คนอีสานมีความเชื่อและศรัทธาในพญานาคเป็นอย่างมาก พญานาคจึงพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยพบได้จากงานสถาปัตยกรรมในวัดวาอาราม ปราสาทขอมสำคัญๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วภาคอีสาน แต่ในรีวิวนี้ ผมจะพาเพื่อนๆ ไปสัมผัสกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นในเขตพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ และนครพนม โดยความมหัศจรรย์นี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากความบังเอิญหรือเป็นอิทธิฤทธิ์ในความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้สิ่งที่เราเห็นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติถูกเชื่อมโยงกับตำนานความเชื่อของชาวอีสานในเรื่องพญานาคได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ผมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจของทั้งสองจังหวัดนี้ มาให้เพื่อนๆ ได้รู้จักอีกด้วย ถ้าพร้อมแล้ว ตามผมไปเที่ยวกันครับ

ผมขอเปิดโปรแกรมที่วัดอาฮงศิลาวาส (พิกัด : https://goo.gl/maps/EQYxJgZ68sDt64mG7 ) ในเขตอำเภอเมืองบึงกาฬ เป็นที่แรกครับ

วัดอาฮงศิลาวาสตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณแก่งอาฮง แก่งน้ำขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นจุดที่มีแม่น้ำโขงความกว้างประมาณร้อยกว่าเมตรเองครับ เรียกได้ว่ามองเห็นฝั่งลาวอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ

ชาวบ้านเชื่อกันว่าบริเวณหน้าวัดเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง โดยมีความลึกถึง 200 เมตร ทำให้จุดนี้มีน้ำไหลเชี่ยววนจนเป็นหลุมรูปกรวย จึงเชื่อกันว่าที่นี่คือสะดือแม่น้ำโขง โดยในฤดูแล้ง ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เราจะสามารถมองเห็นแก่งอาฮงได้อย่างชัดเจนครับ

จากวัดอาฮงศิลาวาส ไปต่อกันที่หินสามวาฬครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/Jcetw4E6WouNQQ4u7 )

การขึ้นไปยังหินสามวาฬ เราจะต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 20 บาท และต้องเหมารถของท้องถิ่นขึ้นไปเที่ยวด้านบน ในราคาคันละ 500 บาท รถ 1 คัน นั่งได้ 10 คน (ถนนที่ขึ้นไปยังหินสามวาฬค่อนข้างแคบ จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขับรถขึ้นด้านบน) ผมมาเที่ยวที่หินสามวาฬรอบนี้นับเป็นรอบที่ 4 แล้ว โดยทุกๆ ครั้งผมจะมารอชมแสงแรกบนหินสามวาฬ แต่ครั้งนี้มาในช่วงสายๆ ครับ

โชเฟอร์พาแวะที่จุดแรกบริเวณ ลานธรรมภูสิงห์ หากสังเกตดีๆ หินด้านขวามือ มีลักษณะคล้ายสิงโตหมอบ นั่นแหล่ะ คือที่มาของคำว่า “ภูสิงห์” ครับ (ถ้าหากมาชมแสงเช้า เราจะแวะที่ลานธรรมภูสิงห์เป็นจุดหมายสุดท้าย)

จากนั้นตรงดิ่งขึ้นด้านบน เพื่อไปชมหินสามวาฬกันต่อครับ จากลานจอดรถด้านบน เราต้องเดินเท้าต่อกันอีกสักประมาณ 150 เมตร ก็มาถึงหินสามวาฬครับ มองมุมนี้อาจจะดูไม่ออกว่าเป็นสามวาฬตรงไหน จริงๆ ต้องมองภาพมุมสูง จะเห็นเป็นสามวาฬค่อนข้างชัดเจนครับ

ใครมีโดรน สามารถนำโดรนไปบินได้ โดยแสดงใบอนุญาตต่างๆ เช่น ใบขับขี่โดรน ใบรับรองการขึ้นทะเบียนโดรน พร้อมเสียค่าธรรมเนียมการขึ้นบิน 50 บาท แต่ถ้าใครไม่มี แล้วอยากได้ภาพมุมสูง ที่นี่มีบริการถ่ายภาพจากโดรนด้วย ราคาประมาณ 1,xxx บาท สามารถสอบถามตรงจุดชำระค่าธรรมเนียมเข้าชมได้เลยครับ

เมื่อมองมุมสูงแล้วจะเห็นหินก้อนมหึมา รูปร่างเรียวยาว ที่เขาว่ากันว่ามีอายุกว่า 75 ล้านปี วางเรียงตัวกัน 3 ก้อน ดูไม่ต่างอะไรกับครอบครัววาฬ พ่อ แม่ ลูก ที่ออกว่ายน้ำเคียงคู่กันไปอย่างอบอุ่นครับ

ถ้าใครมาพักค้างคืนที่บึงกาฬ ผมแนะนำให้เดินทางมาถึงหินสามวาฬกันแต่เช้า ให้ทันชมแสงแรกของวัน (ราวๆ 05.45 น.) บอกเลยว่าถ้าวันไหนอากาศเป็นใจ จะได้เห็นแสงสวยๆ อย่างแน่นอน และถ้าหากมาในช่วงหลังฝนตก หรือช่วงปลายฝนต้นหนาว ราวเดือนพฤศจิกายน อาจะได้เห็นหมอกสวยๆ ด้วยครับ

จากหินสามวาฬ คนขับรถพาย้อนกลับลงด้านล่าง ระหว่างทางลงผ่าน หินรูปช้าง คือไม่ต้องบอกว่าหินนี้ชื่อหินช้าง ผมว่ากว่าร้อยละ 80 ก็คงเดากันถูกอย่างแน่นอนครับ

ถัดจากหินช้าง เป็นประตูภูสิงห์ครับ ลักษณะเป็นหินใหญ่สองก้อนตั้งขนาบข้างกัน มีช่องคล้ายประตูหินขนาดใหญ่ จุดนี้หินด้านขวาผมจินตนาการเหมือนใบหน้าที่ปรากฏอยู่ที่นครธม ประเทศกัมพูชาครับ

และมาปิดท้ายโปรแกรมที่จุดชมวิวส้างร้อยบ่อ อ่านชื่อแล้วอาจจะฟังดูแปลกๆ คำว่า ส้าง หมายถึงหลุมหรือบ่อ ถึงแม้ว่าจุดชมวิวแห่งนี้จะเป็นลานหินขนาดเล็กริมหน้าผา แต่มันไม่ธรรมดาเหมือนลานหินทั่วไป เพราะลานหินแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมบ่อใหญ่เล็กเต็มไปหมด ส่วนหลุมบ่อจะใหญ่ขนาดไหน ลองเทียบกับตัวคนดูเอาเองนะครับ

จากหินสามวาฬ ไปต่อที่วัดป่าเมืองเหือง (พิกัด : https://goo.gl/maps/hLCdxn5tscmAEuWR7) วัดโบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ครับ

วัดป่าเมืองเหือง หรือชื่อเป็นทางการว่า วัดศรีบุญเรือง เป็นวัดเล็กๆ ที่ชาวบึงกาฬเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก สิ่งที่โดดเด่นของวัดแห่งนี้คือโบสถ์ที่มีการลงรักปิดทอง ที่ดูงดงามอร่ามตามากๆ ครับ โดยรอบมีรูปปั้นพญานาคครอบโบสถ์ ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของปู่ศรีสุทโธ และย่าปทุมมาให้ได้สักการะขอพรด้วย

ไฮไลท์ของวัดป่าเมืองเหือง คือองค์พระพุทธนาคนิมิตต์ ซึ่งมีพุทธลักษณะไม่เหมือนใคร หนึ่งเดียวในไทย เพราะองค์พระมีสีทองเฉพาะบริเวณพระพักตร์ ในขณะที่ทั้งองค์เป็นสีดำทั้งหมด ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า พระหน้าทอง โดยองค์พระประดิษฐานอยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง หันหน้าไปทางประเทศลาว

เชื่อกันว่าใครมากราบไหว้ขอพร มักสมหวัง สมปรารถนาทุกประการครับ

จากวัดป่าเมืองเหือง ไปต่อที่สะพานหินน้ำตกชะแนน (พิกัด : https://goo.gl/maps/3eG5bbNuyjzSNZv78 ) แห่งอำเภอเซกาครับ

เราสามารถชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของน้ำตกชะแนน ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ได้ง่ายที่สุด เพราะรถจอดถึง สายน้ำจากน้ำตกชะแนนจะมุดลอดแนวหินที่ทอดตัวเป็นแนวยาวคล้ายกับสะพาน หากใครมีกำลังและมีเวลา แนะนำให้เดินเท้า ราว 800 เมตร เข้าไปชมความงามของตัวน้ำตกชะแนน แต่ต้องติดต่อให้เจ้าหน้านำทางด้วยนะครับ การเดินเข้าไปชมน้ำตกค่อนข้างอันตราย เพราะหากแจ๊คพ๊อตแตก เราอาจจะได้วิ่งหนีช้างป่ากัน เพราะฉะนั้น ไม่ควรเดินเข้าไปที่ตัวน้ำตกโดยลำพัง เสียดายในวันที่ผมไป ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ ผมเลยได้ชมความสวยงามบริเวณสะพานหินเพียงเท่านั้นครับ

ไม่ไกลจากสะพานหินธรรมชาติ เป็นที่ตั้งของน้ำตกตาดนกเขียน (พิกัด : https://goo.gl/maps/woJZko2G1MHfcJyg8 ) ซึ่งเป็นน้ำตกที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัวเช่นกันครับ

เนื่องจากผมเดินทางในวันธรรมดา เลยไม่มีนักท่องเที่ยวรวมถึงเจ้าหน้าที่เลยสักคน เมื่อมาถึงลานจอดรถ ก็เห็นป้ายเตือนขนาดใหญ่ให้ระวังช้างป่า แต่จากที่ผมหาข้อมูลมา ระยะเดินเท้าเข้าไปชมตัวน้ำตกไม่ไกลนัก เลยตัดสินใจเดินเข้าไปในตัวน้ำตกเพียงลำพังครับ

น้ำตกตาดนกเขียนมี 4 ชั้น จากลานจอดรถ จะมองเห็นป้ายทางขวามือ บอกถึงทางเข้าไปยังน้ำตกชั้น 1 เราต้องเดินเท้าประมาณ 10 นาที เดินเข้าไป หูตาต้องไว ได้ยินเสียงผิดปกติเมื่อไรก็ต้องคอยหาต้นเสียงให้ดีๆ แอบใจเต้นระทึกอยู่บ้าง เลยต้องรีบสาวเท้าให้เร็วที่สุดครับ

มาถึงบริเวณชั้น 1 มีป้ายเขียนเตือนให้ระวังน้ำลึก พื้นที่ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ ขนาดจะยืนถ่ายภาพยังไม่สะดวกเลยครับ เพราะมีต้นไม้มาบดบังทัศนียภาพค่อนข้างเยอะ โดยส่วนตัวผมว่าน้ำตกชั้นที่ 1 สวยที่สุดครับ

จากชั้นที่ 1 ไปยังชั้นที่ 2 เราต้องเดินขึ้นเนินที่มีความลาดชันสักเล็กน้อย ระยะทางไม่ไกลนัก ประมาณ 100 เมตร บริเวณชั้น 2 นี้ เราสามารถเล่นน้ำได้ เพราะเป็นธารน้ำตื้นๆ ที่เตรียมจะทิ้งตัวลงสู่ชั้นที่ 1 แต่ถ้าในช่วงน้ำเยอะ อาจจะต้องเล่นน้ำให้ไกลจากหน้าผาครับ

จากชั้น 2 เราต้องเดินเท้าต่ออีกสักประมาณ 300 เมตร เส้นทางจะเรียกว่าเป็นทางราบก็ไม่ผิดนัก แต่โดยรวมแล้วเดินไม่ลำบากครับ น้ำตกที่ไหลจากชั้น 4 ลงมาชั้น 3 ไม่ได้สูงชันเหมือนน้ำตกชั้นที่ 1 แต่จะมีความลาดชันเพียง 45 องศา ทำให้สามารถเล่นสไลเดอร์ได้ครับ

จากชั้นที่ 3 จะขึ้นไปชั้นที่ 4 จะมีบันไดไม้ให้ไต่ขึ้นไป แต่ดูจากสภาพของบันไดที่ค่อนข้างผุกร่อน ผมไม่กล้าที่จะเสี่ยงเดินขึ้นไป เพราะเกรงว่าบันไดจะรับน้ำหนักตัวไม่ไหวครับ

ใครที่มาเที่ยวที่สะพานหินน้ำตกชะแนนแล้ว ผมไม่อยากให้พลาดมาเที่ยวที่น้ำตกตาดนกเขียนด้วย เพราะระยะทางไม่ไกลกันครับ

จากน้ำตกตาดนกเขียน ไปกันต่อที่วัดเจติยาคีรีวิหาร ในอำเภอศรีวิไล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ภูทอกครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/9N9fxTqrREjF5px49 )

วัดเจติยาคีรีวิหาร ตั้งอยู่ในตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2483 โดยพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ท่านได้มาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ภูวัว อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย คืนหนึ่งได้เกิดนิมิตขึ้น เห็นปราสาท 2 หลังที่มีลักษณะสวยงามอยู่ทางด้านภูทอกน้อย พระอาจารย์จึงได้เดินทางมาพิสูจน์ตามที่เกิดนิมิต แล้วก็ได้พบลักษณะภูมิประเทศที่สวยงาม ร่มรื่น เหมาะที่จะปฏิบัติธรรม ท่านจึงได้สำรวจและปักกรดอยู่ที่ถ้ำบนภูทอก กับพระครูศริธรรมวัฒน์ ต่อมาชาวบ้านเห็นพระอาจารย์จวนธุดงค์มาอยู่ที่ภูทอก จึงพร้อมใจกันอาราธนาให้สร้างวัดขึ้นที่ภูทอกครับ ปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นสถานที่จัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 ครับ

พระเอกของวัดนี้คือ ภูทอก ภูเขาลูกย่อมๆ ที่มีหน้าผาสูงชัน มีบันไดเรียงขึ้นตามชั้นต่างๆ 7 ชั้น จากฐานถึงยอด สูงประมาณ 460 เมตร เห็นว่าฐานชั้นที่ 6 หากวัดโดยรอบได้ความยาวถึง 800 เมตร หรือลู่วิ่งในสนามกีฬา 2 สนาม เอามาผูกต่อกันเลยครับ

ใครอยากจะขึ้นไปไหว้พระหรือชมวิวด้านบน ต้องอาศัยกำลังขาของแต่ละคนครับ ทางเดินส่วนใหญ่จะเป็นบันไดไม้ ช่วงแรกๆ ทั้งสูง ทั้งชัน แต่ระหว่างชั้นจะเป็นทางเดินไม้ในแนวราบครับ

ทางขึ้นทั้งสูงทั้งชัน ก็ว่าเสียวแล้ว เดินบนสะพานทางราบที่เลาะไปตามหน้าผา ก็เสียวไม่แพ้กัน ต้องนับถือฝีมือผู้สร้างสะพานลอยฟ้าจริงๆ ครับ

บนสะพานลอยฟ้า สามารถชมวิวได้โดยรอบเลยครับ อย่างจุดนี้มองเห็นเจดีย์พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ เจดีย์คอนกรีตเสริมเหล็กประดับด้วยหินอ่อน ที่สูงกว่า 31 เมตร และที่สำคัญเจดีย์องค์นี้มียอดเป็นทองคำแท้ทั้งหมดด้วยนะครับ

หากเดินขึ้นไปด้านบนแล้ว แนะนำว่าควรจะเดินหามุมนี้ให้เจอนะครับ ให้อารมณ์คล้ายๆ พระธาตุอินทร์แขวนที่พม่าเลยครับ

ผมใช้เวลาในการเดินขึ้น ลง และถ่ายภาพ รวมๆ แล้วประมาณชั่วโมงครึ่ง จากนั้นต้องรีบทำเวลากันหน่อย เพราะยังมีอีก 2 สถานที่ที่จะต้องไปครับ

ไปต่อที่น้ำตกเจ็ดสี ในอำเภอบุ่งคล้า ครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/Pn8VvYxJAkU2xUrb8 ) เส้นทางเข้าไปยังน้ำตกค่อนข้างแคบ ขับไปเรื่อยๆ จนสุดเส้นทาง จะเป็นลานหินธรรมชาติที่พอจะจอดรถได้สัก 10 คัน จากลานจอดรถเราต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ 800 เมตร เดินไปเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็ถึงครับ

จุดแรก น่าจะเป็นชั้นล่างสุด มีป้ายปักไว้ว่า “ธารเกล็ดแก้ว” เป็นธารน้ำที่มีน้ำไหลไปตามซอกหิน ระดับน้ำไม่ลึกนัก แต่!!! ลื่นดีนักแล ผมเผลอไปเหยียบตรงหินที่เป็นแอ่งน้ำ ล้มก้นกระแทก พยายามจะลุก แต่ก็ลุกไม่ขึ้น คือ ลุกแล้วลื่น ลุกแล้วลื่น จนต้องค่อยๆ คลานออกมาจากแอ่งน้ำ

จากธารเกล็ดแก้ว เดินต่อเพื่อจะไปยังอีกจุดหมายหนึ่ง ทางเดินเริ่มมีน้ำขัง ยังคงต้องระวังลื่นอยู่เช่นเคย ไม่นานนักก็มาถึงธารเกล็ดมณี ผมเดินสวนกับนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินกลับ เลยสอบถามไปว่า ต้องเดินอีกไกลไหม น้องๆ บอกว่าไม่ไกลแล้ว อีกนิดเดียวก็ถึง ผมเลยบอกเตือนน้องๆ ไปว่า ระวังลื่นด้วยนะ น้องๆ ตอบสวนมาทันควัน “ถ้าใครไม่ลื่นก็เรื่องแปลกแล้วค๊ะ” ผมมองกลับไปที่น้องๆ กลุ่มนั้น แต่ละคนแต่งตัวมาแบบสวยๆ กระโปรงทรงยาวสลวย นี่ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง กระโปรงคงโบกสะบัดล้อไปตามลม แต่ตอนนี้ มันเปียกโชกแถมมีสีเขียวๆ ของตะไคร้น้ำติดอยู่เต็ม

จากธารเกล็ดมณี เส้นทางเดินเริ่มรกขึ้นเล็กน้อย บางช่วงต้องเดินลุยน้ำเล็กๆ สักพักก็มาถึง “วังสองนาง” จุดนี้ ได้เห็นน้ำตกเป็นน้ำตก ไม่เหมือน 2 จุดแรกที่เป็นเพียงลำธาร ที่พื้นของวังสองนางเป็นลานหินค่อนข้างเรียบ มีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่เพียง 1 ก้อน ผมเห็นสภาพพื้น ที่มีแต่ตะไคร่น้ำเกาะแล้ว ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ จัดการเก็บกล้องเข้าเป้ แล้วสะพายเป้ไว้ที่หลังให้กระชับ แต่ความสามารถในการทรงตัวผมคงมีน้อย ก้าวเท้าเพียงแค่ 3 ก้าว ก็ล้มก้นจ้ำเบ้าไม่เป็นท่า แถมยังสไลด์ลื่นต่อไปอีก โชคดีที่เท้าไปยันหินก้อนใหญ่ไว้ได้ ไม่เช่นนั้นคงตกน้ำตกไปแล้วครับ

จุดนี้แทบไม่กล้ายืนเลย ต้องนั่งยองๆ แล้วใช้การกระดื๊บกระดื๊บเอา ค่อยๆ ประคองเอากล้องออกจากเป้ แล้วนั่งยองๆ ถ่ายภาพ จุดนี้เลยได้ภาพมาเพียงมุมเดียว

จริงๆ แล้ว จุดไฮไลท์ ที่เป็นชื่อของน้ำตกเจ็ดสี อยู่ในชั้นถัดไปนั่นเอง แต่เนื่องจากเวลาและสภาพร่างกายตอนนี้ ผมคงไม่สามารถไปต่อได้แล้ว เลยต้องตัดอกตัดใจ รีบจ้ำเท้ากลับไปยังลานจอดรถ ไอ้การที่เราค่อยๆ เดิน มันจะไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย แต่ไอ้การที่เรารีบจ้ำเท้าเพื่อทำเวลา มันทำให้ผมแทบจะล้มทั้งยืน ไม่ใช่จากการลื่นนะครับ แต่เหมือนความดันจะขึ้น 555

จากน้ำตกเจ็ดสี ผมมาปิดท้ายวันที่น้ำตกถ้ำพระ ในอำเภอเซกา (พิกัด : https://goo.gl/maps/8zTCEGRbbm2LhvFx5 ) ซึ่งเป็นน้ำตกที่ผมตั้งใจจะมาสัมผัสให้ได้ในทริปนี้ครับ

การจะเข้าไปชมน้ำตกถ้ำพระ เราจะต้องนั่งเรือเข้าไป ท่าเรือที่จะเข้าไปยังน้ำตกถ้ำพระจะมี 2 ท่าเรือนะครับ ท่าเรือที่ 1 คือท่าเรือที่ผมใช้บริการ มีลานจอดรถค่อนข้างกว้างขวางทีเดียวให้จอดรถฟรี และห้องน้ำฟรี แต่ถ้าหากขับเลยไปอีกนิดเดียว ก็จะเป็นท่าเรือที่ 2 ติดต่อซื้อตั๋วเรือให้เรียบร้อย ค่าบริการไปกลับ ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท เด็กคนละ 30 บาท เริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 น. เรือรอบสุดท้ายจากท่าเรือ เวลา 16.30 น. ส่วนเรือรอบสุดท้ายที่ออกจากน้ำตกถ้ำพระ เวลาไม่เกิน 17.00 น. ครับ

ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 5-10 นาที ก็ถือว่าไม่นาน เพราะสองข้างทางมีวิวให้ดูเพลินๆ

จากจุดจอดเรือ เราต้องเดินเท้ากันอีกสักนิด ช่วงแรกจะเป็นเนินลาดชันนิดหน่อย แวะชำระค่าบำรุงสถานที่กันก่อนคนละ 30 บาท จากนั้นเส้นทางเดินเท้าค่อนข้างเดินได้สบายเพราะเป็นเส้นทางราบ ยาวจนถึงตัวน้ำตกชั้นล่างสุดครับ

ชั้นล่างสุดค่อนข้างกว้าง แต่จุดนี้ยังไม่สามารถเล่นน้ำได้นะครับ ต้องเดินต่อเข้าไปอีกนิดหน่อย

น้ำตกถ้ำพระหรือน้ำตกถ้ำพระภูวัว อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว น้ำตกแห่งนี้จะมีน้ำเฉพาะช่วงฤดูฝนเท่านั้น โดยสายน้ำจะไหลอยู่บนภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ น้ำตกนี้เดินค่อนข้างง่าย ไม่ลื่นครับ

สิ่งที่เป็นที่นิยมชมชอบของนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เห็นจะเป็นการได้มาเล่นสไลด์เดอร์ธรรมชาติ สายน้ำของน้ำตกจะไหลผ่านร่องน้ำขนาดพอดีตัว ไหลลดคดเคี้ยว เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี จึงไม่แปลกใจเลยที่ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกันอย่างไม่ขาดสาย ขนาดผมมาวันธรรมดา ยังมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับคนในพื้นที่ เลยถามเขาถึงที่มาของคำว่า “ถ้ำพระ” ว่ามีถ้ำอยู่แถวนี้เหรอ เขาเลยชี้ให้ดูที่มาของ “ถ้ำพระ” ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ถ้ำ แต่เป็นช่องที่อยู่บนผาหิน ซึ่งถูกกัดเซาะเว้าเข้าไปจนคล้ายถ้ำตื้นๆ และได้มีการนำพระพุทธรูป 2 องค์ไปประดิษฐานอยู่ในช่องเว้านั่นเอง

จากชั้นล่างสุดเดินขึ้นเนินหินทรายกันด้วยระยะทางสั้นๆ ก็จะมาถึงน้ำตกชั้น 2 ชั้นนี้สวยงามมากครับ เห็นร่องน้ำคดเคี้ยวชัดเจน อาจเพราะช่วงนี้น้ำเยอะ เลยไม่เหมาะกับการเล่นสไลด์เดอร์ ณ จุดนี้ เพราะหลุดร่องน้ำนี้ลงไปความต่างระดับของน้ำตกชั้นล่างและชั้นสองค่อนข้างสูงพอสมควร

ผมจะเดินขึ้นไปบนชั้น 3 แต่มีป้ายห้ามขึ้น เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงฤดูน้ำหลาก แอบนึกเสียดายอยู่นิดๆ นี่ขนาดชั้น 2 ยังสวยงามขนาดนี้ ชั้น 3 คงสวยงามเป็นอย่างมากแน่ๆ

มองย้อนจากน้ำตกชั้น 2 ลงมา ก็ได้เจอวิวแบบนี้ครับ

หมดเวลากันไป 1 วันเต็มๆ ผมมุ่งหน้าไปยังบ้านฉันโฮมสเตย์ ในอำเภอบึงโขงหลง ซึ่งเป็นที่พักของผมในคืนนี้ครับ

บ้านฉันโฮมสเตย์ มี 2 สาขา นะครับ คืออยู่ในตัวตลาดบึงโขงหลง และอีกสาขาคือ บ้านฉันริเวอเทล (ห้องละ 1,200 บาท นอนได้ 2 คน) อยู่ติดบึงโขงหลงเลยครับ ซึ่งทั้งสองอยู่ห่างกันราว 1.4 กม. ครับ

ผมเลือกเข้าพักที่บ้านฉันโฮมสเตย์ ซึ่งอยู่ในตัวตลาดบึงโขงหลงครับ ภายในโฮมสเตย์กว้างขวาง สะอาด มีให้เลือก 2 ราคา คือห้องธรรมดา ใช้ห้องน้ำรวม คิดราคา 350 บาท/คน (ราคานี้สำหรับเข้าพัก 3 คนขึ้นไป ถ้าไม่ถึง 3 คน คิดหัวละ 500 บาท) ส่วนห้อง VIP จะเป็นห้องน้ำในตัว คิดราคา 400 บาท/คน (ราคานี้สำหรับเข้าพัก 2 คน) ทุกห้องเป็นห้องแอร์ทั้งหมด หรือถ้าจะเหมาหลังก็ได้ พักได้ 20 คน ราคา 7,000 บาท/หลัง ราคาดังกล่าวรวมอาหารเช้าแล้วครับ

เปิดประตูบ้านเข้าไป จะเป็นห้องอาหารครับ

ถัดจากห้องอาหาร จะเป็นห้องน้ำ บันไดเพื่อขึ้นไปยังชั้น 2 และเดินทะลุออกไปจะเป็นห้องครัว และห้องพักแบบ VIP ครับ

พื้นที่ครัว กว้างขวางเช่นกัน ส่วนห้องที่ติดครัว 2 ห้อง ทางด้านซ้ายมือ จะเป็นห้อง VIP ครับ

ขึ้นมาบนชั้น 2 บ้าง ชั้น 2 จะเป็นห้องพักแบบห้องน้ำรวม โดยแขกที่เข้าพักสามารถใช้ห้องน้ำชั้นบนหรือชั้นล่างก็ได้ ด้านบนอากาศค่อนข้างร้อนมากๆ อาจเพราะอยู่ใต้หลังคาครับ

ห้องที่ผมพักเป็นห้องที่สามารถพักได้ 3 คน แต่ก็สามารถเสริมเตียงได้อีก มีเครื่องปรับอากาศ ทีวี ผ้าเช็ดตัว และมีพัดลมเสริมให้ครับ

ห้องน้ำชั้นสองครับ

อาหารเช้า ให้บริการตั้งแต่เวลา 05.30 น. หรือถ้าใครต้องการก่อนเวลา สามารถแจ้งทางโฮมสเตย์ได้เลย แม่ครัวจะมาจัดเตรียมให้ในเวลา 05.00 น. อาหารเช้ามีให้เลือกหลายเมนู เช่น ไข่กระทะ ขนมปังเวียดนาม ข้าวต้มหมู ข้าวไข่เจียว และข้าวเปียกเส้น ที่สำคัญ มีกำลังทานแค่ไหน ทานได้ไม่อั้นครับ (แค่มื้อเช้าก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว)

แต่ถ้าใครไม่รีบออกเดินทาง ช่วงเวลาประมาณ 05.30 น. จะมีพระมาบิณฑบาตหน้าที่พักด้วย หากใครต้องการใส่บาตร สามารถให้ที่พักจัดเตรียมชุดใส่บาตรได้ ในราคาชุดละ 200 บาทครับ

เสียดายที่ผมมาถึงที่พักค่ำแล้ว แถมเช้ามาฝนตกแถมฟ้าก็ยังไม่สว่าง เลยไม่ได้เก็บบรรยากาศโดยรอบโฮมสเตย์ให้ชมกัน จริงๆ ด้านข้างห้องอาหาร ถ้าเปิดประตูกระจกออกไปจะเป็นลานกว้างพร้อมสวนหย่อม ให้แขกได้นั่งเล่นด้วย ส่วนทำเลที่ตั้งของโฮมสเตย์ ผมว่าดีทีเดียว เพราะหาร้านอาหารเพื่อทานมื้อเย็นได้สะดวกเลยครับ

โดยรวมแล้ว ผมประทับใจกับที่นี่ครับ ไว้มีโอกาสหน้า จะลองไปใช้บริการที่บ้านฉันริเวอเทลดูบ้าง เพราะดูรูปแล้ว ห้องพักน่าพักเลยทีเดียวครับ

ผมออกเดินทางจากโฮมสเตย์ราว 05.45 น. เพื่อเดินทางไปยังจุดเดินเท้าขึ้นถ้ำนาคา (พิกัด : https://goo.gl/maps/SGMmEuCuxExTXkaMA ) ระยะทางจากที่พักไปถึงจุดเดินขึ้นถ้ำนาคา ประมาณ 7 กม. เช้านี้ผมจะไปพิชิตถ้ำนาคาเป็นรอบที่ 2 ครับ

อุทยานแห่งชาติภูลังกา เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมถ้ำนาคาได้วันละ 1,000 คน โดยจะแบ่งเป็นการจองคิวผ่านแอป QueQ จำนวน 496 คน และ Walk in อีกจำนวน 504 คน ใครที่ตั้งใจจะมาขึ้นถ้ำนาคาโดยเฉพาะ ผมแนะนำให้จองคิวผ่านแอป QueQ ครับ รับรองว่าได้ขึ้นแน่นอน โดยแอปจะให้เราเลือกการขอรับบริการ เราก็เลือก “อุทยานแห่งชาติ” จากนั้นเลื่อนหา “อุทยานแห่งชาติภูลังกา” จากนั้นระบบจะแจ้งให้เรากรอกรายละเอียดต่างๆ บอกเลยว่าการเข้าไปจองคิวในแอปนั้นไม่ยากเย็นเลย เมื่อกรอกรายละเอียดเสร็จ ก็นั่งรอวันเดินทางได้เลยครับ สามารถจองคิวล่วงหน้าได้ก่อน 60 วัน สำหรับกรณี Walk in หากคิวในวันนั้นเต็มแล้ว จะต้องมา Walk in ในวันถัดไปแทนครับ

ถ้ำนาคาจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เริ่มเดินขึ้นตั้งแต่เวลา 06.00 – 14.00 น. และจะต้องลงมาถึงพื้นล่างภายในเวลา 18.00 น. โดยครั้งนี้ผมเลือกจองคิวขึ้นถ้ำนาคาตั้งแต่ช่วง 06.00-07.00 น. เมื่อถึงจุดตรวจ ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจองคิวผ่านแอปมา เจ้าหน้าที่ไม่ขอดูหลักฐานอะไรเลย อาจเป็นเพราะช่วงที่ผมไป นักท่องเที่ยวอาจไม่เยอะก็เป็นได้ เลยไม่เคร่งครัดอะไร (ครั้งแรกที่ผมมา จะต้องแสดงคิวที่จองผ่านแอป บัตรประชาชน (ต้องตรงกับชื่อที่ลงทะเบียนผ่านแอปเท่านั้น)) จากนั้นก็ชำระค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท และเสียค่าประกันชีวิตอีกคนละ 10 บาท หลังจากชำระค่าธรรมเนียมและประกันแล้ว เจ้าหน้าที่จะมอบตั๋วค่าธรรมเนียม และตั๋วประกัน ให้เก็บให้ดีๆ ครับ เพราะตั๋วค่าธรรมเนียมจะต้องนำไปแสดงตอนที่จะเดินลงถ้ำนาคา สำหรับตั๋วประกันชีวิต เราสามารถนำไปใช้ในสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของอุทยานแห่งชาติภูลังกา เช่น ถ้ำนาคี ได้อีก โดยตั๋วประกันชีวิต สามารถใช้ได้ภายใน 7 วันครับ)

ตรงข้ามกับจุดตรวจมีร้านอาหารให้ได้ทานรองท้องก่อนขึ้นด้วย หาอะไรทานและเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยนะครับ อีก 2 อย่างที่สำคัญคือ อย่าลืมติดน้ำขวด และถุงมือขึ้นไปด้วย ใครไม่มีถุงมือสามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าแถวนั้นเลย (ด้านบนถ้ำนาคามีห้องน้ำบริการ แต่ระหว่างเส้นทางไม่มีห้องน้ำบริการ)

บริเวณทางขึ้น จะมีบริการอาสานำเที่ยว แนะนำให้ใช้บริการนะครับ เพราะอาสาจะรู้เส้นทางเป็นอย่างดี และคอยดูแลเราตลอดเส้นทางเดินตั้งแต่ขึ้นจนส่งถึงพื้นล่าง มีทั้งน้ำดื่มเย็นๆ ยานวดคลายอาการตะคริว คอยพัดวีให้ตลอดทาง มีบริการลูกอมให้ชุ่มฉ่ำคอ สำหรับค่าบริการแล้วแต่เราจะให้ครับ

ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปถึงถ้ำนาคาประมาณ 2 กม.ใช้ระยะเวลาเดินขึ้นและลงประมาณ 4-5 ชั่วโมง ทางเดินเป็นทางเดินธรรมชาติ ประกอบด้วยบันไดเหล็กเป็นช่วง ๆ (บางช่วงก็ชันสุดๆ) สลับกับพื้นดิน บางจุดจะมีเชือกช่วยในการพยุงตัว ระหว่างเส้นทางเดินก็จะมีจุดพักไปตลอดทาง โดยมีป้ายตัวอักษร A B C จนถึง L ให้เราพอคาดการณ์ตำแหน่งได้ว่า เหลือระยะทางที่จะต้องเดินอีกนานแค่ไหครับ

ระหว่างเส้นทางจะมีหินที่มีลักษณะแปลกๆ ให้ชมไปตลอดทาง บ้างก็มีลักษณะคล้ายกับเศียรของพญานาค (เศียรบริวาร) อย่างจุดนี้เรียกว่าผาหน้าหนุมาน หน้าผาจะมีลักษณะคล้ายหน้าลิง

บันไดแดงในตำนาน

เดินกันเรื่อยๆ แบบไม่ต้องรีบ เหนื่อยก็พัก หมั่นจิบน้ำไปตลอดเส้นทาง ไม่กระหายน้ำก็ควรจิบนะครับ จุดสุดท้ายก่อนที่จะถึงยอด ขึ้นบันไดชันๆ แบบยาวๆ ไป แนะนำว่าอย่าหันหลังมอง เพราะมันจะเสียวมาก ขึ้นมาแล้วเห็นวิวแบบนี้แล้วหายเหนื่อยเลยครับ

แล้วความมุ่งมั่น ก็พาผมขึ้นมาถึงปากถ้ำนาคาครับ จากจุดนี้ไป ก็จะเข้าเขตของถ้ำนาคาแล้ว อาสาพาเที่ยวจะให้คำแนะนำก่อนที่จะเข้าไปในถ้ำนาคา สรุปคร่าวๆ ได้ว่าห้ามสัมผัส แตะต้อง ขีดเขียน เคาะ ทำลาย หินในถ้ำ ห้ามสูบบุหรี่ ก่อกองไฟ จุดธูปเทียนบูชา ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามนำอาหารเข้าไปทานครับ
การมาถ้ำนาคาของผมในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกเมื่อต้นปี เป็นช่วงฤดูแล้ง รอบนั้นได้เห็นริ้วรอยของผาหินที่เกิดปรากฎการณ์ sun crack ค่อนข้างชัดเจน ตอนนั้นก็คิดว่าสวยแล้ว แต่มารอบนี้ ได้มาในช่วงฤดูฝน กลับสวยกว่า ความแห้งแล้งที่เคยเห็นในครั้งนั้น กลับกลายเป็นความชุ่มฉ่ำ สบายตา มีพืชพรรณไม้ป่าหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นอยู่ตามผนังถ้ำ

บางส่วนที่ไม่มีพรรณไม้ขึ้น ยามต้องกับสายน้ำฝน กลับได้เห็นความมันวาวของหิน ประหนึ่งหินนั้นมีชีวิตขึ้นมา

ในบริเวณถ้ำนาคา จะมีจุดให้ไหว้ขอพรครับ

จุดนี้เป็นเกล็ดพญานาคที่ใหญ่ที่สุดครับ

การที่เราเห็นหินมีลักษณะคล้ายกับเกล็ดพญานาคนั้น ตามหลักทฤษฎีทางธรณีวิทยา หินเหล่านี้เกิดจากการกัดกร่อนของหินไปตามปรากฏการณ์ซันแครก (Sun Crack) ทำให้มีลักษณะคล้ายลำตัวของงูขนาดใหญ่ และมีลวดลายคล้ายเกล็ดงู ประกอบกับการโค้งตัวของหิน ทำให้หินมีรูปร่างคล้ายกับพญานาคหรืองูขนาดใหญ่กำลังขดตัวอยู่ (ตามความเชื่อ)

จากถ้ำนาคา เดินเท้าต่อสู่ถ้ำหลวงปู่วัง สามารถเข้าไปกราบไหว้ขอพรได้ครับ

ไม่ไกลจากถ้ำหลวงปู่วัง จะพบกับเศียรนาคาเศียรที่ 1 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการเที่ยวถ้ำนาคาครับ การมากราบไหว้หินพญานาคแต่ละจุดเราสามารถขอได้ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องโชคลาภ การงาน การเงิน ขอให้ธุรกิจราบรื่น แต่มีเรื่องเดียวที่จะไม่สามารถขอได้คือเรื่องความรัก ย้ำนะครับว่า “ให้ขอ” ห้ามบนบานครับ

อีกหนึ่งเศียรบริวารครับ

จริงๆ แล้วการมาถ้ำนาคาครั้งนี้ ผมตั้งใจจะไปชมความสวยงามของน้ำตกตาดวิมานทิพย์ด้วย ตั้งใจจะไปแช่สายน้ำตกให้เย็นฉ่ำหลังจากที่ลงจากถ้ำนาคา ซึ่งเส้นทางที่จะไปน้ำตกตาดวิมานทิพย์ จะแยกออกจากเส้นทางที่เดินขึ้น-ลงถ้ำนาคานั่นแหล่ะครับ แต่เนื่องจากเมื่อคืน ฝนตกหนักมาก ทำให้กระแสน้ำค่อนข้างแรง เจ้าหน้าที่เลยไม่อนุญาตให้เข้าไปในบริเวณน้ำตกตาดวิมานทิพย์ นึกแล้วยังเสียดายมาก คงต้องกลับมาล้างตาที่ถ้ำนาคาอีกเป็นครั้งที่ 3 ในเร็วๆ นี้

สำหรับผู้ที่จะขึ้นไปชมความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติบนภูลังกา ผมขอเน้นย้ำว่า
1. ทำการจองคิวผ่านแอป QueQ ถ้าคิววันที่จองไม่เต็ม รับรองว่าได้ขึ้นแน่นอน แต่ถ้าคิวเต็ม คงต้องไปวัดดวง Walk in หน้างานกันอีกทีครับ
2. เลือกขึ้นในช่วงเช้า เพราะนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะ อากาศจะไม่ร้อนมาก เวลาถ่ายรูปจะสะดวก
3. ทานอาหาร เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนเดินขึ้น อย่าลืมติดน้ำดื่ม ถุงมือ ยาดม ไปด้วย
4. ควรใช้บริการอาสานำเที่ยว
5. การขอพร ขอได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องความรัก และให้ “ขอ” ห้ามบนบานเด็ดขาด
6. ฟิตร่างกายมาบ้างก็จะดีครับ จะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป

จากนั้น ไปต่อกันที่วัดห้วยหินแหบ (พิกัด : https://goo.gl/maps/oydH9tKpGaUJR3YaA ) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถ้ำนาคามากนัก

วัดห้วยหินแหบ เป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ โดยที่วัดแห่งนี้มีอีกหนึ่งความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ กับก้อนหินที่มีรูปลักษณ์ทอดยาวอยู่ในซอกหิน แช่อยู่ในแอ่งน้ำ ดูคล้ายกับสัตว์เลื้อยคลานกำลังเล่นน้ำ ซึ่งหลายๆ คนนำมาผูกเรื่องกับพญานาคตามความเชื่อ จึงทำให้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาต่างมาขอพรกับหินพญานาคเล่นน้ำแห่งนี้ครับ

ผมเลือกมาปิดทริปบึงกาฬที่น้ำตกตาดกินรีครับ (https://goo.gl/maps/J6LHQ8FfF7yWRd7Q9 ) อีกหนึ่งน้ำตกที่ไม่ได้มีดีที่น้ำตก แต่มีสิ่งเด็ดๆ แฝงอยู่ในนั้น

น้ำตกตาดกินรี นับเป็นอีกน้ำตกสวยของบึงกาฬ การเข้าชมน้ำตกตาดกินรีนั้น สามารถเข้าชมฟรี แต่ถ้าใครที่ต้องการจะไปชมสิ่งเด็ดๆ ที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้น จะต้องใช้มีบริการอาสานำเที่ยวครับ ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามได้ที่เต้นท์ บริเวณลานจอดรถได้เลยครับ

อาสานำเที่ยว พามายังจุดแรก คือบริเวณวังนาคิน ปู่องค์ดำแสน ศิริจันทรานาคราช ชาวบ้านเชื่อกันว่าปู่องค์ดำนี้คือองค์แสนศิริจันทรานาคราช ซึ่งก็คือองค์พญานาคสีดำ เป็นพญานาคนักรบ ช่วยปัดเป่าคนไม่ดีและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย โดยวังนาคินมีลักษณะคล้ายกับพญานาคขดตัว หากมองขึ้นไปด้านบนจะเห็นเป็นเศียรของพญานาคด้วย ตรงจุดนี้สามารถกราบไหว้ขอพรต่างๆ ได้ครับ

จากวังนาคิน เดินเท้าต่อกันพอสมควรตามเส้นทางลาดชัน แต่ระดับความยาก ผมคิดว่าเพียง ¼ ของเส้นทางขึ้นถ้ำนาคาครับ จากจุดนี้ มองออกไปเห็นศาลากลางน้ำของวัดป่ากินรีครับ

น้ำตกตาดกินรีเป็นน้ำตกชั้นเล็กๆ ที่ไหลลดหลั่น ตามความสูงของชั้นหิน ทำให้สามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย แต่หินน้ำตกบางจุดค่อนข้างลื่น ต้องเดินด้วยความระมัดระวัง

บรรยากาศโดยรอบร่มครึ้ม น้ำไหลเย็น ทำให้ผมอดใจไม่ได้ที่จะแช่ตัวแบบไม่กลัวเปียก (ชุดเปลี่ยนก็ไม่ได้เอามา) หลังจากที่อกหักจากน้ำตกตาดวิมานทิพย์มา ปกติไปน้ำตกทีไร ผมจะทำเพียงแค่หามุมถ่ายภาพ แต่ที่นี่มันห้ามใจไม่ได้จริงๆ ครับ

เล่นน้ำอยู่ครู่ใหญ่ ก็ถึงเวลาออกเดินเท้ากันต่อเพื่อไปตามหาสิ่งที่ผมตั้งใจมาเพื่อสิ่งนี้ ระยะทางจากตัวน้ำตกไปยังจุดหมายที่ว่า ต้องออกแรงเดินกันอีกพอสมควร เรียกเสียงหอบและเหงื่อได้พอสมควรครับ

เดินมาอีกสักประมาณ 10 นาที ก็มาถึงจุดที่ผมดั้นด้นตามหา นั่นคือหินโลมา ที่กำลังลอยคอ รอคอยผมอยู่ในธารน้ำสายเล็กๆ ครับ

ผมเคยมาที่หินโลมาครั้งหนึ่งแล้วในช่วงต้นปี ตอนนั้นแทบไม่มีน้ำเลย ทำให้น้องโลมาดูเหี่ยวเฉา ไม่สดชื่น แต่มารอบนี้ น้องดูสดชื่น มีชีวิตชีวาแบบผิดหูผิดตาเลยครับ

เดินถัดขึ้นไปอีกชั้น ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหินโลมา ก็มีน้องอุ๋งอุ๋ง หินแมวน้ำ รอคอยการมาเยือนของผมอีกครั้งเช่นกัน

นับเป็นอีกหนึ่งน้ำตกในบึงกาฬที่ผมประทับใจมากๆ ถ้าให้เทียบกันระหว่างน้ำตกถ้ำพระและน้ำตกตาดกินรี ผมคงเกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง ตัดสินใจไม่ได้ว่าที่ไหนประทับใจมากกว่ากัน เพราะแต่ละน้ำตกก็มีจุดเด่นไม่เหมือนกันครับ

วันนี้ออกแรงกันมาทั้งวัน ถึงเวลาที่จะต้องพักร่างกาย ให้พร้อมที่จะลุยกันต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น จากน้ำตกตาดกินรี ผมมุ่งหน้าสู่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม เพื่อเข้าพักที่ ภูเงิน รีสอร์ท โดยภูเงิน รีสอร์ท อยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้กับปากทางเข้าถ้ำนาคีครับ

ที่เลือกเข้าพักที่ ภูเงินรีสอร์ท เพราะผมเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากถ้ำนาคี และอยู่ห่างจากตัวอำเภอบ้านแพงประมาณ 7 กม. ครับ ห้องพักจะเป็นหลังๆ มีพื้นที่สำหรับจอดรถให้พร้อมเลยครับ

ห้องพักถือว่าใช้ได้ครับ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกตามที่จำเป็น มีเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ทีวี กระติกน้ำร้อน เครื่องทำน้ำอุ่น มีชานระเบียงให้ได้นั่งเล่นด้วย ตอนเข้าไปในตัวรีสอร์ทก็แอบสงสัยว่าทำไมทางรีสอร์ทถึงวางตำแหน่งห้องพักแปลกๆ คือแต่ละห้องจะหันหลังให้กับพื้นที่ส่วนกลาง แล้วหันหน้าออกนอกรีสอร์ท แต่พอได้เข้าห้องแล้วถึงบางอ้อครับ เพราะแต่ละห้องเมื่อเปิดประตูห้องออกมาจะมองเห็นวิวท้องนา ที่มีฉากหลังเป็นภูลังกาครับ ราคาห้องพักตอน คืนละ 500 บาท แต่ถ้าหากเข้าพักหลังเวลา 16.00 น. จะคิดค่าห้องเพียง 400 บาทครับ

เมื่อวานก่อนที่ผมจะเข้าที่พัก ก็แวะหามื้อเย็นทานในตลาดบ้านแพง เลยถือโอกาสสอบถามร้านอาหารเช้าที่ขึ้นชื่อของบ้านแพง แม่ค้าแนะนำร้านเจ้เจียม บ้านดอน ครับ

เช้านี้ผมไม่พลาดที่จะมาฝากท้องไว้ที่ร้านเจ็เจียม บ้านดอน โดยจับพิกัด GPS ไปที่ บ้านดอนแซ่บ (ยายเจียม) GPS ก็พามุ่งหน้ามายังตัวเมืองบ้านแพง แล้วก็พาออกจากตัวเมืองไปพอสมควร ตอนนั้นชักเริ่มไม่แน่ใจแต่ผมก็ยังคงขับตาม GPS ไปเรื่อยๆ จน GPS ให้ขับรถเข้าไปในซอยเล็กๆ ดูห่างไกลจากตัวเมืองมากยิ่งขึ้น ยิ่งชักไม่แน่ใจ จน GPS ให้เลี้ยวเข้าไปในประตูบ้านหลังหนึ่ง ตอนนั้นต้องหยุดอยู่หน้าบ้านหลังปริศนา พยายามสอดส่องสายตาว่ามาผิดหรือเปล่าหว่า แต่ก็เห็นป้ายไวนิลที่ผูกติดอยู่ด้านหน้าบ้าน เลยลองขับเข้าไปพื้นที่บ้าน สรุปว่า GPS พามาถูกครับ

ร้านเจ๊เจียม บ้านดอน จะขายอาหารตามสั่ง แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ ทางร้านขายอาหารพื้นบ้าน กึ่งๆ เวียดนามด้วยครับ เมนูถือว่าหลากหลายเลย รสชาติดีด้วย ผมเลือกสั่งข้าวเปียกเส้น / ปากหม้อไข่ดาว / พิซซ่าปากหม้อ / ขนมเบื้อง และต้มเล้งครับ เมนูส่วนใหญ่ราคา 40 บาท ร้านเปิดตั้งแต่ 05.00-10.30 น. ครับ

หลังอาหารเช้า ผมมุ่งหน้าสู่ถ้ำนาคี ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติภูลังกา การเข้าชมถ้ำนาคี จะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าชม 20 บาท (ถ้าหากขึ้นถ้ำนาคา และ ถ้ำนาคี ในวันเดียวกัน ก็เสียค่าธรรมเนียมเพียงครั้งเดียว) และจะต้องเสียค่าประกันชีวิตอีก 10 บาท แต่ถ้าใครเก็บบัตรประกันชีวิตที่ซื้อจากถ้ำนาคาไว้ ก็ไม่ต้องเสียค่าประกันแล้ว (ประกันชีวิตคุ้มครอง 7 วัน)

การขึ้นถ้ำนาคี สามารถ Walk in ได้เลย และเวลาที่จะขึ้นชมถ้ำนาคี ก็จะต้องใช้อาสานำเที่ยวเช่นเดียวกันกับถ้ำนาคา โดยค่าบริการแล้วแต่เราจะให้ครับ

ถ้าเปรียบถ้ำนาคาเป็นราชาแห่งพญานาค ก็คงต้องยกให้ถ้ำนาคีเป็นราชินีของพญานาคด้วย เพราะความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า Sun Crack ของทั้งสองแห่งแทบไม่ต่างกันเลย เพียงแต่กระแสของถ้ำนาคานั้นดังกว่าถ้ำนาคีมากมาย เอาจริงๆ ทั้งถ้ำนาคาและถ้ำนาคี ก็อยู่บนแนวเขาเดียวกันนั่นคือภูลังกา แต่บอกเลยว่าถึงแม้ระยะการเดินเท้าของถ้ำนาคาและถ้ำนาคีจะใกล้เคียงกัน แต่เส้นทางการเดินขึ้นไปเที่ยวที่ถ้ำนาคีนั้นสะดวกและเดินขึ้นง่ายกว่าถ้ำนาคามากเลย เส้นทางราว 1,500 เมตร จะเป็นเส้นทางค่อนข้างราบ และลาดยางอย่างดี และจะต้องปีนป่ายเพียง 300 เมตรเท่านั้น ถ้าจะให้ผมให้คะแนนความยากง่าย ผมว่า 1 ใน 4 ของถ้ำนาคาครับ จริงๆ แล้ว เราสามารถเดินเท้าจากถ้ำนาคีแล้วไปลงทางถ้ำนาคาก็ได้นะครับ

ถ้ามาเที่ยวในช่วงฤดูฝน เมื่อเราเดินมาตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติได้สักพัก ก็จะพบกับน้ำตกผาสวรรค์ (น้ำตกตาดโพธิ์ชั้นที่ 2) อยู่ทางขวามือ สายน้ำตกจะทิ้งตัวลงหน้าผาในแนวตั้งฉาก ดูพลิ้วไหวเหมือนม่านน้ำเลยครับ

จากน้ำตกผาสวรรค์ เราเดินเท้าต่อกันอีกอึดใจหนึ่ง ก็จะมาถึงน้ำตกไทรงาม (น้ำตกตาดโพธิ์ชั้นที่ 3) จากจุดนี้หากมองไปด้านหลังน้ำตกชั้น 3 เราจะมองเห็นน้ำตกชั้นที่ 4 ได้ในระยะไกลครับ

ต่อจากนี้เส้นทางจากน้ำตกไทรงามเพื่อขึ้นไปยังถ้ำนาคี ก็จะเป็นเส้นทางเดินเท้าแบบเดิมๆ แล้ว คล้ายๆ กับเส้นทางของถ้ำนาคา แต่ความโหดเทียบกันไม่ได้เลยครับ ตรงจุดนี้จะมีห้องน้ำบริการ แนะนำให้จัดการให้เสร็จนะครับ เพราะต่อจากนี้เส้นทางจะไม่มีห้องน้ำแล้ว

เราเดินขึ้นกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงน้ำตกผางอย (น้ำตกตาดโพธิ์ชั้นที่ 4) จากจุดนี้ถ้าหากเราแหงนคอตั้งบ่า ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกผางอยได้แบบเต็มตาครับ จากจุดนี้ไป เราก็จะได้เริ่มเห็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่มีรูปลักษณ์คล้ายๆ กับเศียรพญานาคไปตลอดเส้นทางเดินเท้าแล้วครับ

แล้วก็มาถึงเศียรที่ 9 เศียรที่ถูกค้นพบเป็นเศียรแรก และผมคิดว่าเป็นเศียรที่มีลักษณะคล้ายกับพญานาคมากที่สุดในบรรดาเศียรทั้งหมดในถ้ำนาคีครับ มองเห็นหงอนพญานาคชัดเจน เหตุที่เศียรนี้เรียกว่าเศียรที่ 9 เพราะเลข 9 ถือเป็นเลขมงคล มีความเจริญก้าวหน้า แต่เศียรถัดไปจากเศียรที่ 9 ก็จะนับเป็นเศียรที่ 1,2, 3 ไปตามลำดับครับ บริเวณเศียรที่ 9 นี้ นักท่องเที่ยวนิยมมาสัมผัส และไหว้ขอพร เชื่อกันว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จครับ

จากเศียรที่ 9 เราจะมุดๆๆ ใต้ถ้ำ แล้วจะมาพบกับเศียรที่ 1 ลักษณะคล้ายหัวงูปักลง ติดกับเศียรที่ 1 เป็นเศียรที่ 7 อยู่บริเวณปากถ้ำ เราต้องมุดตัวเข้าไปตรงเศียรที่ 7 เพื่อเดินเท้ากันต่อครับ

แล้วเราก็มาถึงถ้ำนาคีครับ ตรงปากถ้ำเราจะมองเห็นเถาวัลย์พันขดคล้ายกับงู

เชื่อกันว่าถ้ำนาคี เป็นที่อยู่ของแม่ย่านาคี และหากมองลึกเข้าไปจะเป็นทางขึ้นลงของเมืองบาดาล จุดนี้นักท่องเที่ยวจะมาไหว้ขอพรกันครับ บริเวณถ้ำนาคียังมีเศียรที่ 2 อยู่ด้วยครับ

เดินออกจากถ้ำนาคีนิดเดียว ก็จะพบกับเศียรที่ 5 ครับ รูปทรงอาจจะยังไม่ค่อยเหมือนเท่าไร แต่ความเป็นเกล็ดนี่เห็นชัดเจนครับ

ใกล้กันเราจะพบลำตัวของเศียรที่ 3 ซึ่งจะมีรอยคล้ายตะไคร่น้ำ เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธฉาย คือมีรอยคล้ายกับพระยืนอยู่บนหัวพญานาค นอกจากนั้นด้านข้างของภาพเขียนสี จะมีเศียรที่ 6 อยู่ครับ

จุดนี้เรียกว่าท้องพญานาคครับ

เดินเลาะขึ้นมาเรื่อยๆ จะมาพบกับเศียรที่ 3 เศียรที่ 3 จะวางอยู่บนลำตัว ที่เห็นเกล็ดชัดเจนครับ

จากเศียรที่ 3 เดินต่อเรื่อยๆ จะมาโผล่ที่ผานาคี ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองวิวทางฝั่งลาวได้ในระยะไกล และยังมองเห็นน้ำตกผางอยอีกมุมมองหนึ่งครับ

จากผานาคี เดินกันต่อตามเส้นทางลง จะมาเจอกับหินใหญ่ก้อนหนึ่ง (ก้อนหินตรงกลางภาพ อยู่ด้านหลังเถาวัลย์) ผมมองดูคล้ายกับหัวใจขนาดใหญ่ ที่แทรกตัวอยู่ระหว่างหน้าผาและชะง่อนหินครับ

เดินถัดลงมาอีกนิดเดียว จะเห็นหินมีความเป็นเกล็ดค่อนข้างชัดเจน

บางจุดลวดลายของหินมีทั้งเป็นเกล็ดและเป็นริ้วรอยเหมือนการเคลื่อนตัวของพญานาคครับ

เดินตามทางลงมาเรื่อยๆ จะมาพบกับเศียรที่ 4 ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ใหญ่แค่ไหนลองเทียบกับตัวผมดูครับ ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าเศียรที่เหมือนพญานาคที่สุดคือเศียรที่ 9 รองลงมาก็คือเศียรที่ 4 นี่แหล่ะครับ เศียรนี้ดูอีกทีก็เหมือนหัวงูจงอางเหมือนกันครับ

เดินถัดลงมาจากเศียรที่ 4 จะมาพบกับหินรูปทรงประหลาด จุดนี้เรียกว่าหินพญาครุฑ แต่ผมมองเห็นเป็นเลข 8 มากกว่าครับ

การเที่ยวถ้ำนาคี ผมว่าช่วงฤดูฝนสวยสุดแล้ว เพราะตามหินต่างๆ จะถูกฉาบด้วยมอส ประดับหิน กล้วยไม้ต่างๆ อยู่เต็มไปหมด

ผมใช้เวลาเดินขึ้น-ลง และถ่ายภาพในถ้ำนาคี ราวๆ 4 ชั่วโมงครับ เมื่อเดินกลับมาถึงที่ทำการอุทยานแล้ว หากใครยังพอมีแรงเหลือ ผมแนะนำให้กัดฟันเดินเท้าต่ออีกราว 100 เมตร เส้นทางเดินง่าย ตามทางราบๆ เพื่อไปชมความสวยงามของน้ำตกตาดโพธิ์ ซึ่งเป็นน้ำตกชั้นที่ 1 น้ำตกสวยดีครับ สามารถเล่นน้ำได้ด้วย จริงๆ แล้วน้ำตกตาดโพธิ์มีทั้งหมด 7 ชั้น ส่วนถ้ำนาคีจะอยู่เหนือน้ำตกชั้นที่ 4 ครับ ในแต่ละชั้นของน้ำตกตาดโพธิ์ก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น ชั้น 1 ชื่อน้ำตกตาดโพธิ์ ชั้น 2 ชื่อน้ำตกผาสวรรค์ ชั้น 3 ชื่อ น้ำตกไทรงาม ชั้น 4 ชื่อ น้ำตกผางอย แต่โดยรวมแล้วจะเรียกน้ำตกทั้งสายว่าน้ำตกตาดโพธิ์ครับ

ก่อนปิดทริป ผมแวะมาชมน้ำตกตาดขาม ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำนาคาประมาณ 5 กม. น้ำตกตาดขามอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติภูลังกาเช่นเดียวกับถ้ำนาคี น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกชั้นเล็กๆ โดยมีต้นน้ำมาจากเทือกเขาภูลังกา นักท่องเที่ยวและชาวนครพนมนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ พาลูกพาหลานมาเล่นน้ำที่น้ำตกตาดขามกันไม่ขาดสายเลยครับ

สำหรับใครที่ต้องการมาสัมผัสบึงกาฬ และนครพนม ในเส้นทางแห่งศรัทธาอย่างนี้ ผมแนะนำให้เลือกมาเที่ยวในช่วงฤดูฝน แต่การมาเที่ยวในช่วงฤดูฝนอาจต้องทำใจเผื่อไว้บ้างนะครับ เพราะอาจจะเอาแน่เอานอนกับสภาพอากาศไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากวางแผนเดินทางดีๆ มีแผนสำรองไว้ด้วย รับรองได้ว่าเพื่อนๆ จะเที่ยวบึงกาฬและนครพนมแบบครบทุกรสชาติเลยครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 13.08 น.

ความคิดเห็น