สวัสดีครับเพื่อน ๆ พันทิปทุกคน... กลับมาอีกครั้งสำหรับกระผมที่จะพาเพื่อน ๆ สู่การเดินทางอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ประทับใจกับจุดหมายปลายทางที่เลือกไป โดยครั้งนี้มุ่งหน้าสู่ ประเทศลาวเพื่อนบ้านที่น่ารักของเรา โดยมีจุดมุ่งหมายคือ เวียงจันทน์ และวังเวียง.. และสำหรับเพื่อน ๆ ที่ยังไม่เคยเดินทางไปมาก่อนผมขอนำภาพอัลบั้มนี้มาแบ่งปันให้ชมกันเผื่อใครอยากออกเดินทางไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านเราบ้าง
.. หรือหากใครเคยไปมาแล้วก็คิดซะว่าดูภาพที่ผมเก็บกลับมาฝาก ดูชมกันเล่น ๆ แล้วกัับ ..



...และอย่างที่บอกไปคือเป็นการเดินทางไปสองที่หลัก ๆ ของประเทศเพื่อนบ้านเรา ผมจึงขอแยกเป็น 2 อัลบั้ม โดยอัลบั้มนี้จะนำเสนอในภาพของสถานที่ท่องเที่ยวจุดสำคัญต่าง ๆ ภายในนครเวียงจันทน์เท่าที่ได้เดินทางไปมา และอีกอัลบั้มที่ติดต่อกันคืออัลบั้มภาพ วังเวียง หนึ่งในสถานที่ในฝันของใครหลาย ๆ คน ทั้งที่เคยเดินทางไปแล้ว และกำลังตัดสินใจจะไป ...



...ภาพส่วนใหญ่ของผมจะเน้นสถานที่ท่องเที่ยวเป็นหลัก บวกด้วยข้อมูลท่องเที่ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มากมายอ่านแล้วตาลายจนเกินไป แต่ก็อมีสาระให้ได้ซึมซับกันบ้างผ่านภาพถ่าย และมุมมองของผม และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราออกเดินทางไปพร้อมกันเลยครับ



- ฟ้าสวยที่เวียงจันทน์ .. ตกหลุมรักที่วังเวียง ..(#2 ภาคตกหลุมรัก) http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E13113590/E13113590.html

...หลังจากที่สายการบินบางกอกแอร์เวย์สได้เปิดเส้นทางการบินใหม่ กรุงเทพฯ เวียงจันทน์ เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความอยากลองของใหม่และเห็นว่าใกล้บ้านเรา จึงตัดสินใจขอประเดิมใช้บริการสายการบินนี้ดูสักหน่อย...



...โดยเริ่มต้นกันที่สนามบินสุวรรณภูมิหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจต่าง ๆ โหลดของ เช็คตั๋ว เรียบร้อยก็มุ่งหน้าสู่เลานจ์ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เส้นทางเดินเดินได้เพลิน ๆ เลยครับ หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายนั่นนิดนี่หน่อย พอเก็บบรรยากาศภายในสนามบินเล็กน้อย



...ในภาพช่วงเช้าประมาณเกือบ ๆ 7 โมง คนก็ขวักไขว่กัน โดยไฟลท์นี้เครื่องออก 8.15

...เดินเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงเลานจ์ของบางกอกแอร์เวย์สเป็นที่เรียบร้อย สิ่งแรกที่ปฏิบัติเมื่อมาถึงคือมุ่งหน้าไปยัง ข้าวต้มมัด ที่ร่ำลือกันว่าอร่อย และแล้วก็จริงตามที่ได้ยินมาจัดไปเบาะ ๆ เบา ๆ ที่ 4 ชิ้น ... เพราะนอกจากข้าวต้มมัดก็ยังมีเมนูอื่น ๆ ให้เลือกอีกหลายอย่าง



...ในภาพนี้จะเป็นส่วนของลูกค้าทั่วไปที่มาพักคอยขึ้นเครื่องกัน

...และด้วยความอยู่ไม่สุข บนพื้นที่ข้าง ๆ กันของเลานจ์จะแยกเป็นสำหรับลูกค้า Business Class ภาพนี้ก็ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เดินมาถ่ายภาพเก็บไว้สักหน่อย ซึ่งโดยรวมแล้วพื้นที่ทางโซน BC นี้จะเล็กกว่าโซนลูกค้าทั่วไป และการตกแต่งก็แตกต่างกันด้วย โดยจะดูเรียบ ๆ ง่าย ๆ สบายตาผมมาก


...นั่งเล่นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้นหลังจากขึ้นรถรับ และมาส่งต่อเพื่อเตรียมขึ้นเครื่อง



...ภาพนี้ท้องฟ้ายามสายกำลังสวยเลย แต่ไม่มีเวลาประดิษฐ์ประดอยมุมอะไรมาก ... เพราะผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางไปด้วยนั้นเยอะเหลือเกิน

...ขึ้นเครื่องได้สักพักทางบางกอกแอร์ก็มีวิดีโอให้ดูระหว่างอยู่บนเครื่อง ดูบ้างไม่ได้ดูบ้างเพราะสายตาก็คอยมองไปนอกหน้าต่าง ชื่นชมความสวยงามทัศนียภาพบ้านเราจากบนท้องฟ้าที่นาน ๆ ถึงจะได้เห็นสักครั้ง



...มาติดใจก็ภาพล่างขวาน่าสนใจมากว่าคือที่ไหนในบ้านเรา ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบแต่เห็นแนวผาสูงจากมุมนี้แล้วสวยไม่น้อย .. โดยผมยังคงแนวคิดเวลาขึ้นเครื่องทุกครั้งว่านั่งริมหน้าต่างย่อมได้ภาพสวย ๆ เสมอ .. นี่ก็คืออีกครั้งหนึ่ง

...ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็ลัดขอบฟ้าข้ามลำน้ำโขงสู่ สนามบินวัดไต นครเวียงจันทน์โดวัสดิภาพ พร้อมออกเดินทางสู่จุดมุ่งหมายแรกที่จะเดินทางไปก็คือ วัดสีเมือง วัดที่มีผู้คนให้ความสนใจมากวัดหนึ่งในนครเวียงจันทน์


...แต่ก่อนจะออกเดินทางไปยังวัดสีเมือง ขอเก็บภาพโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ได้ผ่าน จึงแวะหยุดถ่ายภาพน้อง ๆ ตัวน้อย ๆ สักหน่อย กำลังทำความสะอาดลานโรงเรียนบ้าง ส่วนที่ปั่นจักรยานเล่นไม่สนใจอะไรก็ดูสนุกสนานกันเหลือเกิน


...ดวงตาแววตาความสุขของเด็กน้อยเป็นอะไรที่ไร้เดียงสาเสมอ ไม่เว้นจะชาติไหน ๆ ลองได้เป็นเด็ก ความสดใส ความร่าเริง ความสุข หรืออื่น ๆ แม้กระทั่งเราที่เคยผ่านพ้นวัยเยาว์มาแล้ว บางทีก็ยังหลงลืมไปว่าตอนเราเป็นเด็กนั้นมีความสุขแค่ไหนที่ได้ขนมสักชิ้น หรือแค่ได้เล่นอะไรที่เราชอบ


...และแล้วก็เดินทางมาถึง วัดสีเมือง ราว ๆ 10 โมงครึ่งโดยประมาณ ..



...วัดสีเมืองเป็นวัดที่ชาวลาวให้ความเคารพนับถือกันเป็นอย่างมาก และนับได้ว่าเป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของนครเวียงจันทน์

...ที่วัดสีเมืองเดิมเคยเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองของนครเวียงจันทน์ และชาวเวียงจันทน์ส่วนมากก็มักจะมาบนบานเพื่อขอสิ่งที่ปรารถนา


...และไม่ใช่เพียงแค่ชาวลาวเท่านั้นที่มานมัสการเจ้าแม่สีเมือง แต่สำหรับชาวต่างชาติที่เดินทางมาก็นิยมไปสักการบูชา กราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลด้วย



...โดยผู้มาเยือนมักจะเสี่ยงทายดวงชะตา ตามตำนานเล่าต่อ ๆ กันมาที่ว่าขออะไรก็มักจะสมหวังดังปรารถนา ยกเว้นแต่เพียงเรื่องความรักเท่านั้น

...ทิ้งท้ายสำหรับวัดสีเมืองที่ภาพนี้ ช่วงสาย ๆ ท้องฟ้าสีฟ้าสวยงามรองรับตัววัดสีเหลืองทอง



...ผมใช้เวลากราบไหว้สักการะได้สักพักละจึงเดินออกมาถ่ายภาพตามมุมต่าง ๆ บนพื้นที่ของวัดที่มีขนาดไม่กว้างใหญ่มากนัก แต่หนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวลาวที่ินทางมากราบไหว้กันอยู่สม่ำเสมอ จากนั้นจึงออกเดินทางต่อไปยัง หอพระแก้ว...

...หอพระแก้ว คือสถานที่ที่เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต ซึ่งปัจจุบันอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ แต่คงเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐานเท่านั้น เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันได้รับการอัญเชิญไปประทับที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี


...ภายในตัวหอพระแก้วจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ ส่วนบริเวณภายนอกรอบตัววัดจะยังสามารถเดินถ่ายภาพได้อยู่ ... ซึ่งภายในทางเดินเข้าสักการะจะอยู่ด้านหลังของประตูฝั่งนี้


...ไม่ต่างอะไรกับวัดวาต่าง ๆ หอพระแก้วก็เช่นกันที่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางมาชื่นชมความสวยงามของหอพระแก้ว แม้ว่าในปัจจุบันที่นี่จะไม่ใช่วัดอีกต่อไปแตักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาก็ยังนิยมมาสักการะบูชากันอยู่เป็นจำนวนมาก



...นอกจากนี้บริเวณโดยรอบของหอพระแก้วยังมีการจัดวางตำแหน่งปลูกต้นไม้ วางสนามหญ้าออกแไว้อย่างสวยงาม และหากใครที่เดินทางมาหอพระแก้วแล้วก็ต้องไม่พลาดกับสถานที่ต่อไปที่อยู่ใกล้กันอันได้แก่ วัดสีสะเกด

...จากหอพระแก้วแค่เพียงเดินข้ามถนนไปก็จะพบกับ วัดสีสะเกด หรือ เรียกอีกชื่อว่า วัดสะตะสะหัสสาราม เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ (เพิ่มเติมให้นิดกับคำว่า สตสหัสส แปลว่า 100,000 / อาราม แปลว่า วัด, วัดสตสหัสสาราม จึงแปลรวมได้ว่า วัดแสน)


...เหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัดเป็นจำนวน 100,000 องค์ แม้ปัจจุบันจะมีเหลืออยู่ไม่ถึงหมื่นองค์ แต่อย่างไรก็ตาม วัดนี้ก็มียังนับว่ามีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์


...บรรยากาศภายในวัดจะมีตัววิหารที่ให้นักท่องเที่ยวกราบไหว้บูชา และเช่นกันกับหอพระแก้วคือภายในนั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวก็ยังมีให้พบเห็นอยู่เรื่อย ๆ



...ใช้เวลาสักการะกราบไหว้ด้านใน และออกเดินรอบ ๆ ถ่ายภาพบรรยากาศต่าง ๆ ได้สักพักก็ถึงเวลาออกจากที่นี่เพื่อหาร้านอาหารนั่งกินเติมพลังงานกันต่อไป

...บรรยากาศท้องถนนหนทางบริเวณหน้าหอพระแก้ว และวัดสีสะเกด


...เมื่อเดินทางมาถึงเวียงจันทน์ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอยู่อีกหลายแห่ง และหนึ่งในนั้นคือ พรธาตุหลวง

ซึ่งนับเป็นปูชนียสถานอันสำคัญของนครหลวงเวียงจันทน์ และมากไปกว่านั้นยังเป็นเสมือนศูนย์รวมใจของชาวลาวทั่วประเทศด้วยเช่นกัน


...วันที่เดินทางมาท้องฟ้าสวยงามมาก อาจจะไร้เมฆไปแต่ความสดใสของท้องฟ้านั้นสบายตามาก... ภาพจริง ๆ สีท้องฟ้าอาจไม่ได้เข้มตามนี้ ผมมาเร่งสีเพิ่มอีกหน่อยให้ภาพดูน่าสนใจยิ่งขึ้นเมื่อท้องฟ้าสีเข้ม ๆ ตัดกันกับตัวพระธาตุสีเหลืองทองอร่าม



...ผู้คนให้ความนับถือเดินทางมากราบไหว้กันเยอะมาก ความร้อนแรงของแสงแดดยามบ่ายไม่ได้ทำให้แรงศรัทธาของคนเราลดลงแม้แต่น้อย .. มุมนี้ผมจึงต้องเดินเลี่ยงหลบมาถ่ายบริเวณโดยรอบแทน

...รอบ ๆ พระธาตุทั้ง 4 ด้าน นักท่องเที่ยวสามารถมากราบไหว้ได้หมด ซึ่งแต่ละด้านจะมีขั้นบันได ให้ขึ้นมาสักการะกราบไหว้ วางดอกไม้ พวงมาลัย ... แต่โดยมากผู้คนจะนิยมไหว้กันที่ด้านหน้าทางเข้าของพระธาตุมากกว่า


...รอจังหวะอยู่นานสำหรับภาพนี้ด้านหน้าพระธาตุ



...เป็นจังหวะสั้น ๆ ที่ปราศจากทั้งชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นกรุ๊ปทัวร์ ... แสงแดดที่แผดส่องลงมากระทบควันธูปจับตัวรวมกัน นอกจากเห็นเป็นควันชัดเจนแล้วยังเป็นสิ่งบ่งบอกให้เห็นถึงพลังศรัทธาที่ไม่ว่าเดินทางไปที่ไหนเราก็สามารถพบเห็นได้โดยง่ายและเสมอ ๆ

...ปิดท้ายสำหรับพระธาตุหลวงที่ภาพนี้ กับมุมกว้าง ๆ ปราศจากผู้คน...



...กนจะออกเดินทางไปยังไฮไลท์สำคัญกับการมาเยือนเวียงจันทน์โดยไปต่อนที่ ประตูชัย...

...ประตูชัย หรือ (ปะตูไซ Patuxay) สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิต ในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ .. ความอลังการของประตูชัยนั้นเมื่อได้สัมผัสด้วยตาใกล้ ๆ จะรู้ได้ว่าสวยงาม และรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่จริง ๆ



...ยามบ่ายแก่ ๆ ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสแบบนี้ เลือกมุมดีดีหันหน้าให้กับท้องฟ้าเข้ม ๆ จะเห็นภาพประตูชัยโดดเด่นสวยงามเป็นสง่าตั้งตระหง่านคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว และชาวลาวเปรียบได้เสมือนสัญลักษณ์อีกแห่งของนครหลวงเวียงจันทน์

...บริเวณโดยรอบก็มีการตกแต่งประดับประดาด้วยสวนหญ้าเขียว ๆ ยิ่งยามเย็นยิ่งแลดูร่มรื่น .. ส่วนมุมนี้ก็มีการประดับประดาด้วยธงชาติต่าง ๆ พอดิบพอดี .. สร้างสีสันและบรรยากาศให้ดูน่าสนใจและสะดุดตายิ่งขึ้น


... ...ลักษณะสถาปัตยกรรมของประตูชัยที่ลาวได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส แต่ก็ยังผสมผสานเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมของประเทศลาวให้ได้เห็นอย่างเด่นชัด



...เมื่อหากแหงนหน้าขึ้นจะเห็นเป็นภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ โดยอยู่ตามผนังด้านบนทั้ง 4 ด้าน ภายใต้ซุ้มประตูโค้ง

...นอกจากนี้เรายังสามารถเดินขึ้นไปชมวิวทัศนียภาพจากด้านบนประตูชัยได้อีกด้วย



...ลักษณะของทางขึ้นสู่ด้านบนจะเป็นบันไดวนขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีร้านจำหน่ายขายของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว เมื่อมองขึ้นไปจากด้านล่างอาจจะดูสูงแต่เมื่อเดินเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย เพราะบริเวณทางเดินขึ้นจะมีช่องประตู ช่องลมที่ลมพัดผ่านอยู่เสมอ



...โดยเสียค่าขึ้นคนละ 15 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มมากกับการได้ขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศแบบกว้าง ๆ ของนครเวียงจันทน์

...ด้านหนึ่งจะเป็นตะแกรงเหล็กกั้นไว้ตรงช่องหน้าต่าง หลังจากพิจารณาอยู่นานว่าหากสอดกล้องถ่ายผ่านไปคงลำบาก จึงตัดสินใจถ่ายผ่านตะแกรงเหล็กออกไปด้านล่างให้เห็นลวดลายขององค์พระ ก็สร้างภาพที่งดงามไม่น้อย


...อีกด้านตรงข้ามจะเป็นฝั่งที่เปิดโล่ง มองลงไปก็จะเห็นทัศนียภาพโดยรอบดูแล้วสบายตายิ่งนัก


...หลังจากใช้เวลาได้สักพักใหญ่ จึงลงนั่งเล่นบริเวณน้ำพุด้านล่างพักเมื่อยสัก 5 นาที ..



...ท้องฟ้าและแดดที่แรงส่องประกายระยิบระยับลงบ่อน้ำพุ ประดับประดาล้อมรอบด้วยดอกไม้สีแดงสดรอบบ่อ บวกกับท้องฟ้าใส ๆ ก็ได้ภาพที่ประทับใจกลับมา

...ปิดท้ายภาพของประตูชัยที่ภาพนี้ โดยอย่างที่เห็นในภาพบริเวณรอบข้างนั้นก็ได้จัดให้เป็นลักษณะสวน ซึ่งไม่อนุญาตให้เดินเข้าไป แต่พื้นที่โดยรอบก็ยังมีม้านั่งให้ไว้สำหรับนักท่องเที่ยว หรือใครที่ต้องการนั่งพักไว้พักผ่อนหย่อนใจปล่อยให้สายลมยามเย็นพัดผ่านไปผ่านมาก็มีความสุขไม่น้อย


...จากนั้นจึงพักเบรกสักครู่ใหญ่โดยมาเดินเล่นปล่อยผ่านเวลาที่ถนนเล็ก ๆ บริเวณสวนน้ำพุ ซึ่งถนนบริเวณนี้จะมีร้านกาแฟ ร้านเค๊ก ร้านขนมต่าง ๆ มากมาย ให้นักท่องเที่ยวได้มาเดินเล่น นั่งพัก นั่งดื่มเครื่องดื่ม กินขนม จิบเบียร์กันแล้วแต่ความโปรดปรานของแต่ละคน ..



...ผมเองก็นั่งเล่นไปเรื่อย ๆ เพื่อรอให้แสงยามบ่ายคลายตัวเบาลงอีกนิด เพื่อเตรียมตัวต่อไปสำหรับการถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก

...ร้านเบเกอรี่ โจมา... เค๊กร้านนี้อร่อยนุ่มลิ้นมาก คือร้านที่ผมเลือกเข้าไปนั่งพักตากแอร์เย็น ๆ จิบน้ำเย็น ๆ สักแก้วคลายร้อน ก่อนจะออกเดินทางไปยังริมฝั่งโขงเพื่อชมความงามของดวงตะวันยามเย็นที่จะตกยังฝั่งไทยบ้านเรา


...บ้านเรือนริมฝั่งโขงที่เดินผ่าน หลังนี้บ่งบอกอะไรได้ดีว่าไม่แตกต่างอะไรจากบ้านเราที่นำธงชาติมาปักประดับไว้หน้าบ้าน ให้เห็นถึงแผ่นดินบ้านเกิดเรือนนอน ..



...และเมื่อเดินผ่านพ้นไปอีกสักนิดก็ถึงริมโขงในที่สุด

...แสงสีทองของดวงอาทิตย์ฉายส่องลงกระทบผืนน้ำ เห็นสันทรายที่เกิดขึ้นจากระดับน้ำที่ลดลง... ริมโขงมุมนี้สวยงามยิ่งขึ้นเมื่อมีไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านยื่นโน้มตัวลงสู่ลำน้ำโขง



...รอบ ๆ ข้างในตอนนี้นักท่องเที่ยวก็เริ่มมาปั่นจักรยาน มาเดินเล่นกันมากขึ้น เพื่อรอสัมผัสบรรยากาศยามเย็น

...ดวงตะวันจากหนึ่งกลายเป็นสองยามต้องแสงสะท้อนตัวเองกลับลงบนผืนน้ำเบื้องล่าง...



...ฉาบสีเหลืองทองด้วย white balance ในกล้องสร้างอารมณ์เพิ่มขึ้นให้กับภาพเล็กน้อย..

...ด้วยปริมาณระดับน้ำที่ลดลงทำให้สามารถเดินลงมาได้ถึงด้านล่าง โดยจะมีบันไดปูนจากด้านบนสู่ล่างสร้างไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และชาวบ้าน .. มุมนี้หันหลังให้ดวงอาทิตย์เพื่อให้ได้ก้อนหินและลำเรือเป็นตัวรับแสง



...ก่อนที่ด้านหลังจะเป็นความนิ่งสงบของผืนน้ำ และสันทรายก่อนจะเห็นไกล ๆ นั่นคือฝั่งบ้านเราเอง

...ซากเรือเก่า ๆ ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่ยังคงถูกทิ้งไว้ริมตลิ่งกับภาพของเรือที่ดูจากสภาพยังสามารถใช้งานได้



...ผมเลือกให้มาเป็นฉากหน้าในภาพนี้ โดยมีฉากหลังคือวิถีชีวิตของชาวบ้านที่มีลำน้ำโขงเป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้กับวันที่ผ่านมาและวันต่อไป

...ช่วงเวลาเย็นริมแม่น้ำโขงโดยปกติผมก็จะยืนอยู่แต่ฝั่งบ้านเรา ดังนั้นภาพของแสงยามเย็นบางครั้งก็อาจไม่โดดเด่นเท่าที่ควร แต่ในวันนี้ที่ได้ยืนได้มองในมุมกลับเมื่อแสงของดวงอาทิตย์อยู่เบื้องหน้าก็ทำให้ได้ภาพที่แตกต่างไปจากเดิม ๆ ที่เคยถ่าย



...บริเวณริมโขงช่วงนี้น้ำไม่ลึกมากนัก มีบ้างที่นักท่องเที่ยวเดินลงไปยังดินดอนกลางแม่น้ำ และเดินลัดข้ามน้ำมาอย่างนักท่องเที่ยวในภาพนี้ก็เช่นกัน

...ภาพนี้ให้เห็นชัด ๆ ว่าดินดอนยามน้ำลดบนพื้นที่เล็ก ๆ ก็กลายเป็นสนามเด็กเล่นไปโดยปริยาย



...เด็กน้อยในภาพคงมีความสุขที่ได้วิ่งเล่นกันไปมา ไม่ต่างกับเราที่ได้เฝ้ามองดูท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสีไปทีละน้อย

...ดวงตะวันที่พบเห็นกันบ่อย ๆ จนชินตาของชาวฝั่งลาว แต่อาจเป็นสิ่งแปลกใหม่สวยงามของใครต่อใครได้อีกหลายคน ไม่เว้นแม้แต่คู่รักนักท่องเที่ยวต่างชาติสองคนนี้ที่ทั้งสองเลือกริมโขงให้เป็นฉากหวาน ๆ สำหรับเย็นวันนี้ ..


...ดวงตะวันลับไปกับแนวไม้ใหญ่เบื้องหน้าฝั่งบ้านเรา เหลือไว้เพียงแสงรำไรที่ยังคงปริ่มเหนืออยู่ด้านบนเล็กน้อย



...ความสงบค่อย ๆ ทำให้หัวใจอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ .. จากเดิมที่ริมโขงผมจะได้เห็นแต่พระอาทิตย์ขึ้นจากฝั่งลาว แต่ในวันนี้ได้เห็นในมุมกลับกัน แน่นอนว่าความประทับใจก็ย่อมแตกต่างกันไป

...การได้ยืนอยู่เงียบ ๆ พักล้างหูให้กับทุกเสียงที่ผ่านเข้ามาตลอดวัน .. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เงียบที่สุด และได้อยู่กับตัวเอง การได้คิดอะไรไปเรื่อย การได้เห็นภาพเบื้องหน้าที่งดงามที่ไม่ได้พบเห็นบ่อย ๆ ในชีวิตสังคมเมือง... ยังคงสร้างความสุขให้กับดวงตาและดวงใจเราไม่น้อย



...แสงที่พุ่งทะแยงเหนือผืนฟ้าด้านหน้าหากรีบ ๆ มองผ่านไป อาจเห็นไม่ชัดนักด้วยตาเปล่า ... แต่เมื่อยืนนิ่ง ๆ พยายามมองเพ่งสักหน่อยกลับเห็นได้ชัดเจนสวยงาม ก่อนจะบันทึกภาพเก็บไว้เป็นภาพสุดท้ายของยามเย็นวันนี้

...หลังจากอาหารมื้อค่ำผ่านพ้นไปก็ต้องหากิจกรรมเดินย่อยสักเล็กน้อยก่อนนอน ผมจึงตัดสินใจมายังบริเวณตลาดมืดริมฝั่งโขง ...ที่บ้านเรามีถนนคนเดินยามกลางคืน ที่เพื่อนบ้านเราก็มีเช่นกัน...



...บริเวณนี้เป็นตลาดกลางคืนมีข้าวของขายมากมายหลายอย่าง มีการแบ่งพื้นที่ริมโขงตรงนี้ให้ไว้สำหรับเดินเล่น และพักผ่อนส่วนบรรยากาศในตลาดก็คล้าย ๆ กับบ้านเราอยู่เหมือนกัน ..

...ทั้งชาวลาวเอง และนักท่องเที่ยวก็แบ่งเวลามาเดินเล่นจับจ่ายใช้สอย เสื้อผ้า กางเกง ของที่ระลึก กระเป๋า ฯลฯ



...รอบ ๆ ริมถนนก็มีร้านดนตรี ร้านอาหารอยู่ตลอดระยะ... เดินไปเดินมาสักพักความเมื่อยล้าก็มาเยือน ก่อนที่ค่ำคืนนี้หมดลงไปอีกวัน

...ก่อนเข้านอนก็เปิดภาพที่ได้ถ่ายมาแล้วตลอดวัน จนมาสะดุดกับใบนี้ที่ถ่ายไว้หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว เหลือไว้เพียงแสงสวย ๆ มีชาวบ้าน มีเรือ มีเนินสันทรายในลำน้ำ แสงไฟจากบ้านเรา และพระจันทร์ที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็สวยงามเสมอ


...เช้าวันใหม่ดวงตะวันก็กลับมาให้ความสว่างอีกครั้ง



...วิถีชีวิตหลายอย่างที่เพื่อนบ้านไม่ต่างอะไรกับบ้านเรา... อาจแตกต่างกันก็คงแค่เพียงสถานที่เพียงเท่านั้น

... ความเชื่อความศรัทธาความสุขใจยังเป็นอะไรที่คนเราทุกชาติ ทุกศาสนายังปฏิบัติกันต่อมาอย่างสม่ำเสมอ



...จะตะวันออก ตะวันตกทุกท้องถิ่นต่างมีความงดงาม มีเอกลักษณ์ในรูปแบบของตนเองแตกต่างกันไป

...ปิดท้ายภาพที่ 50 พอดิบพอดีกับอัลบั้มภาพเวียงจันทน์ชุดนี้



...กับภาพของชาวบ้านที่ออกมาแล่นเรือผ่านไปมา .. แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบผืนน้ำและก้อนหินสร้างความอบอุ่นให้กับสายตาแต่แรกแย้มของวัน .. ก่อนที่วันนี้จะพักวางกล้องลงบ้าง และค่อยใช้เวลาเนทางไปยังจุดมุ่งหมายต่อไป



...ท้องฟ้าของเวียงจันทน์ในช่วงที่เดินทางมาแม้อาจจะไร้ปุยเมฆไป แต่ก็ได้ความสดใสของท้องฟ้ากลับมาแทน.. ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่แวะเข้ามาชมภาพกันนะครับ... การเดินทางครั้งนี้ยังไม่จบนะครับ พบกันในกระทู้หน้าที่ อ.วังเวียง ตามนี้ได้เลยครับ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E13113590/E13113590.html

...คห.51 Mailza2 - ผมเองก็ตั้งใจถ่ายภาพทุกไป ให้เวลาเพิ่มอีกนิดก่อนกด แค่นั้นแหละครับ... ^___^

...คห.52 ปาปิยอง - ขอบคุณคร๊าบบบ

...คห.53 ก้อนหินยอดดอย - ดูแล้วคิดถึงแสดงว่าต้องเคยไปแล้ว ขอให้ได้กลับไปอีกนะครับ

...คห.54 tangs - เดินทางปลอดภัยนะครับผม

...คห.55 pchamaip - ขอบคุณมาก ๆ ครับ

...คห.56 เด็กศิลป์ (Artiste) - หาเวลาออกเดินทางตามรอยได้เลยคร๊าบบ

...คห.57 ตระเวนเที่ยว - เก็บข้อมูลแล้วต้องเดินทางไปด้วยนะครับ

...คห.58 fuji_fancy - ถ้าได้เดินทางด้วยกันก็ไม่มีปัญหาครับ ยินดีเสมอ ^___^

...คห.59 balleazy7749 - (รูปถ่ายสวยมาก ใช้กล้องอะไร) ผมใช้ Nikon D7000 ครับ

...คห.60 tu_ehub - รู้สึกคล้าย ๆ กันเลยครับ.. แต่ไม่รู้อะไรดลใจและในที่สุดก็ประทับใจกลับมา

...คห.61 Ar_charee - ขอบคุณครับผม

...คห.62 แจ่วบอง แซบแซบ - เดินทางตามไปให้ได้นะครับ...คห.63 nainick - ขอบคุณสำหรับคำติชมครับ ผมเองจะพยายามไม่ใส่ข้อมูลมากเพราะข้อมูลพวกนี้หาง่าย และมีเยอะ ... เลยนำเสนอมุมมองและแนวคิดต่าง ๆ เผื่ออาจเป็นประโยชน์ต่อเพื่อน ๆ ได้ .. ขอบคุณมาก ๆ ครับ nainick...คห.66 มะพร้าวห้าวริมทะเล - ตอนถ่ายผมก็ชิวบ้าง ร้อนบ้างสลับไป แต่ดูรูปแล้วคุณมะพร้าวหา้าวก็ชิวเลยใช่ป่ะครับ 555

...คห.67 ฮิโนเดะ - คนเดินทางเยอะจัง เดินทางปลอดภัยนะครับ

...คห.68 หญิงเมี้ยน - ขอบคุณครับ

...คห.69 ไอ่ชินจังหน้าหวาน - จริงครับ ที่ผมเคยเห็นก็ยังไม่เท่าสัมผัสด้วยตาตนเอง

...คห.70 123 (เทพบุตรสายฟ้า) - ขอบคุณสำหรับคะแนนนะครับ ส่วนภาพก็มีกว้างสลับ ๆ กันไปบ้าง

...คห.71 Creatrips - ขอบคุณมาก ๆ ครับ

...คห.72 rukthai99 - ผมใช้เลนส์ช่วงปกติ 24-70 เลนส์กว้าง 10-20 (ผมไม่มีฟิชอายครับ) แล้วก็เทเล 70-300 .. ครบทุกช่วงครับ ตอนแบกไปหมดก็หนักมาก ... แต่พอได้ภาพกลับมาก็หายเหนื่อย .. เป็นกำลังใจให้ครับผม

Forzanu

 วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.15 น.

ความคิดเห็น