต้องพกไปด้วย
- สเปรย์กันแมลง ป้องกันแมลงกัดต่อย
ที่ตั้งและช่องทางการติดต่อ
- อุทยานแห่งชาติภูกระดึง หมู่ที่ 1 บ้านศรีฐาน ต.ศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย 42180
- โทรศัพท์ 0-4281-0833 หรือ 0-4281-0834
- E-mail: [email protected]
- เว็บไซต์ http://park.dnp.go.th
go see write เล่าเรื่องเที่ยว
วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 21.55 น.